ตอนที่ 87 แบ่งของที่แย่งชิง หนีเพื่อเอาตัวรอด

ลำนำสตรียอดเซียน

“อ๊ากกก!!!”

 

 

ควบคู่ไปกับเสียงร้องที่สยองขวัญ มือที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างของนางก็หายไป โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นและตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น

 

 

เจียงเฉิงเสียนคนที่เมื่อครู่ยังคงทำทุกอย่างที่ตัวเองพอใจ ตอนนี้กลับนอนแผ่แขนขาเหยียดตึงอยู่ที่พื้นโดยมีรูทะลุขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ตรงหน้าอก ตายอยู่อย่างนั้น

 

 

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา ภาพที่นางเห็นคือใบหน้าของเจียงซั่งหังที่ดูเศร้าหมอง

 

 

“ศิษย์…ศิษย์พี่เจียง…” ทันใดนั้นคลื่นแห่งความอ่อนล้าก็ถาโถมมาที่นาง นางไม่มีแรงที่จะพูดออกมาได้ เมื่อมือที่น่ารังเกียจเหล่านั้นเคลื่อนไหวไปทั่วตัวของนาง นางไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะนางรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียมากกว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาตอนนี้เท่านั้นที่นางรู้สึกถึงความกลัวที่ยังตกค้างจากช่วงเวลานั้นอยู่

 

 

เมื่ออารมณ์ของนางเย็นลงมากขึ้น นางก็รู้ได้ทันทีถึงแม้ว่าเจียงเฉิงเสียนจะตายแล้ว แต่สถานการณ์ของนางก็ยังไม่เปลี่ยนไปถ้าเจียงซั่งหังนั้นมีเจตนาร้ายต่อนางเช่นกัน ดังนั้น นางเงยหน้าขึ้นอย่างประหม่าจ้องมองไปที่เจียงซั่งหัง ยังโชคดีที่เสื้อผ้าของนางยังไม่ได้ถูกถอดและเผยผิวใต้ร่มผ้าออกไป นางแค่ไม่รู้ว่าเขาได้ยินสิ่งที่เจียงเฉิงเสียนพูดไปหรือไม่

 

 

เมื่อเห็นท่าทางที่วิตกกังวลและแสดงออกถึงความกลัวโดยมีเหงื่อปกคลุมไปทั่วหน้าของเจียงซั่งหัง ในที่สุดนางจึงตระหนักถึงความจริงที่ว่าเจียงซั่งหังเพิ่งจะฆ่าญาติผู้น้องของเขา ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นเหมือนศัตรูกันมากกว่าพี่น้องมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ความรู้สึกของเขาตอนนี้คงวุ่นวายสับสนน่าดู จริงไหม

 

 

นางพยายามเรียกชื่อเขา “ศิษย์พี่เจียง”

 

 

เจียงซั่งหังรีบดึงสติกลับคืนในทันทีพร้อมกับปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากออกไปก่อนที่จะจ้องมองมาที่นาง หลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินมาหานางพร้อมกับดึงเชือกดักมังกรออก ด้วยการตายของเจียงเฉิงเสียน เชือกดักมังกรก็สามารถแกะออกได้โดยง่าย “ลุกขึ้น”

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ปฏิกิริยาของเจียงซั่งหังยังคงปกติ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่งมาถึงและไม่ได้ยินในสิ่งที่เจียงเฉิงเสียนพูดไป

 

 

นางยืนขึ้นหันหลังกลับเพื่อจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะหันกลับมา นางประสานมือทำท่าคารวะต่อเจียงซั่งหังพร้อมพูด “ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่เจียงเป็นอย่างมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้” ถึงแม้ว่านางจะเรียกเขาแบบเดิม แต่ครั้งนี้นางแสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งใจมากขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าเจียงซั่งหังจะเคยปฏิบัติต่อนางอย่างไร แต่ความจริงนั้นคือเขาได้ช่วยชีวิตของนางไว้ในวันนี้

 

 

สีหน้าของเจียงซั่งหังในรูปแบบเก่ากลับมา ด้วยท่าทางเฉยเมย เขาตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เจ้าเคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง ข้าแค่ชดใช้คืนให้”

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่เขาพูดถึง… เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วหรือ? น่าจะเป็นอย่างนั้นแน่… เราสองคนมีช่วงที่เผชิญหน้ากันที่ผ่านมาแค่นั้น

 

 

เมื่อสามปีที่แล้ว เมื่อศิษย์พี่เจียงถูกทำร้ายโดยเจียงเฉิงเสียน นางบังเอิญเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นและแอบพาเขากลับมา ในภายหลัง นางยังโกรธเคืองที่เขาไม่ได้รู้สึกสำนึกในบุญคุณเลยด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าศิษย์พี่เจียงไม่ได้เมินเฉยหรือไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคงจำได้ตลอดสามปีที่ผ่านมา!

 

 

สิ่งที่ทำโดยไม่ได้ตั้งใจในอดีตช่วยชีวิตนางเอาไว้ในวันนี้อย่างไม่คาดคิด โม่เทียนเกอคิดไปเองอย่างช่วยไม่ได้ว่าในโลกแห่งการฝึกตนนี้นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเห็นแก่ตัวเองก็ได้ เมื่อนางทำอะไรเพื่อตัวเอง การช่วยคนอื่นบ่อยขึ้นก็อาจจะสร้างกรรมดีให้กับตัวนางเองเช่นกัน สุดท้ายแล้วในกฎแห่งกรรมก็ไม่ได้มีแต่กรรมสนองเท่านั้น แต่ยังคงมีกรรมที่ดีด้วยเช่นกัน

 

 

ดังนั้นเมื่อนางเห็นเจียงซั่งหังที่มีการแสดงออกแบบเย็นชา ทัศนคติที่มืดมน นางก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจอีกแล้ว พูดตามความจริงก็คือ เจียงซั่งหังไม่ได้ชอบที่จะอยู่กับพวกเขา มีรูปแบบการพูดที่ทื่อๆ และการวางตัวที่เย็นชา แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่แย่เกี่ยวกับเขา อย่างไรก็ตาม… เขารู้ได้อย่างไรว่านางตกอยู่ในอันตรายและเขามาถูกจังหวะได้อย่างไร?

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอหันไปมองศพที่นอนอยู่บนพื้น เจียงซั่งหังก้มหมอบลงและเริ่มที่จะตรวจสอบศพอยู่ก่อนแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะถาม “ศิษย์พี่เจียง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังเกิดปัญหา”

 

 

เจียงซั่งหังตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ข้ารู้จักคนนั้น”

 

 

“หา”

 

 

“คนที่บอกให้เจ้าตามมา”

 

 

ศิษย์พี่อู๋? ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจ เจียงซั่งหังกำลังฝึกตนอยู่ในห้องของเขา ดังนั้นเมื่อศิษย์พี่อู๋มาตามหานาง เจียงซั่งหังก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นขี้ข้าของเจียงเฉิงเสียน และที่เขาอ้างว่า “อาจารย์ลุงโจวกำลังตามหา” จึงเป็นเรื่องโกหก

 

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางโชคดีมากแค่ไหน ถ้าเจียงซั่งหังไม่ได้บังเอิญอยู่ในห้องและได้ยินบทสนทนานี้นางก็คง…

 

 

“แล้วคนนั้นล่ะ” โม่เทียนเกอถาม หลังจากที่เจียงเฉิงเสียนขอให้เขาไปเฝ้าระวังให้

 

 

“ข้าฆ่าเขาไปแล้ว” เจียงซั่งหังพูดอย่างไม่แยแส

 

 

โม่เทียนเกออึ้ง ศิษย์พี่เจียงคนนี้… ช่างเป็นคนไร้ความปรานียิ่งนัก… เมื่อถึงเวลาที่ต้องฆ่า เขาไร้ซึ่งความเมตตาอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม มันทำให้นางมีความประทับใจที่แตกต่างต่อเจียงซั่งหัง นางรู้สึกว่าการไร้ซึ่งความปรานีของเขานั้นเป็นจุดแข็ง ในโลกแห่งการฝึกตนนี้ เมื่อพวกเขาจำเป็นที่จะต้องโหดเ**้ยม พวกเขาไม่สามารถที่จะปรานีได้แต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานแน่นอน

 

 

ขณะนั้นเจียงซั่งหังพบกระเป๋าเอกภพสองใบ เขาโยนใบของนางคืน “นี่เป็นของเจ้าใช่ไหม”

 

 

โม่เทียนเกอรับมันกลับมาและตอบ “ใช่ ขอบคุณท่านมาก”

 

 

เมื่อสำรวจศพของเจียงเฉิงเสียนเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังยืนขึ้นและหันมาทางนาง เขาขมวดคิ้วและพูด “ศิษย์น้อง… ศิษย์น้องเยี่ย สุดท้ายแล้วอะไรคือสาเหตุที่เจ้าต้องแต่งตัวเหมือนผู้ชายและเข้ามาอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้?”

 

 

เจียงซั่งหังยังคงใช้น้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างเคย แต่ครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกรำคาญอีกต่อไป บางทีอาจจะเป็นเพราะความประทับใจที่นางมีต่อเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้เจตนาถามแบบนั้นจริงๆ

 

 

ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว นางตอบ “ศิษย์พี่เจียงจะเชื่อข้าหรือไม่ หากข้าตอบว่าข้ามิได้มีจุดประสงค์อันใดเลย”

 

 

เจียงซั่งหังพูด “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้สนใจในเรื่องของเจ้า แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราทั้งสองคงไม่อาจหลบเลี่ยงจากผลที่จะตามมาได้”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจได้ในสิ่งที่เขาพูด เมื่อนางเตรียมตัวที่จะสู้กับเจียงเฉิงเสียน นางได้นึกถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ในเมื่อพวกเขาฆ่าเจียงเฉิงเสียนไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถอยู่ที่เขาอวิ๋นอู้ได้อีกต่อไป พวกเขาจะต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของกลุ่มเจียง อย่างไรก็ตามกลุ่มเจียงมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังถึงสองคน มันช่าง…

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจพร้อมพูดว่า “เหตุการณ์นี้… ข้าทำให้ศิษย์พี่เจียงต้องเขามาข้องเกี่ยวด้วย ข้าต้องขออภัยจากใจจริง”

 

 

หลังจากที่เขาได้ยินนางพูด สีหน้าหงุดหงิดใจเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเขา แต่เขาก็พูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อข้ายินดีที่จะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ข้ารอเวลาที่จะออกจากกลุ่มเจียงมานานแล้ว”

 

 

“ท่านต้องการที่จะออกจากกลุ่มเจียง?” โม่เทียนเกอถามด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะไม่ได้สำคัญต่อกลุ่มเจียง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังได้ผลประโยชน์จากอิทธิพลและกำลังในกลุ่มนั้น ในเมื่อเขายังไม่ทันที่จะได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง เขาจะต้องเผชิญความลำบากต่ออนาคตของเขามากมายแน่นอนหากเขาละทิ้งกลุ่มเจียงไปในตอนนี้

 

 

เจียงซั่งหังยิ้มเยาะ “ครั้งล่าสุดที่ข้ากลับไปบ้าน ข้าก็ได้รู้ว่าอาม่าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้าได้จากไปเสียแล้ว อาม่าของข้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ นางเจ็บป่วยจากโรคเล็กน้อย พวกเขาก็เพียงแค่ต้องช่วยนางและพวกเขาก็จะสามารถรักษานางได้ แต่พวกเขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย… แล้วทำไมข้าถึงจะต้องยังคงอยากอยู่ในกลุ่มแบบนี้อีก”

 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองคนตกอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้วในตอนนี้เขาถึงได้บังเอิญพูดโพล่งเรื่องเหล่านี้ออกมา อย่างไรก็ตาม เขาดูรู้สึกเสียใจหลังจากที่พูดจบ และรีบพูดต่อว่า “พอกับเรื่องไร้สาระพวกนี้เสียที ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่ ถ้าพวกเราช้าไปกว่านี้แล้วถูกคนอื่นจับได้ พวกเราจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า “ศิษย์พี่เจียง ข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้จะต้องเชื่อมโยงมาถึงข้าอย่างแน่นอน บางคนจะต้องรู้ว่าศิษย์พี่แซ่อู๋ออกมาตามหาข้า ดังนั้นเมื่อมีการสืบถึงการตายของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่เบาะแสนั้นจะชี้มาที่ข้า ในทางกลับกันสำหรับท่าน ท่านสามารถรามือจากเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดาย”

 

 

เจียงซั่งหังกล่าว “ข้าไม่อาจเชื่อได้ในเรื่องของความโชคดี มันคงจะดีกว่าหากข้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการออกไป ทุกคนจะตามล่าเจ้า ดังนั้นมันง่ายกับข้าที่จะหนีไป”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจเหตุผลนั้นของเขา ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะก่อเหตุอาชญกรรม แต่เจียงซั่งหังหลบซ่อนตัว ดังนั้นมันง่ายกว่าที่จะปกปิดความเกี่ยวข้องของเขา นางไม่ได้รู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพราะนาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและตอบ “ข้าเข้าใจ”

 

 

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังมองศพของเจียงเฉิงเสียนพร้อมจัดการด้วยคาถาทรายดูด

 

 

เมื่อร่างของเจียงเฉิงเสียนจมหายไปกับพื้นดินจนหมด เจียงซั่งหังเปิดกระเป๋าเอกภพของเจียงเฉิงเสียนอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากำลังหาของบางอย่าง สุดท้ายแล้วเขาหยิบขวดยาวิเศษและเทของที่อยู่ด้านในออกมา สีหน้าของเจียงซั่งหังดูเศร้าหมองลงในทันทีที่เห็นยาห้าเม็ดในขวดนั้น

 

 

โม่เทียนเกอแปลกใจจึงถามว่า “มีอะไรหรือ”

 

 

เมื่อเจียงซั่งหังเก็บยาใส่กลับเข้าไปในขวด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมอบยาสองเม็ดให้กับนาง เขาพูด “นี่เป็นยาเกลาฐานแห่งพลังของกลุ่มเจียง ทานไปหนึ่งเม็ดเมื่อเจ้าต้องการสร้างฐานแห่งพลัง มันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เจ้าประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น”

 

 

โม่เทียนเกอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ และจ้องมองไปที่ยาในมือของนาง นางได้ยินมานานแล้วว่ากลุ่มเจียงมียาวิเศษประเภทที่ช่วยในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่เจียงซั่งหังกลับไม่ได้ส่วนแบ่งอะไร ไม่แปลกใจที่เขามีปฏิกิริยาอย่างเมื่อครู่นี้ เขาได้ครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังแล้วและเพียงแค่ต้องสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แต่เขากลับไม่ได้รับยาสักเม็ดเดียวจากกลุ่มของเขา ตอนนี้พวกเขาเจอยานี้ถึงห้าเม็ดจากร่างของเจียงเฉิงเสียน… สุดท้ายแล้ว ความลำเอียงของกลุ่มเจียงนี้จะมากมายแค่ไหนกัน?

 

 

ในขณะนี้ นางรู้สึกว่าการออกจากกลุ่มเจียงเป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับเจียงซั่งหัง พวกเขาต่างกลั่นแกล้ง ทอดทิ้งเขาและครอบครัวของเขา และยังปฏิบัติอย่างเลือกที่รักมักที่ชังในเรื่องสำคัญอย่างการสร้างฐานแห่งพลัง ต่อให้เขายังคงอยู่กับกลุ่มเจียง เขาก็จะไม่ได้ผลประโยชน์อะไร!

 

 

โม่เทียนเกอมองยาวิเศษที่อยู่ในมือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถาม “ศิษย์พี่เจียง นี่เป็นของที่มีค่า ท่านให้ข้าจริงๆ หรือ”

 

 

เจียงซั่งหังพูด “ทุกครั้งที่เจ้าทานยาเกลาฐานแห่งพลังนี้หนึ่งเม็ด ประสิทธิภาพของยาจะลดลงเล็กน้อย หลังจากที่ทานไปครบสามเม็ดมันจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก เจ้าเอาไปแค่สองเม็ด ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่ช่วยข้ากำจัดอันตรายออกไป”

 

 

เหตุผลของเขานั้นสมเหตุสมผล ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและเก็บยาสองเม็ดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน นางนึกถึงเรื่องต่อไปจึงพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ลองตรวจสอบดูก่อนว่าเขามียาที่ท่านไม่รู้จักอยู่บ้างหรือเปล่า”

 

 

เจียงซั่งหังมองนางอย่างสงสัย ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพูดอย่างเรียบๆ ว่า “เขามียาเพิ่มพลังการก่อเกิด”

 

 

เจียงซั่งหังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เห็นได้อย่างชัดเจนเขารู้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดคืออะไร เขาถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

ด้วยรอยยิ้มที่แสนขมขื่น โม่เทียนเกอตอบ “นั่นคือเหตุผลที่ข้าทำให้เขาขุ่นเคือง” นางไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดเพราะถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะช่วยชีวิตนางไว้ ความจริงที่ว่าสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นอยู่กับนางก็ควรจะเก็บเป็นความลับต่อไปเสียดีกว่า

 

 

เจียงซั่งหังไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมและเริ่มค้นหาในทันที แน่นอนอยู่แล้วเขาพบขวดหยกอยู่ในกระเป๋าเอกภพของเจียงเฉิงเสียนที่มียาสีขาวกลิ่นยาวิเศษเข้มข้นอยู่สองเม็ด

 

 

“น่าจะเป็นยาพวกนั้นล่ะ” โม่เทียนเกอบอกอย่างตื่นเต้น ยาสองเม็ดนี้มีลักษณะตรงกับที่บอกไว้ในหยกบันทึกทีเดียว

 

 

เมื่อเห็นเจียงซั่งหังยื่นให้นางหนึ่งเม็ด โม่เทียนเกอโบกมือไปมาพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์พี่เจียงไม่จำเป็นต้องให้ข้าหรอก ท่านเก็บเอาไว้เถิด ถือว่าข้าตอบแทนให้กับความใจดีของท่าน” ในเมื่อนางมีสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่แล้ว ทำไมนางจะต้องโต้เถียงต่อสู้เพื่อยาสองเม็ดจากเจียงซั่งหังด้วยล่ะ? ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เขาช่วยชีวิตนางไว้และยังให้ยาเกลาฐานแห่งพลังกับนางอีกสองเม็ด นางไม่ใช่คนที่จะไม่จดจำถึงความใจดีของคนอื่นหรอก

 

 

เจียงซั่งหังไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย เขาเก็บยาสองเม็ดเข้าไปในกระเป๋าเอกภพของเขา ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่จะใช้มันจะต้องใช้ยาวิเศษอื่นเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่มันจะแสดงผลของมันออกมา ยาแค่สองเม็ดนี้ไม่ได้มีค่ามากนัก และเทียบกับยาเกลาฐานแห่งพลังไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

ตอนนี้พวกเขาแบ่งของที่ชิงมากันเรียบร้อยแล้ว เจียงซั่งหังจึงพูดว่า “พวกเราจะช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ศิษย์น้องเยี่ย พวกเราต่างคนต่างไปเถอะ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าเวลานั้นแสนล้ำค่า ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดเกินความจำเป็นนัก นางเพียงแค่ประสานมือเพื่อแทนคำกล่าวลาพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ดูแลตัวเองด้วย พวกเราคงได้พบกันอีกครั้งเมื่อชะตานำพา” เมื่อนางพูดจบ นางหันกลับและเดินจากไป

 

 

อย่างไรก็ตาม เสียงของเจียงซั่งหังไล่หลังนางมา “ศิษย์น้องเยี่ย”

 

 

โม่เทียนเกอหันกลับไป

 

 

เจียงซั่งหังเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับชี้ไปที่หัวของตัวเอง

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจทันทีว่าผมของนางยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย นางรีบหยิบปิ่นปักผมบนพื้นและมวยผมในรูปแบบของสาวกเต๋า

 

 

เมื่อนางกล่าวอำลาอีกครั้ง โม่เทียนเกอเดินลงมาจากเขา รู้สึกขบขันอยู่ในใจ

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาสามปี นางมักจะคิดว่าเขาคือคนแปลกหน้า กระนั้นก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อนางต้องเผชิญเข้ากับหายนะ เขาจะเป็นคนที่มาช่วยนาง น่าเสียดายที่ทั้งสองคนมีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกันเพียงแค่ครู่เดียว ทั้งสองคนต่างต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งหรือไม่ในอนาคต ทำให้นางต้องถอนใจในความสัมพันธ์บนโลกใบนี้ที่เป็นสิ่งไม่เที่ยงโดยแท้