ตอนที่ 444 สืบ

วาสนาบันดาลรัก

จั่งกงจู่ในความรู้สึกของเจินเมี่ยวนั้นสูงส่งงามสง่า แต่ยามนี้กลับดูเหนื่อยล้าเศร้าหมอง 

 

 

นางรอให้เจินเมี่ยวนั่งลงก่อนจึงพูดว่า “ที่จวนเป็นอย่างไรบ้าง บุตรทั้งสองและฮูหยินผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่” 

 

 

ต่างเป็นคำถามถึงสารทุกข์สุกดิบทั่วไปทั้งสิ้น แต่เมื่อมันออกมาจากปากของจั่งกงจู่ เจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ อยู่สักหน่อย 

 

 

อาจเพราะกินอาหารไม่ได้ พูดคุยกันไม่นานจั่งกงจู่ก็ดูหมดแรงเสียแล้ว เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงรีบขอตัวออกมาทันที 

 

 

“ระยะนี้พระมารดาเป็นเช่นนี้ตลอด ข้าเป็นห่วงยิ่ง” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยขึ้น 

 

 

เจินเมี่ยวถามถึงรสชาติอาการยามปกติของจั่งกงจู่ 

 

 

“พระมารดาชอบกินรสจืดสักหน่อย ไม่ค่อยชอบกินเนื้อ อ้อ พระมารดาชอบกินของหวานด้วย” 

 

 

เจินเมี่ยวเดินตามฉงสี่เซี่ยนจู่ไปที่ห้องครัว 

 

 

ห้องครัวของวังจั่งกงจู่นั้นออกจะใหญ่กว่าห้องครัวของจวนกั๋วกงอยู่มากทีเดียว แต่ที่ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจยิ่งคือมีสับปะรดอยู่หลายลูกเลย 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยอธิบายว่า “พระมารดาชอบกินสับปะรด จึงขนมาจากทางใต้ เมื่อวานก็หั่นส่งไปให้แต่กินเพียงไม่กี่ชิ้น” 

 

 

เจินเมี่ยวเกิดความคิดขึ้นมา “เช่นนั้นก็ลองทำข้าวสับปะรดดูแล้วกัน” 

 

 

นางคว้านเนื้อสับปะรดออกจนหมด แล้วนำเนื้อสับปะรดที่หั่นเป็นลูกเต๋ามาคลุกกับองุ่นตากแห้งและส่วนผสมอื่นๆ แล้วนำมาคลุกให้เข้ากันกับข้าวสวย ตกใส่สับปะรดที่ถูกคว้านเนื้อออก แล้วนำไปนึ่งในหม้ออีกครั้ง 

 

 

เมื่อหยิบมันออกมาจากหม้อนึ่งก็ยังคงมีหน้าตาเป็นสับปะรดเช่นเดิม แววตาของฉงสี่เซี่ยนจู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ทำได้น่าสนใจยิ่ง” นางถือข้าวสับปะรดไว้แล้วนำไปส่งให้จั่งกงจู่ด้วยตนเองพร้อมกับเจินเมี่ยว 

 

 

จั่งกงจู่เพิ่งจะตื่นนอน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มาได้อย่างไร เหตุใดจึงมิอยู่เป็นเพื่อนกับจยาหมิงเล่า” 

 

 

“พระมารดา จยาหมิงทำข้าวสับปะรดมาให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ” ฉงสี่เซี่ยนจู่เพียงใส่เพียงถุงเท้าเดินเข้าไปหาจั่งกงจู่ นางคุกเข่าลง แล้วหยิลข้าวสับปะรดออกมาจากตะกร้า 

 

 

ความสนใจพาดผ่านแววตาของจั่งกงจู่ไป นางรับช้อนมาตักหนึ่งคำ พลันดวงตาก็เป็นประกายขึ้น แล้วเอ่ยชมว่า “ช่างพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ” 

 

 

นางกินไปหลายคำจึงวางช้อนลง แม้จะยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ดีใจมากแล้ว 

 

 

เมื่อกลับจากเรือนจั่งกงจู่นางก็เอ่ยขอบคุณเจินเมี่ยว “จยาหมิง ครานี้เป็นเพราะเจ้าแท้ๆ นี่เป็นครั้งแรกในระยะนี้ที่พระมารดากินมาถึงเพียงนี้” 

 

 

เจินเมี่ยวคิดในใจว่าท่าทางขอเจาอวิ๋นจั่งกงจู่มิคล้ายเป็นโรคเบื่ออาหาร แต่คล้ายมีเรื่องในใจจนกินข้าวไม่ลงมากกว่า แต่เรื่องนี้นางไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดมันออกมาได้ 

 

 

“กลับไปข้าจะเขียนวิธีทำอาหารสักหลายอย่างส่งมาให้ห้องครัวท่านทำ แต่ไม่รับรองว่าจั่งกงจู่จะชอบหรือไม่นะ ข้ากลับจวนก่อนแล้ว” 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่อึ้งไป “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าสักสองสามวันดีหรือไม่” 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “ข้าก็อยากอยู่ แต่น่าเสียดายที่มีบุตรแล้ว หากไม่กลับจวนแม้เพียงสักวัน พวกเขาคงงอแงแน่แล้ว” 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงนึกขึ้นได้ นางยิ้มอย่างเขินอาย ครั้นจะไปส่งเจินเมี่ยวกลับนางก็ห้ามไว้ “ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนจั่งกงจู่เถิด ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก” 

 

 

“ระยะนี้พระมารดามักอ่อนเพลีย คงนอนไปแล้วกระมัง ให้ข้าไปส่งเจ้าเถิด” 

 

 

ตอนที่คนทั้งสองเดินใกล้จะถึงประตูฉุยฮวาแล้วก็พบเข้ากับแม่นมผู้หนึ่งที่แต่งกายอย่างคนในวัง 

 

 

แม่นมผู้นั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไท่โฮ่วมีรับสั่งให้จั่งกงจู่เข้าไปวังไปพูดคุยด้วยสักหน่อยเจ้าค่ะ” แล้วหันไปมองเจินเมี่ยว นางหุบยิ้มและย่อกายเล็กน้อยเป็นการคารวะ 

 

 

กระทั่งนางเดินไปไกลแล้วเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “นั่นแม่นมเสิ่น แม่นมคนสนิทของไท่โฮ่วมิใช่หรือ” 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่พยักหน้า “ใช่ ระยะนี้ไท่โฮ่วมักจะส่งคนมาแจ้งให้พระมารดาเข้าวังอยู่บ่อยๆ แต่พระมารดาสุขภาพมิใคร่ดีนักจึงไม่ได้ไป คิดไม่ถึงว่าวันนี้แม่นมเสิ่นจะมาด้วยตนเอง” 

 

 

แม่นมเสิ่นมีชื่อว่าฟู่เซียง เป็นแม่นมคนสนิที่ติดตามไท่โฮ่วมานับสิบปีแล้ว แม้แต่จ้าวหวงโฮ่วพบนางก็ยังต้องให้เกียรติอยู่หลายส่วน 

 

 

เจินเมี่ยวมิได้คิดอันใดลึกซึ้งเพียงถอนหายใจให้กับความเปล่าเปลี่ยวในวังหลัง แล้วกลับจวนไป 

 

 

เมื่อถึงเรือนชิงเฟิง เจินเมี่ยวก็เข้าเล่นกับบุตรชายก่อนแล้วจึงกลับห้องนอนตน นางเขียนวิธีทำอาหารชนิดต่างๆ ที่คาดว่าจั่งกงจู่จะชอบ แล้วให้คนนำไปส่งที่วังจั่งกงจู่ 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อคนของนางกลับมาจากส่งจดหมาย นางจึงเพิ่งรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว 

 

 

จั่งกงจู่มิได้ตามแม่นมเสิ่นเข้าวังไปพร้อมกัน แม่นมเสิ่นผู้นั้นถูกลักพาตัวไประหว่างเดินทางกลับวัง 

 

 

ภายใต้ฝ่าเท้าของโอรสสวรรค์ คนที่ไท่โฮ่วเชื่อใจที่สุดกลับถูกลักพาตัวไปในเวลากลางวันแสกๆ ทั้งที่เพิ่งออกมาจากวังจั่งกงจู่ได้ไม่นานแท้ๆ นี่เป็นเรื่องที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักหนึ่งครั้ง ไท่โฮ่วทรงกริ้วมาก จึงไปหากบุตรชายและร่ำไห้กับเขายกใหญ่ จนเกือบทำให้เจาเฟิงตี้ที่ตอนนี้เรี่ยวแรงเหลือเพียงครึ่งแทบจะร้องไห้ตามจนได้ไปเยือนโลกใต้พิภพก่อนเวลาอันก่อน นางถึงยอมเลิกรา 

 

 

เจาเฟิงตี้สั่งการลงไปอย่างคนมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ใจของเขาเต้นเร็วดุจกลองรัว เขาได้แต่คิดในใจว่าขออย่าให้มารดาเขาเกิดความรู้สึกอันใดที่ไม่สมควรขึ้นกับแม่นมคนสนิทของตนเลย มิเช่นนั้นเขาคงเสียหน้าจนไม่อันใดแน่ แต่เพราะมารดาร้องไห้อย่างหนัก เขาควรหาตัวคนกลับมาคืนให้เร็วที่สุดค่อยว่ากันอีกที 

 

 

“ขุนนางหลัว เราขอมอบเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ ท่านต้องรีบนำตัวแม่นมเสิ่นกลับมาให้เร็วที่สุด” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืน แล้วทูลว่า “ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เพราะตู้เยี่ยนเซิงเข้าร่วมการก่อกบฏด้วยทำให้คนในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินถูกกำจัดไปมากพอสมควร ยามนี้จึงเหลือเพียงคนสนิทของหลัวเทียนเฉิงเท่านั้น เนื่องจากคนมีจำกัด แต่ละคนจึงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้กลับมีภารกิจอันยิ่งใหญ่อย่างการตามหาแม่นมเสิ่นเพิ่มเข้ามาอีก และต้องตามกลับมาให้ได้ด้วย เพราะไท่โฮ่วพูดแล้วว่า หากตามหาแม่นมกลับมาไม่ได้ นางก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อ 

 

 

“เอาล่ะ เลิกทำท่าซังกะตายได้แล้ว รอให้ตามหาคนพบก่อน ข้าจะขอฝ่าบาทให้ทรงเลื่อนตำแหน่งให้พวกเจ้าเอง” 

 

 

เช่นนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงมีแรงขึ้นมา แล้วออกไปตามหาคนทันที 

 

 

เมื่อคนไปหมดแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อเข้าไปในห้อง เขาก็ยิ้มให้กับคนที่ถูกมัดอยู่บนเสาเตียงแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง แม่นมเสิ่น คิดสิ่งที่จะพูดกับข้าออกแล้วหรือไม่” 

 

 

เขายื่นมือไปดึงผ้าที่ยัดปากแม่นมเสิ่นออก แม่นมเสิ่นนางซีดเหลืองไปหมด นางกัดฟันเอ่ยว่า “หลัวซื่อจื่อ เจ้าช่างกล้าเกินไปแล้ว ไม่กลัวไท่โฮ่วทราบหรือไร” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างสงวนท่าทีแล้วเอ่ยว่า “ไท่โฮ่วยังรอให้ข้าตามหาท่านกลับไปอยู่เลย หากข้ากลัวก็คงไม่พาท่านมาที่นี่แน่” 

 

 

แม่นมเสิ่นส่งเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อนว่า “แม่นมเสิ่น การตายของบิดาข้าและมารดาข้า เกี่ยวอันใดกับไท่โฮ่ว” 

 

 

แม่นมเสิ่นหน้าซีดขาวไปทันที นางเบี่ยงหน้าหนีพลางเอ่ยว่า “หลัวซื่อจื่อล้อเล่นอันใด บ่าวไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่” 

 

 

“ท่านรู้” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยยิ้มบางเบา 

 

 

เดิมเขาก็รูปงามอยู่แล้ว เมื่อยิ้มอ่อนโยนออกมาเช่นนี้ก็สามารถทำให้สาวน้อยเหนแล้วเขินอายไปเลยทีเดียว แต่ในสายตาของแม่นมเสิ่น กลับรู้สึกขนลุกขนพองยิ่ง 

 

 

นางรู้ว่าครั้งนี้คงกลับไปไม่ได้แล้ว 

 

 

แม่นมเสิ่นไม่พูด แต่หลัวเทียนเฉิงก็มิได้รีบร้อน 

 

 

บิดาของชายปิดหน้าผู้นั้นเคยเป็นทหารคนสนิทของปู่เขา เพราะขาพิการจึงมาทำงานทั่วไปในจวนกั๋วกง บุตรชายก็ตามบิดาไปรบเช่นกัน หลังจากบิดาเขาตาย คนผู้นั้นก็กลับมาที่จวนกั๋วกง มารดาเขาตายไปได้ไม่นาน คนผู้นั้นก็ตายเพราะพิษแผลเก่ากำเริบ ตอนนั้นไม่มีผู้ใดสนใจ บิดาของคนผู้นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ยามนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอย่างสงบ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่สืบไปตามเบาะแสที่ตนมี คิดไม่ถึงว่ามันจะโยงมาถึงไท่โฮ่วได้