ตอนที่ 446 ที่ควรตายก็ตายไปหมดแล้ว

วาสนาบันดาลรัก

หลัวเทียนเฉิงเข้าใจความหมายของแม่นมเสิ่นขึ้นมาทันที 

 

 

ลองคิดดูว่าหากไท่โฮ่วคอยพูดกรอกหูว่าเผ่าเย่ว์อี๋เป็นอันตรายกับต้าโจวเช่นไรบ้างอยู่เสมอๆ การอภิเษกกับองค์หญิงจึงเป็นเพียงการท้าทายต้าโจวเท่านั้น การเสียสละเช่นนี้ช่างเปล่าประโยชน์นัก ดังนั้นการที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ผู้มีอุปนิสัยแข็งกร้าวจะลงมือสังหารหัวหน้าเผ่าเย่ว์อี๋ย่อมเป็นเรื่องที่ไท่โฮ่วคาดการได้อยู่แล้ว 

 

 

ส่วนเจาเฟิงตี้นั้นไท่โฮ่วแค่พูดคำเดียวว่าเจาอวิ๋นทำเพื่อต้าโจวและทำเพื่อเจ้าด้วย เจ้าเองก็ต้องทำมันออกมาให้ดี เจาอวิ๋นจะได้มิถูกขุนนางทั้งหลายบีบให้ตาย และสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย ขอเพียงเจาเฟิงตี้มิใช่คนขี้ขลาด ย่อมต้องตัดสินไปรบเพื่อให้สงครามที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก่อมันขึ้นมาสงบลง 

 

 

ครั้งนี้ไท่โฮ่วได้ใช้บุตรสาวและบุตรชายของตนเป็นเดิมพัน หากชนะก็จะเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในใต้หล้า กระทั่งมีอำนาจล้นฟ้า แต่หากแพ้ นางก็จะสูญเสียบุตรทั้งสองไป 

 

 

แต่นางได้เสียบุตรไปแล้วถึงสี่คน ภายหน้าบุตรชายของผู้อื่นขึ้นสืบราชบัลลังก์ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้คนทั้งสามอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงจะไม่ลองเสี่ยงดูสักตั้งเล่า 

 

 

“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับบิดาข้าเล่า”  

 

 

นี้เป็นครั้งแรกที่ในแววตาของแม่นมเสิ่นปรากฏความเห็นใจขึ้น “ความโชคร้ายมันเกิดขึ้นในงานเฉลิมพระชนมพรรษาของไท่โฮ่ว เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ทรงมายินดีกับไท่โฮ่ว สองแม่ลูกดื่มสุราด้วยกัน ไท่โฮ่วมีทรงเมาเล็กน้อยจึงเผลอพูดออกมา ส่วนเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ทรงรับไม่ได้ ทรงออกจากวังไปด้วยโทสะจึงขี่ม้าตกเขา ตอนนั้นคนที่ออกตามหาเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก็คือบิดาท่าน ไท่โฮ่วรู้ดีว่าเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ชมชอบบิดาท่าน แต่เวลานั้นบิดาท่านได้แต่งภรรยาและมีบุตรไปแล้ว จั่งกงจู่เป็นคนทระนงตนยิ่งจึงมิเคยเอ่ยอันใดกับบิดาท่านแม้เพียงครึ่งคำ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นไท่โฮ่วก็มีความแคลงใจว่าบิดาท่านจะทราบความจริงแล้ว ทรงถามหยั่งเชิงเจาอวิ๋นจั่งกงจู่อยู่หลายครา สุดท้ายจึงอดลงมือมิได้ พระองค์ซื้อตัวทหารคนสนิทของบิดาท่าน แล้วกำจัดหอกข้างแคร่นี้ให้สิ้นไปในสนามรบ”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วถึงกับตาแดงก่ำแทบถลนออกมาจากเบ้า สองมือกำหมัดแน่นเสียงดังกร๊อบๆ เส้นโลหิตที่หลังมือปูดโปนขึ้น เขากัดฟันเอ่ยถามว่า “แล้วมารดาข้าเล่า”  

 

 

วังหลังนั้นเป็นสถานที่สกปรกโสมมอย่างที่สุดจริงๆ สตรีที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่สตรี แต่เป็นโคลนดำ เป็นยาพิษ เป็นฝันร้ายที่พรากชีวิตผู้คน 

 

 

แม่นมเสิ่นยิ้มน้อยๆ “หลัวซื่อจื่อ ท่านต้องรู้ว่าไท่โฮ่วเป็นคนรอบคอบ ทุกย่างก้าวไม่ยอมให้มีสิ่งใดผิดพลาด มิเช่นนั้นพระองค์จะเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร มารดาท่านเคยไปพบจั่งกงจู่ด้วย ดูท่าไท่โฮ่วคงคิดจะตัดรากถอนโคนเป็นแน่”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ  

 

 

บิดาของเขาช่างตายอย่างไร้ความเป็นธรรมยิ่ง เพียงแต่ในสายตาของผู้ที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดที่สูงที่สุดในโลกนี้ พวกเขากลับไม่นับเป็นอันใดได้ 

 

 

ผ่านไปนาน หลัวเทียนเฉิงถึงสงบใจลงได้ “เช่นนั้นอานจวิ้นอ๋องเล่า เหตุใดเขาถึงรู้เรื่องนี้”  

 

 

แม่นมเสิ่นส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนกลัวเกรงบิดาของอานจวิ้นอ๋องยิ่ง บิดาเขาสุขภาพย่ำแย่มาตลอด อายุยังน้อยก็จากโลกนี้ไปเสียแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีสาเหตุอื่นแอบแฝง แม้อานจวิ้นอ๋องจะแสร้งเป็นคนโง่เง้าเจ้าสำราญมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่คาดว่าเขาคงรู้อยู่แก่ใจดี เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็อาจส่งคนของตนเข้าไปสอดแนมก็เป็นได้ เพราะจักรพรรดิพระองค์ก่อนไปจนถึงขุนนางทั้งหลายต่างก็ไม่มีใครสงสัยว่าเขาจะคิดอันใดไม่ซื่อเลย อีกอย่างจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดี จึงมิได้คิดการป้องกันอันใดไว้กระมัง”  

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ หลัวเทียนเฉิงจึงลุกขึ้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ขอบคุณท่านมาก”  

 

 

เขาเดินออกไปจากห้องลับโดยไม่หันหลังกลับมาอีก 

 

 

หากช่วงนี้มองผู้ใดแล้วขัดตาก็ส่งศพแม่นมเสิ่นไปทิ้งที่หน้าประตูบ้านเขาแล้วกัน 

 

 

หลายวันมานี้ไท่โฮ่วเอาแต่ร้องไห้จนตาบวมเป่งหมดแล้ว เจาเฟิงตี้คิดอย่างเจ็บแปลบอยู่ในใจว่า หากตนต้องกลับคืนสู่สวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าเสด็จแม่จะร้องไห้หนักเพียงนี้หรือไม่ 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจาเฟิงตี้ก็รู้สึกสับสนขึ้นมา หลังจากไท่โฮ่วกลับไปแล้วก็เรียกให้ฝูเฟิงเจินเหรินเข้าวังมาพูดคุยกับตนเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ 

 

 

เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับแม่นมชรา เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป 

 

 

“ขุนนางหลัว ยังหาตัวแม่นมเสิ่นไม่พบอีกหรือ” กระทั่งเจาเฟิงตี้พูดคุยกับฝูเฟิงเจินเหรินจนหมดความสนใจแล้วก็เรียกให้หลัวเทียนเฉิงเข้าวังมาแทน 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าละอายใจยิ่ง “หม่อมฉันทำงานบกพร่องพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“เรื่องนี้มิอาจตำหนิเจ้าได้ แต่เจ้าต้องเร่งมือสักหน่อย แม่นมเสิ่นติดตามไท่โฮ่วมาหลายสิบปี ระยะนี้ไท่โฮ่วจึงอารมณ์มิใคร่ดีนัก”  

 

 

“หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ภายหลังหลัวเทียนเฉิงจึงเรียกขันทีที่ตนซื้อตัวไว้มาถาม ขันทีน้อยผู้นั้นตอบว่า “ไท่โฮ่วระบายพระอารมณ์อยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ชุดถ้วยชาก็แตกไปแล้วหลายชุด ทรงตรัสว่าหากทราบว่าผู้ใดลักพาตัวแม่นมเสิ่นไป จะประหารสามชั่วโคตรขอรับ”  

 

 

หลัวเทียนเฉินได้ฟังก็ยิ้มออกมา 

 

 

วันต่อมาก็พบศพแม่นมเสิ่นถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูจวนของตระกูลมารดาไท่โฮ่ว บ่าวที่ออกมาเปิดประตูตกใจจนแทบตายตามไปเลยทีเดียว 

 

 

ไท่โฮ่ว “…”  

 

 

ไท่โฮ่วร่ำไห้จนหมดสติไป และไม่พูดถึงการประหารสามชั่วโคตรอันใดนั่นอีก นางด่ากราดตั้งแต่เจาเฟิงตี้ไปจนถึงหลัวเทียนเฉิง แต่สุดท้ายการตายของแม่นมเสิ่นก็ยังคงเป็นคดีที่สืบเบาะแสใดๆ มิได้ 

 

 

รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบแปดไท่โฮ่วกินบัวลอยแล้วเกิดติดคอจนสิ้นพระชนม์ไปในงานเทศกาลโคมไฟ 

 

 

เจาเฟิงตี้ร่ำไห้จนหน้ามืด ในใจก็คิดว่าบัวลอยที่เสด็จแม่กินมาตลอดหลายปีล้วนเป็นฝีมือของแม่นมเสิ่น เห็นชัดว่าเสด็จแม่คงคิดถึงแม่นมเสิ่นยิ่ง ถึงได้มาเกิดเรื่องขึ้นในปีนี้ได้ 

 

 

เขาเปรียบไม่ได้กับแม่นมคนหนึ่งจริงๆ เจาเฟิงตี้คิดแล้วก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม 

 

 

ขุนนางบุ๋นบู๋ต่างตกใจกันไปหมด เมื่อเห็นจักรพรรดิเป็นเช่นนี้ก็คิดว่าเหตุการณ์คงไม่ดีแน่ อย่าได้บอกว่าไท่โฮ่วสวรรคตไปแล้ว ฝ่าบาทก็จะกลับคืนสู่สวรรค์เช่นกันเล่า เช่นนั้นต้าโจวคงได้วุ่นวายแน่ ตำแหน่งรัชทายาทยังไม่ได้แต่งตั้งเลย!  

 

 

เหล่าขุนนางเพิ่งจะคิดถึงเรื่องการเร่งแต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาท กลับมีเรื่องไม่มีไม่งามของซิ่วอ๋องแพร่ออกมาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด 

 

 

ซิ่งอ๋องกับเจียงเหยียนตระกูลเจียงแห่งชิงหยาง ผู้มีสอบได้เป็นจ้วงหยวนเมื่อปีก่อนมีความสัมพันธ์กัน 

 

 

หากพูดถึงอ๋อง นั่นเป็นตำแหน่งที่ใหญ่ยิ่ง นี่จึงไม่ใช่ปัญหาอันใด แต่เจ้าอย่าได้ไปมีความสัมพันธ์กับจ้วงหยวนเด็ดขาด ชื่อเสียงของเขามิใช่โด่งดังไปหน่อยกระมัง เราหาเด็กหนุ่มไร้บรรดาศักดิ์สักคนก็ได้แล้วมิใช่หรือ อีกทั้งจะถูกเปิดเผยเมื่อใดก็มิว่าแต่กลับมาถูกเปิดเผยในช่วงเวลาที่ไท่โฮ่วสวรรคตไปเพียงไม่นานเท่านั้น 

 

 

แน่นอนว่าเจาเฟิงตี้ย่อมโมโหจนขาข้างหนึ่งได้หย่อนเข้าไปในโลงศพแล้ว เขาฝืนตัวเองไว้ให้เรียกซิ่วอ๋องเข้ามาด่าในวังเป็นการใหญ่ และลดตำแหน่งเขาเป็นเพียงจวิ้นอ๋อง 

 

 

เห็นชัดว่าตำแหน่งรัชทายาทนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับซิ่วอ๋องเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ด้วยเหตุนี้เหล่าขุนนางจึงคอยจับตาดูกุ้ยอ๋องและเฉินอ๋อง 

 

 

กุ้ยอ๋องเป็นพี่ แต่เฉินอ๋องเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมากกว่าสักหน่อย ทั้งหลายปีมานี้ก็ซื้อใจขุนนางไว้ไม่น้อย ใจของขุนนางทั้งหลายจึงโอนเอนไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

เพียงแต่ไท่โฮ่วเพิ่งสวรรคตไป ยามนี้จึงไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท แต่มีขุนนางใหญ่ผู้เฉลียวฉลาดผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่าวสันต์ใกล้เข้ามาแล้ว ปีนี้ลมฝนมีมาก จึงควรต้องเลือกเชื้อพระวงศ์สักพระองค์หนึ่งไปกราบไหว้อธิษฐานขอพรแทนฝ่าบาท และนับเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูอย่างหนึ่งต่อไท่โฮ่วอีกด้วย 

 

 

เจาเฟิงตี้ได้ฟังก็บอกว่าไม่เลว จึงรับปากไปทันที แต่จะให้กุ้ยอ๋องหรือเฉินอ๋องไปดีเล่า เขายังต้องทบทวนอีกสักหน่อย 

 

 

บรรดาขุนนางรู้ดีแก่ใจว่า ผู้ที่ได้รับเลือกให้ไปกราบไว้อธิษฐานขอพรแทนพระองค์ย่อมต้องเป็นรัชทายาทให้ภายภาคหน้าแน่ 

 

 

แม้แต่เหล่าขุนนางยังรู้ แล้วมีหรือที่อ๋องทั้งสองจะไม่รู้ เมื่อผ่านการแย่งชิงกันมาอย่างดุเดือดชั่วระยะหนึ่ง การเป็นตัวแทนพระองค์ในครั้งนี้จึงตกเป็นของกุ้ยอ๋อง 

 

 

กุ้ยอ๋องกับเฉินอ๋องต่างพอใจกับผลลัพธ์ครั้งนี้ด้วยกันทั้งสิ้น 

 

 

แต่อย่างไรเฉินอ๋องก็จะมีความระแวงในใจอยู่บ้าง เมื่อนัดพบกับหลัวเทียนเฉิงจึงได้เอ่ยถามเขาว่า “วันนั้นจะมีสุริยคราสจริงๆ หรือ”