ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยี่ยเคยคิดว่าความเหงาของเหล่ายอดฝีมือนั้นไร้สาระจริงๆ ตอนนี้เขาได้สัมผัสกับตัวเองแล้ว เมื่อทุกคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเงิน เขาจึงเป็นยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยวคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ให้ตายสิ มันโดดเดี่ยวเกินไป
การประลองกระบี่บนเขาหวาซันอย่างน้อยก็ยังเรียกว่าเป็นศึกการประลองยุทธ์ของยอดฝีมือห้าถึงหกคน แต่คนที่ตนเองพบทั้งหมดนั้นเป็นพวกพ่อค้าที่รู้จักลงทุนแล้วแสวงหาผลกำไร ในวงการด้านการขายชอร์ต[1]มีตนเพียงคนเดียวที่จะเอะอะโวยวายและลงไปชักดิ้นชักงอได้ อยากเล่นอย่างไรก็เล่นอย่างนั้น
สร้างตำหนักเพื่อราชวงศ์! ยังคงเป็นประเด็นหลักในการประชุมราชการเช้า ทำไมไม่มีใครในโลกนี้คิดว่านี่จะเป็นโอกาสทำเงินได้มากกันบ้าง แม้จะสร้างอย่างเสียเปล่าก็ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก
อิฐนั้นใช้ของตระกูลจาง ตระกูลหลี่ที่ทำอิฐเช่นเดียวกันจะเคืองโกรธไหม ไม่นานนักก้อนอิฐของตระกูลจางก็วางขายอยู่ทั่วทั้งฉางอัน ส่วนอิฐของตระกูลหลี่ไม่มีใครถามถึงเลย
ด้วยเหตุผลเดียวกัน วัสดุก่อสร้างหิน ทราย ไม้ หากใช้ของตระกูลไหนก็จะรู้สึกว่าเป็นสง่าราศีอันสูงสุดของตระกูล ตัวอย่างเช่นอนุญาตให้พวกเขาประทับตราตระกูลลงบนก้อนหินก้อนอิฐ กลุ่มคนผู้น่าสงสารอย่างบรรดาพ่อค้าของฉางอันจะต้องตาร้อนตาแดงจนน่ากลัวแน่นอน
สำหรับต้นทุนในการสร้างตำหนัก นอกเหนือจากความจำเป็นของกำลังคนที่ขาดไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องเช่นนี้อีกหรือ
ราชนิกุลเห็นเรื่องนี้เป็นภาระหน้าที่ และมอบหมายอำนาจทั้งหมดให้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนจัดการ ในการสร้างอาคารสักหลังต้องใช้เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนด้วยหรือ เงินสามหมื่นก้วนของจั่งซุนก็เพียงพอที่จะสร้างได้แล้ว ทั้งยังเป็นสิ่งปลูกสร้างที่โอ่อ่าวิจิตรการตาไร้ที่เปรียบอีกด้วย
สัญชาตญาณที่น่ารังเกียจของจั่งซุนนั้นมักจะถูกต้องแม่นยำเสมอ ภาพลักษณ์ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดของอวิ๋นเยี่ยก็ถูกนางมองออกด้วยเช่นกัน หญิงตั้งครรภ์ไม่ยอมพักผ่อนให้เต็มที่ จะมัวมาวิตกกังวลอะไรนักหนา มอบหมายเรื่องสร้างตำหนักให้อวิ๋นเยี่ยก็พอแล้ว ส่วนตนเองก็รอเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายเข้าไปอยู่ก็พอแล้ว เสียเงินสามหมื่นก้วนเพื่ออยู่ในอาคารระดับไฮเอนด์ยังมีอะไรไม่พอใจอีก กลัวฉันเอาเงินไปใช้หมดหรือไง นี่มันคือตรรกะอะไร
หากใช้น้ำหนึ่งกะละมังมาเปรียบเทียบเศรษฐกิจ ฉันตักน้ำกระบวยใหญ่หนึ่งกระบวย ราชสำนักก็จะได้น้ำน้อยลงหนึ่งกระบวยเล็ก เศรษฐีในยุคปัจจุบันใช้ปั๊มสูบน้ำก็ไม่เห็นว่าความมั่งคั่งจะถูกสูบจนหมดเสียหน่อย
จั่งซุนมองอวิ๋นเยี่ยตาปริบๆ นางหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะเข้าใจความหวังดีของนาง อย่าได้ให้ราชสำนักต้องอยู่ในจุดยืนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในสถานการณ์ที่มีเรื่องต่างๆ รอให้ต้องจัดการอีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นต้องใช้เงินเพื่อสนับสนุนในการก่อสร้าง
พรมแดนใหม่ที่ยึดได้มาต้องดูแลให้มั่นคง ต้องสร้างเมือง ต้องตัดถนน การวางโครงข่ายทางน้ำให้ทั่วแดนกวนจงต้องสร้างใหม่ เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้าต้องการรางวัลเป็นการปลอบขวัญ หลังจากการทำสงครามหลายปี เมืองที่พังทลายลงก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่ทว่ารายได้จากภาษีต่อปีจำนวนสองล้านก้วนนั้นไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ แม้ว่าตนเองจะประหยัดเงินจนสามารถรวบรวมได้สามหมื่นก้วน แต่สามหมื่นก้วนนี้มีกว่าครึ่งหนึ่งที่ยึดมาจากอวิ๋นเยี่ย
“ฮองเฮา เงินที่ได้กำไรจากการสร้างตำหนักกระหม่อมจะถวายให้ท่าน สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นกระหม่อมต้องการแบ่งเงินปันผลให้กับบรรดาผู้อาวุโสที่รักและเป็นห่วงกระหม่อม สำหรับเงินที่สร้างสำนักศึกษากระหม่อมจะหาวิธีใหม่เอง นอกจากนี้ ฮองเฮายิ่งกระหม่อมได้เงินกำไรมากเท่าไรราชสำนักก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดว่า ยิ่งกระหม่อมกำไรมากเท่าไรราชสำนักก็ยิ่งได้ผลประโยชน์น้อยลง”
“จะเป็นเช่นนี้หรือ เจ้าบอกเราได้หรือไม่ว่าเจ้าจะสร้างผลกำไรอย่างไรกันแน่ และจะได้กำไรมากเท่าไร” จั่งซุนมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“อย่างน้อยเงินสามหมื่นก้วนของฮองเฮาจะถูกถวายคืนสู่พระหัตถ์ของฮองเฮาโดยไม่ได้แตะต้องเลย”
“เช่นนั้นเจ้าจะเอาอะไรมาสร้างตำหนัก เจ้ามีวิชาอาคมหรืออย่างไร”
“ฮองเฮา สำหรับท่านแล้วกระหม่อมไม่มีอะไรต้องปิดบัง กระหม่อมไม่สนใจในวงการราชการ หากมีความคิดที่จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับพวกเขา เช่นนั้นกระหม่อมตั้งใจสั่งสอนบุคลากรอยู่ในสำนักศึกษายังจะดีเสียกว่า ท่านยังไม่ทรงเห็นความสำคัญของสำนักศึกษา ในเวลาไม่ถึงสิบปี ท่านจะพบว่าถ้าหากต้องการให้ต้าถังเจริญรุ่งเรืองตลอดไป สำนักศึกษาเป็นสถานที่ที่สำคัญมาก”
“คุยโตคุยโม้อยู่ฝ่ายเดียว เด็กอายุสิบกว่าขวบไม่ได้กลัวเลยว่าจะพูดเกินความจริงจนถูกจับได้ หากเจ้ามีความสามารถจริง ก็แสดงความสามารถในการหารายได้ของเจ้าต่อหน้าเราให้เห็นหน่อยเป็นไร จะได้ยอมรับทั้งกายและใจ” หลังจากพูดจบก็ให้คนนำเงินเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งเข้ามา ให้อวิ๋นเยี่ยแสดงการสร้างเงินกำไรให้เห็นต่อหน้านาง
นี่ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่ มีการสร้างเงินกำไรเช่นนี้ด้วยหรือ อวิ๋นเยี่ยจนด้วยเกล้า ผู้หญิงที่หวาดระแวงเช่นนี้ หากไม่ให้นางได้เห็นฝีมือเสียบ้างคงไม่ปล่อยตัวเองง่ายๆ เป็นแน่ เอาเถอะ ตั้งโจทย์คณิตศาสตร์เรื่องทศนิยมให้นางได้เห็นฝีมือหน่อย ตนเองจะได้มีทางถอย ไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนแอบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาซ่อนตัวอยู่หลังเสาแอบฟัง เมื่อเห็นว่ามีเรื่องสนุกให้ดูก็โผล่ออกมาจากหลังเสา คนตระกูลหลี่ก็มักจะมีโรคเก่าข้อนี้ ซึ่งก็คือนิสัยชอบแอบฟังบทสนทนาของคนอื่น
หลังจากนับเงินที่นำมาแล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาสามสิบเหรียญ ให้จั่งซุนสิบเหรียญ หลี่เฉิงเฉียนสิบเหรียญ และให้นางกำนัลข้างกายของจั่งซุนสิบเหรียญและเรียกขันทีเข้ามาอีกหนึ่งคน เท่านี้ก็ครบจำนวนคนแล้ว
“ฮองเฮา ตอนนี้ในบรรดาพวกท่านสามคนที่มีเงินอยู่ในมือกำลังจะเข้าค้างแรม ค่าค้างแรมคนละสิบเหวิน โปรดมอบเงินให้กับขันทีคนนี้เพราะเขาเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม” พวกจั่งซุนสามคนมอบเงินให้ขันทีด้วยรอยยิ้ม รอดูเรื่องสนุกๆ
อวิ๋นเยี่ยพูดกับขันทีอีกครั้งว่า “เจ้าเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม เนื่องจากวันนี้มีงานมงคลในโรงเตี๊ยม เจ้าจึงตัดสินใจว่าแขกสามคนจะเก็บเงินเพียงยี่สิบห้าเหวิน ข้าเป็นคนทำบัญชี โดยเจ้าบอกให้ข้าทอนเงินห้าเหวินให้แขกสามคน เจ้าให้ข้าห้าเหวิน ส่วนที่เหลือยี่สิบห้าเหวินถือว่าฮองเฮาประทานให้เจ้าเป็นรางวัล”
ขันทีเชื่อฟังเป็นอย่างมาก หยิบเงินยี่สิบห้าเหวินแล้วก็เดินออกไป
อวิ๋นเยี่ยหยิบเงินสองเหวินใส่ในกระเป๋าของเขาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา จากนั้นนำเงินที่เหลือคืนให้พวกเขาคนละหนึ่งเหวิน
“นี่ก็คือความสามารถในการทำเงินของเจ้าหรือ ช่างน่าขันเสียจริง การโกงเงินสองเหวินทั้งยังทำต่อหน้าสาธารณชน ถือเป็นความสามารถอะไรกัน” จั่งซุนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังแกล้งพวกนางอยู่
“ถูกจับได้เสียแล้ว กระหม่อมต้องขอคืนเงินสองเหวินให้ฮองเฮา แต่ขอฮองเฮาทรงคำนวณบัญชีของท่านว่าถูกต้องหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยยิ้มตาหยีพลางตอบจั่งซุน
“มันจะยากอะไร พวกเราแต่ละคนจ่ายเงินสิบเหวินกับโรงเตี๊ยม เจ้าของคืนเงินให้หนึ่งเหวิน รวมกับเงินสองเหวินที่เจ้ายักยอกมานั่นก็คือจำนวนเงินรวมทั้งหมด มีอะไรผิดปกติกัน” จั่งซุนเพิ่งจะพูดออกมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
หลี่เฉิงเฉียนเองคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย พวกเราให้เจ้าของโรงเตี๊ยมคนละสิบเหวินและได้รับคืนหนึ่งเหวิน ซึ่งก็หมายความว่าพวกเราแต่ละคนจ่ายเพียงเก้าเหวิน รวมกับสองเหวินที่เจ้าหยิบไปก็ได้เพียงยี่สิบเก้าเหวิน อีกหนึ่งเหวินหายไปไหน”
อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมอธิบายอะไร เพียงแค่ถวายความเคารพจั่งซุนแล้วสองมือไพล่หลังเดินจากไป มีแต่พวกเจ้าที่คอยหาเรื่องข้าแต่ไม่ให้ข้าเอาคืนอย่างนั้นหรือ ค่อยๆ คิดไปเถอะ อย่างไรเสียจั่งซุนก็รับปากเรื่องขุดทางน้ำแล้ว บรรลุวัตถุประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปหาพวกเศรษฐีท้องถิ่นในเมืองฉางอันแล้ว
ขณะที่เข้าวังมานำภาพแบบก่อสร้างเข้ามาตั้งหลาย**บใหญ่ แต่เมื่อกลับออกไปด้วยท่าทางสองมือไพล่หลังช่างทำให้รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จเสียจริง ปล่อยให้พวกจั่งซุนไปคิดหาเงินหนึ่งเหวินที่หายไปดีกว่า ใช้เวลาไม่นานหลี่ซื่อหมินก็น่าจะรู้ข่าว ให้คนในครอบครัวเขาศึกษาค้นคว้าทางคณิตศาสตร์ดีกว่าให้ไปค้นคว้าวิจัยชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อพวกเขาศึกษาค้นคว้าชีวิตมนุษย์อวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกกลัว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร อวิ๋นเยี่ยก็ไม่อยากที่จะให้ค้นคว้าอย่างไม่มีสิ้นสุด
บ้านตระกูลอวิ๋นในฉางอันนั้นมีชีวิตชีวามากจนเรียกได้ว่าเบียดเสียดแออัด ทุกคนในฉางอันต่างก็รู้ว่าจอมซื่อบื้อแห่งตระกูลอวิ๋นถูกฮองเฮาวางกับดักไว้ จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อซื้อชีวิตและสร้างตำหนัก! เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ถังมา ฝ่าบาทผู้ปรีชาสามารถไม่ต้องการให้ชาวบ้านต้องมอบเงินออกมา จึงคิดหาทางให้เหล่าเจ้าของทรัพย์สินผู้มั่งคั่งจ่ายเงินออกมา เมื่อไม่นานมานี้ที่ตระกูลอวิ๋นสร้างอาคารก็ได้กำไรไปไม่น้อย
บ้านที่ผุพังในหุบเขาลึกกลับขายได้ในราคาสูงเสียดฟ้า ยังมีเหตุผลอยู่อีกหรือไม่ แล้วจะให้พวกเราที่สร้างอาคารไว้ขายจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ตระกูลอวิ๋นจะล่มจม อย่างน้อยก่อนที่เจ้าคนซื่อบื้อจอมล้างผลาญจะไปเป็นขอทาน พวกเราต้องรีบซื้อร้านที่ดีและของดีๆ เหล่านั้นของตระกูลอวิ๋นกลับคืนมาให้หมด
เงินคืออะไร สิ่งที่ข้ามีก็คือเงิน เพียงแค่ซื้อสูตรลับการผลิตน้ำหอมของตระกูลอวิ๋นมาได้ มันก็คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าคุ้ม อย่างไรเสียเจ้าคนซื่อบื้อนั้นตอนนี้ต้องการเงินสดจำนวนมาก หลายแสนก้วนเชียวนะ! ไม่กลัวว่าเขาจะไม่มาขอความช่วยเหลือจากตนเอง เมื่อถึงเวลาจึงค่อยกดราคาและก็ไม่กดราคาจนถึงตาย ตระกูลอวิ๋นยังมีหญิงชราและเด็กที่อ่อนแอต้องการให้เลี้ยงดู ถึงตอนนั้นเหลือทางรอดให้พวกเขามีหรือจะไม่ได้รับคำชื่นชมว่ามีเมตตา
ยามเฝ้าประตูของตระกูลอวิ๋นจะร้องไห้อยู่แล้ว คนเหล่านี้ไม่มีคนประสงค์ดีเลย เมื่อเข้ามาในบ้านแต่ละคนก็เดินดูกันทั่วมั่วไปหมดโดยบอกว่าพวกเขาจะต้องดูให้ละเอียดเพื่อที่จะได้เสนอราคาได้ถูกต้อง ตรวจดูบ้านของตัวเองก็ไม่เห็นต้องมีกฎเกณฑ์อะไรเสียหน่อย ถ้าก่อนหน้านี้ทุกคนกล้าทำเช่นนี้จะต้องถูกองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นฆ่าตายแน่ เมื่อตายแล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก เพียงแต่คราวนี้พวกเขาเป็นแขกของอวิ๋นเยี่ย องครักษ์จึงกัดฟันอดทนไม่ลงมือกับพวกเขา
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกลับมา คนกลุ่มนี้ก็แห่กรูเข้ามารายล้อมไว้
“อวิ๋นโหว ที่เรียกพวกเราเหล่าพ่อค้ามารวมตัวกันเพราะต้องการจะขายทรัพย์สินในบ้านของท่านใช่หรือไม่ ข้าถูกใจบ้านของท่านเป็นอย่างมาก ท่านคิดว่าราคาห้าร้อยก้วนเป็นอย่างไร ข้าได้นำเงินมาด้วยแล้ว”
“อวิ๋นโหว ท่านอย่าได้ไปใส่ใจคนต่ำช้าพวกนั้นเลย พวกเขาล้วนแล้วแต่รอซ้ำเติมผู้ที่ผิดพลาด ข้ารู้ว่าท่านขาดแคลนเงิน ขอเพียงท่านเอ่ยปาก เงินหนึ่งหมื่นก้วนของบ้านข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ขอเพียงท่านนำสูตรลับในการผลิตน้ำหอมออกมาให้ทั้งสองตระกูลศึกษาร่วมกัน เงินก้อนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายคืน”
กว่าจะเอาตัวรอดออกมาจากฝูงชนของคนที่น่ารังเกียจเหล่านี้ไม่ใช่ง่ายเลย อวิ๋นเยี่ยนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับแขกของเขา ทอดถอนใจและมองคนรับใช้ในบ้านที่ตื่นตระหนก ก่อนจะพูดว่า “จะตื่นตระหนกอะไร ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก ควรทำอะไรก็ไปทำตามนั้น ตระกูลอวิ๋นไม่ล้มละลายแน่ ให้ผู้ที่ขายเฉพาะก้อนอิฐก้อนหินที่อยู่ด้านนอกเข้ามาก่อน”
คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นกระดูกสันหลังของตระกูล เมื่อเห็นว่าเจ้านายมีท่าทีที่สงบนิ่งและไม่สนใจ แน่นอนว่าพวกเขาก็รู้สึกวางใจไปด้วย พวกเขาไม่อยากจะออกจากตระกูลอวิ๋นจริงๆ การมีเจ้านายเช่นนี้ต้องถือว่าเป็นบุญกุศลที่พวกเขาสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนจึงทำให้มีโอกาสเช่นนี้
ในเมืองฉางอันมีพ่อค้าที่ทำก้อนอิฐอยู่เพียงสามตระกูลเท่านั้น การที่อวิ๋นเยี่ยจะสร้างตำหนักไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงทั้งสามตระกูลนี้ไม่พ้น ก้อนอิฐของตระกูลอวิ๋นยังไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของโครงการครั้งนี้ได้
ทั้งสามตระกูลนี้จิตใจสงบนิ่งมาก ราคาของอิฐและหินที่นำเสนอมาให้นั้นเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบจากราคาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเฉือนชิ้นเนื้อของตระกูลอวิ๋นมาให้ได้สักส่วน อีกทั้งยังได้จับเป็นพันธมิตรที่พร้อมใจกันเสนอในแนวทางเดียวกัน เพียงแค่ดูเงื่อนไขที่เหมือนกันทุกอย่างก็รู้ได้ว่าทั้งสามตระกูลกำลังเล่นลูกไม้กันอยู่
“เดิมทีตระกูลอวิ๋นไม่ต้องการทำทุกอย่างให้แล้งน้ำใจจนเกินไป ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าถึงกับคิดแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋น เรื่องๆ หนึ่งที่สามารถทำให้เจ้าและข้าต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยกันได้ถูกพวกเจ้าทำลายทิ้งอย่างสิ้นเชิง เห็นทีว่าเรื่องอิฐและหินในการก่อสร้างตำหนักคงต้องเป็นตระกูลอวิ๋นทำเองเสียแล้ว”
“อวิ๋นโหว เราเพียงว่ากันไปตามหลักการค้า ในเมื่อพวกเรายอมละทิ้งหน้าตาลงมาเป็นพ่อค้า นั่นก็เพื่อการลงทุนและแสวงหาผลกำไร แม้ว่าฐานะของอวิ๋นโหวนั้นสูงส่ง แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงมังกรที่จมอยู่ในดินโคลน หากท่านต้องการอิฐและหิน พวกเราหลายตระกูลก็ไม่ได้ทำอะไรที่แล้งน้ำใจจนเกินไป เพียงแค่จ่ายมาตามราคาสูงสุดก็ใช้ได้แล้ว อวิ๋นโหวยังมีอะไรไม่พอใจกันอีก “
น้อยนักที่จะได้เห็นพ่อค้าที่กล้าพูดอย่างมาดมั่นและมีเหตุผลต่อหน้าโหวเหยียท่านหนึ่งของประเทศ เมื่อมองดูเสื้อผ้าแพรไหมที่พวกเขาสวมใส่ รองเท้าหนัง หมวกที่เลี่ยมฝังไข่มุก อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างไม่แยแสและพูดกับพวกเขาว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าพูดกับโหวเหยียของประเทศเช่นนี้”
——
[1] การขายชอร์ต (Short Selling) คือการทำกำไรในช่วงที่คิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลง โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์มาเสียก่อน เพื่อทำการขายออกมา จากนั้นค่อยซื้อหุ้นตัวนั้นกลับคืนมาในราคาที่ต่ำกว่า