หลัวเทียนเฉิงตกใจยิ่งทำให้หลุดออกมาจากเรื่องในอดีตอันเลือนราง เขาเห็นริมฝีปากใหญ่ที่ท่องคาถาจนปากแทบปริแตกออกมาแล้วของฝูเฟิงเจินเหริน
“ซื่อจื่อนึกอันใดออกบ้างหรือไม่” ฝูเฟิงเจินเหรินถามหยั่งเชิง
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นึกเรื่องบางอย่างออกแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
“ซื่อจื่อมิต้องเกรงใจ”
หลัวเทียนเฉิงพิจารณาฝูเฟิงเจินเหรินครู่หนึ่ง
ตอนแรกที่พบเขานั้น เขาผอมยิ่ง หนวดเครายุ่งรุงรังเหนียวติดกัน ดูยากแค้นยิ่งกว่าราษฎรผู้ยากไร้เสียอีก หากเขากล้าบอกว่าตนเองเป็นนักพรต เกรงว่าคงถูกคนต่อยเข้าให้แน่ แต่ยามนี้สวมชุดนักพรต ทั้งยังถือแส้นักพรต ดูแล้วก็คล้ายเทพเซียนอยู่หลายส่วน
“เจินเหรินมีเคล็ดวิชาเช่นนี้ด้วยหรือ”
ฝูเฟิงเจินเหรินสะดุ้งขึ้นคราหนึ่งแล้วไอแห้งๆ ก่อนเอ่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้มัน มันเป็นเคล็ดวิชาที่อ่านพบในตำราที่ตกทอดมาจากอาจารย์ปู่”
เขาย่อมไม่กล้าบอกว่าในอดีตนั้นตกท่าทีมอซอไม่มีคนเชื่อถือ จึงทำได้เพียงใช้ไก่ของเพื่อนบ้านผู้เป็นนักพรตตกยากด้วยกันมาฝึกเคล็ดวิชานี้
สุดท้ายมีครั้งหนึ่งที่ไก่ตัวผู้ถูกสะกดจนหลับ มันคิดว่ามันเป็นไก่ตัวเมีย มันจึงไม่ขัน ไม่ตีปีก วันๆ เอาแต่ร้องกะต๊ากๆ เป็นแม่ไก่จะออกไข่ แรกเริ่มเพื่อนบ้านนั้นวิ่งออกมาด้วยความดีใจ แต่เมื่อเห็นไก่ตัวผู้ไปเบียดไก่ตัวเมียกกไข่ จึงโกรธยิ่ง เป็นเช่นนี้ติดต่อกันอยู่สามครั้ง เขาเห็นกับตาว่าเพื่อนบ้านหักคอไก่ตัวผู้นี้จนตายแล้วนำไปทำอาหาร ใจเขาถึงกับเย็นวาบขึ้นมาเลยทีเดียว
เขาแค่สะกดให้ไก่ตัวผู้หลับเท่านั้น แต่พบกับเพื่อนบ้านเมื่อใด เขาก็ต้องจิกตนอย่างแรงทุกครั้ง ผู้ใดจะรู้ว่าเกิดความผิดพลาดที่ตรงใด โชคดีที่ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นกับหลัวซื่อจื่อ แหะๆ นับว่าโชคดีมากจริงๆ
หลัวเทียนเฉิงที่ไม่รู้ว่าตนเกือบจะต้องพบกับโชคร้ายแล้วนั้นยังคงไปส่งฝูเฟิงเจินเหรินด้วยความเกรงใจ เมื่อกลับถึงจวนก็เอาแต่ครุ่นคิด
คนผู้นั้นดูแล้วช่างคุ้นตานัก จะต้องเคยพบที่ไหนแน่
แต่บางครั้งความทรงจำก็คล้ายถูกกั้นด้วยกระดาษแผ่นบางๆ หากเจาะทะลุจะเข้าใจในทันที หากเจาะไม่ทะลุก็จะรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจดุจชมบุปผาท่ามกลางหมอกควัน ทำให้คนร้อนรนยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้มาหลายวัน ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ซื่อจื่อ หลายวันมานี้ท่านเป็นอันใดหรือ”
หลายวันมานี้มีการประหารเกิดขึ้นทุกวันดั่งตัดต้นหญ้า พื้นดินบริเวณนั้นไม่เคยกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ มีแต่สีแดงกระจายเต็มไปหมด
แม้แต่ราษฎรต้าโจวที่ชมชอบความคึกคักเป็นวิสัยยังมิอาจทนดูการประหารอย่างต่อเนื่องนี้ได้ เมื่อถึงยามพลบค่ำก็จะปิดประตูอยู่ในเรือน บางคนหวาดกลัวจนไม่สบายด้วยซ้ำ แต่ซื่อจื่อของนางไม่มีทางสะทกสะท้านกับเรื่องนี้แน่
หลัวเทียนเฉิงคิดว่าการหมกมุ่นอยู่ในเขาสัตว์เล็กๆ คงมิใช่เรื่องที่ดีนักจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้ารู้สึกว่าคุ้นหน้าคนผู้หนึ่งอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเขาที่ไหน เจ้าว่าควรทำเช่นใดหรือ”
“คุ้นหน้า? แสดงว่าต้องไม่ได้พบกันมานานมากแล้วใช่หรือไม่”
“อืม ประมาณยี่สิบปีได้” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก
เจินเมี่ยวจึงหลุดหัวเราะออกมา “ซื่อจื่อ หากนานถึงยี่สิบปี ตอนนั้นท่านคงเด็กมา แต่ท่านบอกว่าคุ้นหน้า เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในจวน”
หลัวเทียนเฉิงเหมือนคนตื่นจากความมึนเมา เขาขยับเข้าไปหอมแก้มเจินเมี่ยวอย่างแรงด้วยความตื่นเต้น “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าช่วยข้าไว้อีกแล้ว”
เจินเมี่ยวรีบผลักเขาออกทันที “ระวังเด็กๆ จะเห็นเข้า ข้าคิดว่าเพราะเป็นเรื่องของตนท่านจึงนึกไม่ถึงมากกว่า”
หลัวเทียนเฉิงนั่งไม่ติดที่เสียแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ไม่ต้องรอข้ากินข้าวนะ”
เจินเมี่ยวเห็นเขาจะออกไปก็รีบหยิบเสื้อกันลมให้ “ด้านนอกหิมะตกหนัก ระวังด้วย”
ผ่านไปหลายวันนางก็ยังมิเห็นแม้แต่เงาหลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวเบื่อหน่ายยิ่งจึงเย็บเสื้อให้บุตรชายทั้งสอง
“ต้าไหน่ไหน่ เหตุใดจึงเย็บตะเข็บไว้ด้านนอกเล่าเจ้าคะ” ไป๋เสาอดถามมิได้
เจินเมี่ยวยิ้มแล้วตอบว่า “เด็กนั้นผิวอ่อนบาง ทำเช่นนี้จะได้ไม่ระคายเคืองผิวเขา”
นางเป็นมารดาของเด็กน้อยถึงสองคนแล้ว ยามนี้เองจื่อซูผู้เป็นคนดูแลจัดการเรือนชิงเฟิงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนบุตรสองคนของข้ายังเล็ก ข้าก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าจื่อซูยิ้มแปลกๆ ไป๋เสาจึงรีบลุกเดินออกไป
จื่อซูเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “ต้าไหน่ไหน่ ไป๋เสายังไม่รับปากอีกหรือเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวถอนหายใจ “ผู้ใดจะรู้ว่านางจะดื้อดึงเพียงนี้ รองหัวหน้าฉือผู้มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพผู้นั้นรอมาตั้งปีกว่าแล้ว”
“ดูท่าทางไป๋เสาแล้วก็มิใช่ว่าไม่มีความรู้สึกดีอันใดให้รองแม่ทัพฉือ ไม่แน่ว่านางอาจจะแค็กลัวเสียหน้า”
“เสียหน้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ แรกเริ่มนางได้พูดว่าจะไม่ออกเรือน ยามนี้หากรับปากออกเรือนไปก็คงรู้สึกตะขิดตะขวงไม่น้อย อีกทั้งแผลเป็นบนหน้านางอีก….”
“คงไม่กระมัง” เจินเมี่ยววางเสื้อตัวน้อยลงข้างกาย “แผลเป็นนั้นจางมากแล้ว ทาแป้งสักหน่อย หากมิสังเกตให้ดีก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำ อีกอย่างถ้ารองแม่ทัพฉือถือสาคงไม่รอมานานเพียงนี้แน่”
จื่อซู่มองเจินเมี่ยวอย่างเบื่อหน่าย ในใจก็กล่าวว่าต้าไหน่ไหน่ช่างไม่เข้าใจจิตใจของสตรีเลย
“โบราณกล่าวว่า สตรีอยากงดงามเพื่อคนที่ตนชมชอบ ยิ่งไป๋เสามีใจให้รองแม่ทัพฉือมากเท่าใด นางก็ยิ่งจะรู้สึกว่าตนไม่คู่ควรกับเขามากเท่านั้น ในสายตาคนอื่นย่อมคิดว่ามันไม่สำคัญ แต่หากเป็นเรื่องของเราแล้วมันกลับกลายเป็นหลุมที่ยากจะข้ามไปได้หลุมหนึ่งเลยทีเดียว”
เจินเมี่ยวเห็นด้วยกับคำพูดของจื่อซูยิ่ง “เข้าใจแล้ว คงเหมือนความโล่งใจที่ตุ่มแดงไปเกิดบนหน้าผู้อื่น มิใช่หน้าเราใช่หรือไม่”
จื่อซูถึงกับเบ้ปากตน
ต้าไหน่ไหน่ วาจาเช่นนี้เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว การพูดออกมามันดีแล้วจริงๆ หรือ
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องลองใจนางสักหน่อยแล้ว นางจะได้เผยความในใจออกมา แต่ยามนี้ทุกคนต่างหวาดหวั่น ทั้งยังใกล้วันตรุษแล้ว รอให้ผ่านวันตรุษไปก่อนค่อยว่ากันเถิด” เจินเมี่ยวเอ่ยขึ้น
เวลานี้ไป๋เสาก็กลับเข้ามาอีก “ต้าไหน่ไหน่ ฉงสี่เซี่ยนจู่ส่งเทียบเชิญมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวรับมาเปิดอ่าน นางเชิญตนไปที่วังจั่งกงจู่ดั่งคาด
เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางแต่งกายเรียบร้อยแล้วไปบอกกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าก่อนนั่งรถม้าออกไป
เมื่อถึงหน้าวังเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ นางก็เปลี่ยนมานั่งเกี้ยวอ่อนเข้าไป
ฉงสี่เซี่ยนจู่ยืนรองนางอยู่หน้าประตูฉุยฮวานานแล้ว เมื่อเจินเมี่ยวลงจากเกี้ยวอ่อน นางก็เข้ามารับทันที
เจินเมี่ยวกุมมือฉงสี่เซี่ยนจู่ไว้ มือนางเย็นเฉียบไม่มีความอุ่นร้อนใดเลยสักนิด จึงเอดตำหนิมิได้ว่า “ข้าเข้าไปหาในเรือนก็ได้ อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดต้องมารอข้าที่นี่ด้วยเล่า”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ที่มักนิ่งสุขุมเสมอมา ยามนี้กลับมีท่าทีเศร้าสร้อยอยู่หลายส่วน นางเดินจูงมือเจินเมี่ยวข้ามประตูไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “จยาหมิง ที่ข้าเชิญเจ้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง”
“เรื่องใดกัน” เมื่อได้ยินฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยอย่างจริงจัง เจินเมี่ยวก็หุบยิ้มทันที
ฉงสี่เซี่ยนจู่กัดริมฝีปากตน แล้วเดินย่ำไปกับพื้นหินอ่อนที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแต่ยังคงเปียกชื้นอยู่เป็นครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ระยะนี้ดูเหมือนว่าพระมารดาจะป่วยเป็นโรคเบื่ออาหาร ท่านมิได้กินอันใดเป็นชิ้นเป็นอันมาหลายวันแล้ว ข้าจำได้ว่าตอนที่พี่สะใภ้ตั้งครรภ์ก็กินอาหารไม่ได้ แต่เจ้ามีวิธี ข้าจึงอยากขอให้เจ้าช่วยสักหน่อย”
“เบื่ออาหาร?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจอยู่บ้าง “ตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
ฉงสี่เซี่ยนจู่เผยอปากคิดจะเอ่ยว่าดูเหมือนจะเป็นหลังจากที่อานจวิ้นอ๋องก่อกบฏ แต่ก็รู้สึกว่าการเอ่ยเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใด จึงบอกอย่างคลุมเครือว่า “ไม่นานมานี้เอง”
“เช่นนั้นข้าขอไปคารวะจั่งกงจู่ก่อนแล้วกัน”