ตอนที่ 445 เปิดปาก

วาสนาบันดาลรัก

“ท่านยังไม่อยากพูดหรือ” 

 

 

แม่นมเสิ่นแค่นเสียงเย็น “ซื่อจื่อช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า ท่านกลับไปคิดว่าหลังจากนี้จะตอบไท่โฮ่วเช่นไรจะดีกว่า” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะแหะๆ “ท่านช่างชอบเย้าแหย่เสียจริง ข้าเชิญท่านมาไท่โฮ่วจะรู้ได้อย่างไร หรือข้าจะไปทูลต่อพระองค์” 

 

 

เขาส่งสายตาดั่งจะบอกว่า ‘ข้าโง่เพียงนั้นหรือ’ ทำเอาแม่นมเสิ่นโมโหแทบตาย นางกัดฟันเอ่ยว่า “หลัวซื่อจื่อตัดใจเถิด ข้าไม่มีอันใดจะพูด จะฆ่าจะแกงก็ตามใจเถิด” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเกินกลับไปกลับมาอยู่หลายครา แล้วเอ่ยไม่ช้าไม่เร็วว่า “ท่านเป็นคนเป่ยเหอ เข้าวังมาเมื่อรัชศกเทียนกวงปีที่สิบห้า แม้บิดาท่านไม่อยู่แล้ว แต่มารดากลับอายุยืน ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจัดงานเลี้ยงฉลองอายุครบแปดสิบปี วันนั้นลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ทำให้คนในหมู่บ้านต่างพูดถึงอยู่เป็นนาน” แม่นมเสิ่นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “หลัวซื่อจื่อ หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงนั่งแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าหมายความว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว” 

 

 

“เจ้ากล้า!” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “ท่านพูดถูก ข้ากล้าจริงๆ ลี่อ๋องกบฏ ไท่จื่อบุกวัง ยามนี้อานจวิ้นอ๋องก็คิดกบฏ อีก ทั้งยังมีรัชทายาทที่ถูกปลดไปเมื่อรัชสมัยก่อนที่คอยก่อเรื่องอยู่เรื่อยๆ ผู้นั้นอีก แม่นมผู้หนึ่งหายตัวไป เหอะๆ ผู้ที่รอแบกหม้อดำนั้นช่างมีมากเหลือเกินจนข้ายังมิอาจตัดสินใจได้ขณะนี้” 

 

 

เขาพูดพลางมองตาแม่นมเสิ่น “ข้ารู้ว่าตำแหน่งในตอนนี้ของท่าน นอกจากการเป็นนายคนแล้ว คงไม่มีเกียรติยศใดที่ท่านไม่เคยได้เสพสุข ไม่แน่ว่าท่านอาจจะคร้านจะอยู่ต่อแล้วก็ได้เพราะความลับมากมายที่ต้องแบกไว้นี้ แต่ไม่รู้ว่าคนนับสิบในบ้านท่านจะคิดเช่นนี้หรือไม่” 

 

 

แม่นมเสิ่นจึงเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว 

 

 

นางติดตามไท่โฮ่วมาเป็นสิบๆ ปี มีพายุลมฝนใดบ้างที่นางไม่เคยเผชิญ เรื่องโหดร้ายใดบ้างที่มิเคยเห็น กระทั่งเข้าไปร่วมกระทำด้วยก็มี อยู่มาจนปูนนี้นางยังมีอันใดให้กลัวอีก แต่คนในตระกูลนางเล่าจะทำฉันใด 

 

 

บ้านของนางเป็นเกษตรกร ปลูกเรือนอาศัยอยู่บนพื้นที่เกษตรของตน แต่ปีนั้นมีภัยแล้งครั้งใหญ่ บ้านนางขัดสนอย่างหนึ่งจึงขายนางเข้าวัง ต่อมานางได้ดีมีวาสนาจึงคอยดูแลคนในบ้านอย่างดี ตระกูลนางเริ่มมีหน้ามีตาขึ้นมา ยามนี้กลายเป็นตระกูลที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดในหมู่บ้านแล้ว 

 

 

เพราะพระเมตตา ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังได้กลับไปร่วมงานเลี้ยงฉลองอายุครอบแปดสิบปีของมารดาอยู่เลย ทั้งได้อุ้มหลานที่เพิ่งเกิดมาเพียงไม่นานนั้นด้วย 

 

 

แม่นมเสิ่นเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาให้กับบุรุษรูปงามที่กำลังยิ้มอยู่ผู้นั้น 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มบางเบาก่อนเอ่ยว่า “อีกอย่าง ชีวิตของท่านคงมีสีสันน่าตื่นเต้นมากอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่รับใช้สตรีซึ่งเป็นบุตรขุนนางเล็กๆ ตลอดมากระทั่งนางไต่เต้าจนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งไท่โฮ่วได้ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ ท่านต้องการจะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ให้ตายไปกับท่าน แต่จะไม่ยอมเล่าให้คนรุ่นหลังที่มีความสงสัยเช่นข้าได้ฟังเลยหรือ” 

 

 

ไท่โฮ่วเคยเป็นขุนนางหญิงที่คอยรับใช้พระสนมท่านหนึ่ง แต่บังเอิญไปต้องตาจักรพรรดิพระองค์ก่อนเข้า ไม่นานก็มีทายาทมังกร แม้มิได้รับความโปรดปรานมากมายอันใด แต่จุดที่นางสามารถชนะได้คือมีบุตรชาย นางค่อยๆ เดินมาทีละก้าวๆ จนมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ไม่ทราบว่ามีนางกำนัลวังหลังมากมายเท่าใดที่ต้องฉีกขยำผ้าเช็ดหน้าทิ้ง 

 

 

แม่นมเสิ่นพลันหวาดหวั่นขึ้นมา 

 

 

นางไม่กลัวตาย แต่นางมีคนในครอบครัว คงทำได้แค่เพียงคล้อยตามเท่านั้น 

 

 

“ให้ข้าคิดดูก่อนเถิด” แม่นมเสิ่นดูสิ้นหวังขึ้นมา นางเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง 

 

 

“ได้” หลัวเทียนเฉิงนั่งลงกับพื้นเพื่อรอ ทั้งยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “เช่นนั้นท่านก็คิดดูให้ดีแล้วกัน” 

 

 

แม่นมเสิ่นเบิกตาถลนขึ้นทัน 

 

 

หมายความว่าอย่างไรกัน เขาจะรอที่นี่หรือ ควรต้องให้เวลานางคิดสักสามวันมิใช่หรือ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มงดงามอ่อนโยน ในใจก็เอ่ยว่าเขาดูเป็นคนที่จะให้เวลาคิดนานเพียงนั้นงั้นหรือ ทุกเรื่องที่เหนือความคาดหมายมักเกิดขึ้นตอนที่เราคิดว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นทั้งสิ้น แม่นมเสิ่นอายุมากเพียงนี้แล้ว หากเกิดกัดลิ้นตนตายไป เขาจะไปหาผู้ใดมารับผิดชอบเล่า 

 

 

อีกอย่างเขาก็รีบร้อนอยากจะกลับไปดูภรรยาและลูกด้วย มิได้อยู่ดูแลพวกเขามาสักระยะหนึ่งแล้ว 

 

 

แม่นมเสิ่นเข้าใจความหมายของหลัวเทียนเฉิงจึงถอนหายใจยาวออกมา “เอาเถิด ข้ายอมพูดแล้ว แค่ขอว่าต่อไปหลัวซื่อจื่อจะไม่ทำอันใดให้ตระกูลข้าต้องเดือดร้อน” 

 

 

“แม่นมเสิ่นเป็นคนฉลาด แม้ตอนนี้จะเกียรติมีหน้ามีตา แต่ตระกูลท่านยังคงใช่ชีวิตอยู่สงบราบเรียบในหมู่บ้านเล็กๆ แล้วจะมีผู้ใดเจตนาไปหาเรื่องกันเล่า” 

 

 

แม่นมเสิ่นยอมรับชะตากรรมตนแล้ว นางจึงเล่าเรื่องในอดีตที่คิดว่าจะเก็บไปกับตัวจนเข้าโรงศพออกมาจนหมด 

 

 

ไท่โฮ่วมีชาติกำเนิดต้อยต่ำ จึงถูกบรรดาสนมทั้งหลายดูแคลน แม้แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเองก็ยังมีท่าทีเฉยเมยต่อไท่โฮ่ว 

 

 

แต่เพราะนางมีวาสนา ระยะเวลาแค่สิบกว่าปีนั้นนางให้กำเนิดบุตรถึงเจ็ดแปดคน แต่ที่มีชีวิตรอดมาได้มีเพียงสองคน 

 

 

ช่วงชีวิตนับสิบปีนั้น บุตรสาวบุตรชายต่างตกตายลงท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีในวังหลัง ใจของไท่โฮ่วจะเปลี่ยนไปมากมายเพียงใดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถจินตนาการได้เลย 

 

 

นางต้องการให้บุตรชายของตนเป็นที่โดดเด่น มิใช่ตายในน้ำมือพระสนมคนโปรดบางคนที่นางแตะต้องไม่ได้เหล่านั้น 

 

 

การคิดจะให้บุตรชายตนมีอนาคต แน่นอนว่ารัชทายาทย่อมเป็นเสี้ยนหนามสำคัญ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงตกตะลึงจนเกือบจะพูดไม่ออก “ท่านหมายความว่าไท่โฮ่วกับเจินไท่เฟยร่วมมือกันใส่ร้ายความผิดฐานล่วงเกินพระสนมของบิดาตนให้กับรัชทายาทพระองค์งั้นหรือ” 

 

 

แม่นมเสิ่นมองท่าทีอันตะลึงลานของหลัวเทียนเฉิงแล้วยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน นางขอหาความสุขเล็กน้อยจากการเล่าเรื่องในอดีตแล้วกัน 

 

 

ดูเอาเถิด ต่อให้จะเป็นซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงที่มีหูตารอบด้านแล้วอย่างไร เมื่อเขารู้ว่าคนในตระกูลภรรยาตนก็เป็นเพียงแค่น้ำสกปรกในบ่อเท่านั้น 

 

 

แม่นมเสิ่นรู้สึกเบิกบานดั่งได้ตบหน้าหลัวเทียนเฉิงกระนั้น มิต้องรอให้เขาเร่งเลย นางก็พูดไปว่า “เจินไท่เฟยมีความแค้นอันใหญ่หลวงกับรัชทายาทพระองค์ก่อน สรุปคือหลังจากที่รัชทายาทมีชื่อเสียงด่างพร้อยเช่นนั้น จักรพรรดิพระองค์ก่อนจึงรังเกียจเขา ต่อมาก็เป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างองค์ชายด้วยกันซึ่งกินเวลาไปอีกหลายปีเหลือเกิน” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงอ้าปากขึ้น “แล้วไท่เฟย…” 

 

 

แม่นมเสิ่นเข้าใจความหมายขอเขา นางจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “สตรีเช่นไท่เฟยนั้น จะมีบุรุษคนใดที่ตัดใจให้นางตายได้ แม้จักรพรรดิพระองค์ก่อนจะเป็นผู้ครองแคว้นแต่ก็ยังคงเป็นบุรุษ” 

 

 

และเพราะจักรพรรดิพระองค์ก่อนโปรดปรานเจินไท่เฟยยิ่งถึงได้โกรธเกรี้ยวให้รัชทายาทพระองค์ก่อนมากมายเพียงนี้ อาจพูดได้ว่าไท่โฮ่วหาผู้มาร่วมมือกับตนได้เหมาะสมยิ่ง 

 

 

แม่นมเสิ่นคิดว่านั่นอาจจะเป็นโชควาสนาของไท่โฮ่ว ผู้ใดให้รัชทายาทพระองค์ก่อนไปล่วงเกินเจินไท่เฟยก่อนพอดีเล่า 

 

 

“ภายหลังก็มีโอกาสอันดีเกิดขึ้นอีกครั้ง นั้นคือการจัดงานมงคลให้กับเจาอวิ๋นจั่งกงจู่” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงใจเต้นตึกตักขึ้นมา เขาเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “โอกาส?” 

 

 

บิดาเขาเริ่มถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้จากงานมงคลของจั่งกงจู่นั้นเอง 

 

 

แม่นมเสิ่นหัวเราะแผ่วเบา “มิใช่โอกาสหรือ หากเจาอวิ๋นจั่งกงจู่มิสังหารพระสวามีแล้วหลับหนีกลับต้าโจว แล้วชาวเย่ว์อี๋จะก่อความวุ่นวายได้อย่างไร ไม่มีการก่อกวนของชาวเย่ว์อี๋ ฝ่าบาทจะได้นำทัพไปออกรบอย่างสง่างาม จนเป็นที่โดดเด่นงั้นหรือ” 

 

 

องค์ชายที่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ ย่อมไม่มีทางมีชีวิตเช่นเดิมอีกต่อไป 

 

 

“ฝ่าบาท…ทรงทราบหรือไม่” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกในอกมีกองเพลิงอันร้อนแรงกำลังลุกโชนอยู่ มันแผดเผาจนเขาเจ็บปวดทรมานไปหมด 

 

 

แม่นมเสิ่นอยากจะพยักหน้ายิ่ง แต่นางกำลังเล่าความหลังอย่างออกรสจึงเลือกพูดไปตามความจริงว่า “ไม่ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบ แม้แต่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่เองก็ไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของไท่โฮ่ว” 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของหลัวเทียนเฉิง แม่นมเสิ่นจึงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “หลัวซื่อจื่อ ท่านต้องรู้ก่อนว่ามารดาผู้หนึ่งนั้นมีอิทพลต่อบุตรสาวมากเพียงใด บางครานางไม่ต้องการบอกบุตรสาวว่าเหตุใดต้องทำ ก็แค่หาเวลาที่เหมาะสมพูดจาเพียงสองสามประโยค บุตรสาวย่อมต้องทำตามความคิดของนางอย่างแน่นอน”