เทพสงครามพิทักษ์โลก บทที่ 653
ผู้ที่ได้สัมผัสกับควันนี้ ผิวหนังก็จะเน่าเปื่อยทันที

ไม่เพียงเท่านั้น

ควันสีเขียวยังทวีความเจ็บปวดอย่างมาก และแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก

เห็นเพียงลูกสมุนของกุ่ยเหมิน ที่จับหน้าตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ก้อนเนื้อสีเลือดถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆโดยพวกเขา

มีบางจุด ถึงขั้นเห็นกระดูกสีขาวได้อย่างชัดเจน

ดูแล้วเหมือนดั่งปีศาจร้าย

หน้ากากผีบนใบหน้าของพวกเขาก็ถูกฉีกออกทีละชิ้นเช่นกัน

เผยให้เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวด้านใน

โดยทั่วไปแล้วคนเหล่านี้ได้รับการแปลงโฉมแล้ว

เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร

เย่ชิวเห็นดังนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมาก

สายตาของเขาแสดงความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ

ฟิ้ว!

หนึ่งร่างรวดเร็วปานสายฟ้า

เย่ชิวรีบบินกลับไปทันที

ความว่องไวของเขาเร็วมาก

เพราะกลัวว่าหากช้ากว่านี้ตนเองจะถูกควันพิษสีเขียวกลืนกิน

อ้าก!

อ้าก!

อ้าก!

เสียงร้องโหยหวนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ชั่วพริบตาเดียว

ลูกสมุนนับร้อยของกุ่ยเหมิน

ต่างก็นอนกองลงกับพื้น ไร้ซึ่งชีวา

ใบหน้าของพวกเขา ล้วนถูกพวกเขาฉีกขาดด้วยมือของตนเอง

ดูแล้วช่างน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!

เมื่อก่อน

พวกเขาขู่ว่าจะส่งนักบู๊หลายร้อยคนไปสู่ความตาย

ตอนนี้

เพียงช่วงเวลาอันสั้น พวกเขาก็ได้ตายตามไป

ดังคำกล่าวที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว!

เมื่อเห็นดังนั้น

สงครามกำลังจะเริ่มต้น บรรยากาศตึงเครียดที่ทุกคนชักดาบออกมา

พลันหายไปทันที

สายตาของทุกคนจ้องมองเต็มด้วยความตกใจ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อเห็นว่าลูกสมุนหนึ่งร้อยคนของตนเองถูกฆ่าตายในทันที

ผู้คุมกฎสิบถึงกับต้องหลั่งน้ำตา

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า

เย่เวิ่นจะโหดเหี้ยมเช่นนี้

แม้กระทั่งโลงศพของตนเอง ก็ยังสร้างกลไกไว้

และเป็นกลไกที่แปลกประหลาดและอยู่ยงคงกระพันมาถึงปัจจุบัน

ลูกสมุนนับร้อยของกุ่ยเหมิน แม้แต่โอกาสจะร้องขอชีวิตยังไม่มี ติดพิษจนตาย

“นายท่าน ข้าน้อยสมควรตาย!”

นายท่าน

เย่ชิวรีบวิ่งเข้าไปและคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คุมกฎสิบ

ความตายอันน่าสลดใจของคนสำนักเดียวกัน

ทำให้เขารู้สึกผิดบาปในใจ

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ห่างจากโลงศพหิน

ผนวกกับการตอบสนองที่ทันเวลา

เกรงว่าตอนนี้ เขาก็คงติดพิษจนตายเช่นกัน

ตอนนี้เย่ชิว

หวาดกลัวและโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม

ออกเดินทางนับร้อยคน

สุดท้ายแล้วเหลือเขารอดชีวิตเพียงคนเดียว

เขาไม่รู้ว่าผู้คุมกฎสิบจะลงโทษเขาอย่างไร

“พอแล้ว!”

เมื่อเห็นผู้คุมกฎสิบยิ้มเยือกเย็น พลางพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

ณ เวลานั้น

เย่ชิวพลันเหงื่อท่วมตัว

เขารู้สึกถึงรังสีอาฆาตอันใหญ่หลวงที่ห่อหุ้มเขาไว้

โชคดีที่รังสีอาฆาตนี้ค่อยๆจางหายไป

เห็นผู้คุมกฎสิบสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ! ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! กลไกที่ซ่อนอาวุธไว้ ไม่ว่าใครก็ยากที่จะป้องกัน!”

ตอนนี้ถือเป็นช่วงซื้อใจคน

หากฆ่าเย่ชิว

ผู้คุมกฎสิบก็ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาแล้ว

“ขอบคุณขอรับนายท่าน!” เย่ชิวถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลี่ซู่และคนอื่นๆ ที่วิ่งไปครึ่งทางก็หยุดกะทันหัน!

เอี๊ยด!

ความตื่นตระหนก!

ความหวาดกลัว!

ความน่าสยดสยอง!

นอกจากคำพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีคำอื่นใดที่จะอธิบายผู้คนเหล่านี้ได้

เห็นความตายอันน่าสลดใจของลูกสมุนกุ่ยเหมินหลายร้อยคน

พวกเขาก็รู้สึกขนหัวลุก

สายตาสั่นกลัว

หากไม่ใช่ความว่องไวของพวกเขาที่ช้าลงเล็กน้อย

คงต้องจบชีวิตลงเป็นแน่

ทันใดนั้น

ทั้งผืนป่าพลันเงียบสงบ

ไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัวทั้งสิ้น

ทุกคนล้วนถูกทำให้หวาดกลัว

ไม่มีใครรู้ว่าในโลงศพนี้จะมีของประหลาดอันใดอีก

“หยางเฟิง!” เหลิงฉานมองไปที่หยางเฟิงทันที เขาโกรธแค้นดั่งปอดจะระเบิด เส้นเลือดจะแตกออกมา

“หยางเฟิง ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้คุมกฎสิบมีสีหน้าเศร้าสร้อยและโกรธเคืองดั่งไฟสุมอก

เมื่อสักครู่ทุกคนล้วนเคลื่อนทัพแล้ว

มีเพียงหยางเฟิงที่ไม่เคลื่อนทัพ

ใครๆก็ดูออกว่าเจ้าหยางเฟิงผู้นี้มันรู้อะไรบางอย่าง ก็แค่รอให้ตนเองไปเปิดกลไกกับดัก

แต่ตอนนี้

หยางเฟิงเคลื่อนทัพแล้ว!

ด้วยวิธีการเคลื่อนกายอันรวดเร็ว เขารีบพุ่งไปที่โลงศพของเย่เวิ่นด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด