แทนที่จะลงจากเขาตรงไปทันที แต่โม่เทียนเกอกลับเลี้ยวเข้าถ้ำในเขาเมื่อนางแยกจากเจียงซั่งหัง
หลังจากนางสำรวจสภาพรอบๆ และแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น นางจึงวางม่านพลังอำพรางอย่างง่ายและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วแสง
แม้ว่านางจะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ ในสำนัก แต่ถ้านางลงเขาไปอย่างโจ่งแจ้งโดยที่ไม่มีการปิดบังตัวตน คงง่ายมากที่กลุ่มเจียงจะตามรอยนางได้ โชคดีที่เจียงเฉิงเสียนไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าก็คงจะไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับตัวนาง
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าผู้หญิงและมัดผมเป็นมวยผมแบบผู้หญิง
หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรกับรูปลักษณ์ของนาง นางจึงเดินอาดๆ ออกจากสำนักอวิ๋นอู้ไป
มีศิษย์สำนักอวิ๋นอู้อยู่มากมายและยังมีศิษย์ที่เข้ามาและออกไปตลอดเวลา เป็นไปตามที่นางคาดไว้ ไม่มีใครสนใจนางตอนขาลงจากเขาเลยสักคนและนางก็มาถึงตลาดนัดที่ตีนเขาได้ตามปกติ
นางกลับมาถึงสวนเล็กๆ หลังจากเดินเลี้ยวเดินอ้อมอยู่หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน นางผลักประตูเปิดพร้อมกับร้องเรียก “ท่านอารอง!”
เยี่ยเจียงผู้ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ที่มุมห้องถึงกับตกใจ “เจ้า… เสี่ยวเทียน ทำไมเจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิงอีกล่ะ”
บัดนี้ที่นางไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าสงบนิ่งอีก นางจึงรีบพูดว่า “ท่านอารอง รีบไปกันเถอะ! ข้ามีปัญหาใหญ่แล้ว!”
“อะไรนะ”
“ข้า… ข้าฆ่าทายาทโดยตรงของปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนัก”
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเจียงถึงกับตกใจอย่างมาก เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ยิ่งช้าก็จะยิ่งเพิ่มอันตรายมากขึ้น ดังนั้นโม่เทียนเกอซึ่งกำลังวิตกกังวลสุดขีดจึงพูดว่า “ไว้ข้าจะบอกท่านตอนเราออกเดินทางแล้ว ท่านอารองไปกันเถอะ!”
พอคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เคยพูดอะไรเกินความจริง เยี่ยเจียงรีบยืนขึ้นทันทีและกล่าวว่า “ตกลง อย่างแรกเอาของทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องเอาไปด้วย เราจะไปกันเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงแค่สิบห้านาที พวกเขาก็เก็บข้าวของที่จำเป็นต้องเอาไปด้วยเสร็จเรียบร้อย
ขณะที่กำลังจะออกจากตลาดนัดของเขาอวิ๋นอู้ เยี่ยเจียงเอาอาวุธวิเศษแส้หางม้าของเขาออกมา ทั้งสองออกจากเขาอวิ๋นอู้ไปโดยการขี่อาวุธวิเศษของเยี่ยเจียง
“ท่านอารอง ท่านไปต่อไหวไหม” พอเห็นท่านอารองซึ่งไม่ได้เดินทางไกลมาเป็นเวลานานดูซีดเซียวอย่างมากในขณะที่เขาบังคับอาวุธวิเศษ โม่เทียนเกออดที่จะรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่ได้ เวลาของท่านอารองมีจำกัด แต่เขากลับต้องเข้ามาพัวพันก็เพราะนางและยังต้องถูกบังคับให้หนีอีก ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างทางล่ะ…
เยี่ยเจียงส่ายหัว เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่เพราะเราต้องรีบข้าเลยใช้พลังวิญญาณไปมาก เจ้าควรจะบอกข้ามาก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อโม่เทียนเกอเล่าทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดในวันนี้จนจบ นางก็ถามว่า “ท่านอารอง เราจะหนีได้ไหม”
เยี่ยเจียงซึ่งมีสีหน้าหดหู่ขึ้นในขณะที่เขาฟังเรื่องของนางนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ท้ายที่สุด เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมาและพูดว่า “เจ้า… เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าทำอะไรพลาดไป”
โม่เทียนเกอก้มหัว “ข้าหยิ่งผยองเกินไปและประเมินคนอื่นต่ำเกินไป”
เยี่ยเจียงกล่าว “ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจ มีแค่คนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้นที่จะฉลาดขึ้น อย่าทำผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าเจอสหายเก่า ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าเจ้าบอกความลับกับนาง”
โม่เทียนเกอพูดด้วยความอับอาย “ข้า… ข้าลืม”
คำตอบของนางทำให้เขาขมวดคิ้ว “เจ้าทึกทักเอาว่าเพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ และมนุษย์ธรรมดา พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยไม่คิดว่าพวกเขาเป็นภัยใช่ไหม”
โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับ “อือ เทียนเฉี่ยว… ข้าเชื่อว่านางจะไม่บอกความลับของข้า อีกอย่างนางก็ไม่รู้ตำแหน่งที่อยู่ของข้าด้วย จะมีใครที่ไหนมาตามหาเยี่ยเสี่ยวเทียนกันล่ะ”
“ไร้สาระ!” เยี่ยเจียงดุนางอย่างแรง “เจ้าต้องจำไว้ว่าความลับจะเป็นความลับก็ต่อเมื่อมันไม่ถูกเปิดเผย พวกมนุษย์มีสุภาษิตอย่าง ‘หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง’ และ ‘อุบัติเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย’ ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกใบนี้! ความคิดของเจ้าไม่ผิด ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ต่อให้ทั้งสองจะมีเจตนาร้ายกับเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ทันได้คาดคิดว่าความลับนี้จะถูกพบเข้าโดยใครบางคนที่รู้ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนคือใครใช่ไหมล่ะ”
โม่เทียนเกอฟังคำตำหนิของท่านอาอย่างเงียบๆ จากนั้นเยี่ยเจียงพูดต่อไปว่า “ตลอดหลายปีมานี้ข้าอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนมีนิสัยหยิ่งผยองเช่นนี้! เจ้าค่อนข้างฉลาดนะ แต่มีกี่คนในโลกแห่งการฝึกตนกันล่ะที่ไม่ฉลาด เจ้าคิดว่าแค่เพราะเจ้าผ่านการต่อสู้ตัวต่อตัวมาหลายครั้งและเอาชนะผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในดินแดนเดียวกับเจ้าได้แล้วเจ้าจะพิเศษกว่าคนอื่นงั้นรึ ถ้าเจ้ามีความคิดเช่นนี้ เจ้าก็ควรจะกลับไปแต่เนิ่นๆ และยอมรับความตายซะ!”
เมื่อพูดทั้งหมดจบ จู่ๆ เยี่ยเจียงก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที อายุขัยของเขาใกล้จะสิ้นแล้วและเขายังบาดเจ็บหนักมาก เพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนในระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอลงไปมาก
โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติจึงรีบพยุงเขาขึ้นมา “ท่านอารอง!” นางตะโกนเรียก
เยี่ยเจียงกลืนยาวิเศษเข้าไปและโบกมือพร้อมบอกว่า “มีอีกหลายอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ การบอกคนอื่นถึงความลับของเจ้าหมายความว่าเจ้าอยากให้คนพวกนั้นรับความเสี่ยงไปกับเจ้าด้วย พี่สาวของเจ้าคนนั้นน่ะ บางทีนางอาจจะไม่ต้องตายถ้านางไม่รู้เกี่ยวกับตัวเจ้า มีบางเรื่องที่สามารถทำอันตรายได้ทั้งตัวเราและคนอื่นๆ ถ้ามันเปิดเผยออกมา”
โม่เทียนเกอเพียงแค่กัดปากโดยไม่ปฏิเสธอะไร เทียนเฉี่ยว… ต้องถึงแก่ความตายก็เพราะนาง บางทีอาจจะเป็นเพราะเทียนเฉี่ยวจำคำเตือนของนางได้ ทำให้เจียงเฉิงเสียนเห็นจุดบกพร่องในเรื่องเล่าของเทียนเฉี่ยว ซึ่งส่งผลให้เทียนเฉี่ยวต้องทรมานกับการเค้นจิตวิญญาณและทั้งคู่สามีภรรยาต้องตายไปด้วยกัน… โม่เทียนเกอเป็นคนที่ทำผิดพลาด แต่กระนั้น ทั้งสองคนกลับเป็นคนที่ต้องรับผลกรรม
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ในที่สุดเยี่ยเจียงจึงหยุดต่อว่านาง เขาพูดอย่างใจเย็น “เอาล่ะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว โศกเศร้าเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้เราควรจะคิดว่าจะซ่อนตัวอย่างไรดีกว่า ข้าคำนวณดูว่าเรามีเวลาเพียงแค่ประมาณหนึ่งหรือสองวันเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะไล่ล่าเรา”
โม่เทียนเกอเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายนางจะถามออกมาว่า “ท่านอารอง เรากำลังหนีจริงๆ หรือ”
เยี่ยเจียงเหลือบมองนางแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “การถามคำถามนี้ เจ้าทำผิดพลาดอีกข้อหนึ่งแล้ว จงจำไว้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด เจ้าห้ามเสียความมั่นใจโดยเด็ดขาด บางครั้งเจ้าแค่ต้องมีความมุมานะเท่านั้นจึงสามารถจะหนีได้”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ท่านอารอง”
เยี่ยเจียงอดที่จะถอนใจเบาๆ ไม่ได้เมื่อเขาเห็นนางตั้งใจฟังอย่างว่าง่าย เขาพูดช้าๆ “เสี่ยวเทียน บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ในอนาคต อาสองคงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว เจ้าต้องเติบโตจนสามารถปกป้องตัวเองได้ เข้าใจไหม”
เขาฟังดูอับจนหนทางมากเสียจนโม่เทียนเกอรู้สึกตื้อเหมือนมีก้อนในลำคอ “ท่านอารอง…”
เยี่ยเจียงเพียงแค่ลูบหัวนางอย่างที่เขาเคยทำเมื่อตอนนางยังเป็นเด็ก
สุดท้ายทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ตีนเขาในบริเวณทิศเหนือ พวกเขาซ่อนตัวตนและแสร้งทำว่าเป็นคู่ผู้ฝึกตนตา-หลานที่ระดับการฝึกตนอยู่แค่ในระดับสามและสี่ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ก่อนจะเข้าไปที่โรงเตี๊ยมของท้องถิ่น
“ถ้าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของอีกฝ่ายเริ่มลงมือ เราคงไม่สามารถหนีไปได้ไกลกว่าพวกเขาแน่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่เราจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้คน” เยี่ยเจียงกล่าว
โม่เทียนเกอไม่คัดค้านอะไรกับการตัดสินใจของท่านอารอง “คนฉลาดและแก่ประสบการณ์ไม่อาจถูกหลอกได้” หมายความว่าท่านอารองเหมาะที่จะรับมือกับเรื่องนี้มากกว่านาง อีกอย่าง ร่างกายของท่านอารองก็ไม่เหมาะที่จะเดินทางเป็นเวลานานอีกด้วย
หลังจากอยู่ในเมืองเล็กๆ นี้มาสองวัน โม่เทียนเกอสังเกตว่ามีจำนวนผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บินผ่านสถานที่นี้ไปเพิ่มมากขึ้น เมืองนี้ใกล้กับเขาอวิ๋นอู้มาก ดังนั้นพวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังของสำนักอวิ๋นอู้ที่มาเพื่อตามหาตัวนางก็เป็นได้
นางรู้สึกประหม่าเหลือเกิน พลังของท่านอารองถูกทำลายไปมาก และยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเองเลย ถ้าพวกเขาถูกพบตัวเข้าล่ะก็ พวกเขาไม่มีโอกาสสู้กลับได้แน่…
“เสี่ยวเทียน!”
“อ่า” โม่เทียนเกอหันหน้าไปและมองท่านอารองซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่บนเตียง
เยี่ยเจียงจ้องมองนางที่กำลังพิงหน้าต่างและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะดูต่อไปหรอก นั่งลงและฝึกตนเถอะ”
“แต่…” นางสงบจิตใจไม่ได้จริงๆ
เยี่ยเจียงจ้องอย่างจริงจังแต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่ส่งเสียงถอนใจออกมา
การถอนหายใจของเขาทำให้นางรู้สึกละอายใจ ราวกับว่านางทำตัวได้ไม่สมกับความคาดหวังของเขาและทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก
หลังจากมองนางอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเยี่ยเจียงจึงพูดว่า “มานี่สิ อาสองอยากจะคุยกับเจ้าเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง”
โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง นั่งลงบนเก้าอี้เล็กๆ ข้างเตียงและพูดเบาๆ ว่า “ท่านอารอง ได้โปรดพูดมาเถอะ”
“เสี่ยวเทียน เจ้ายังจำเรื่องเมื่อสิบปีก่อนได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า สิบปีก่อนคือเมื่อตอนนางมาที่คุนอู๋ นางถูกพามาที่คุนอู๋จากโลกมนุษย์โดยเยี่ยจิ่งเหวิน ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนเสวียนชิง และถูกพามาหาท่านอารอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็เดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างเป็นทางการ
“เช่นนั้น… เจ้าจำโรงเรียนเสวียนชิงได้ไหม”
ทั้งที่ยังงงกับคำถามของเขาแต่โม่เทียนเกอก็พยักหน้า นางถามว่า “ท่านอารอง ท่านพูดถึงโรงเรียนเสวียนชิงขึ้นมาทำไม เราไปที่ฝั่งตะวันออกของคุนอู๋ก็เพื่อเลี่ยงพวกเขาไม่ใช่หรือ”
เยี่ยเจียงส่ายหน้าและพูดพร้อมกับถอนใจ “เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ในสองวันที่ผ่านมานี้ ข้ามาคิดๆ ดูแล้ว… เจ้า… ควรจะไปที่โรงเรียนเสวียนชิง”
โม่เทียนเกอตกใจ “ท่านอารอง”
เยี่ยเจียงยิ้มบางๆ สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เขากล่าวว่า “โรงเรียนเสวียนชิงเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในขั้วท้องฟ้า ในฝั่งคุนอู๋ตะวันตก พละกำลังของพวกเขานั้นน่าเกรงขาม ถ้าเจ้าเข้าโรงเรียนเสวียนชิงได้ อย่างน้อยเจ้าก็จะสามารถฝึกตนได้อย่างสงบ”
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอพูดอย่างกังวลใจ “ไหนท่านบอกว่าพวกเขามีเจตนาร้ายกับข้าไม่ใช่หรือ เราหนีพวกเขามาตลอดสิบปี แล้วทำไม…”
เยี่ยเจียงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองและพูดว่า “ใช่ ปีนั้นที่ข้าแอบฟังเยี่ยจิ่งเหวินและเจิ้งเสวี่ยนคุยกันและได้ยินว่าท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงต้องการให้เจ้าเข้าโรงเรียนเสวียนชิง เห็นได้ชัดว่าเขาก็ให้ความสนใจกับร่างกายของเจ้ามากเช่นกัน มันเป็นเพราะข้าไม่กล้าเสี่ยง ข้าจึงพาเจ้าหนีมาที่เขาตงเหม็ง อย่างไรก็ตาม… ในช่วงสองสามวันมานี้ ข้ามาคิดดู… พ่อของเจ้าบอกว่าท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงได้สาบานคำสัตย์หัวใจมารกับพ่อเจ้า เพราะอย่างนั้นพ่อเจ้าถึงยอมมอบเจ้าให้กับเขา ในตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในอันตรายและความตายของอาสองก็ใกล้เข้ามาทุกที ไม่มีใครจะเหมาะสมที่จะเป็นคนคอยหนุนหลังเจ้าไปมากกว่าเขาอีกแล้ว”
“ข้า…” หลังจากหยุดพูดไปเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอกระซิบ “ท่านอารอง ท่านบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าแม้เขาจะสาบานคำสัตย์หัวใจมาร แต่มันก็ไม่ถือว่าผิดคำสัตย์ถ้าเขาสั่งให้ข้าทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับคนอื่นน่ะ”
“โดยหลักการแล้วก็ใช่ แต่ทุกอย่างจะไม่ได้ผลถ้าเจ้าตาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเจ้า ในตอนแรกเพราะข้าคิดว่าข้ายังมีเวลาใช้ชีวิตอีกร้อยปี ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเจ้าไปที่นั่นและทนทุกข์ แต่ตอนนี้ที่เจ้าเกิดหายนะเช่นนี้และอายุขัยของข้าก็กำลังจะหมดสิ้นลง…”
“ท่านอารอง!”
เยี่ยเจียงมองนางขณะที่ยังพูดต่อไป “ข้าเป็นกังวลว่าจะต้องปล่อยให้เจ้าต้องอยู่คนเดียวและเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่มาฆ่าเจ้า เพราะฉะนั้น เราเดิมพันกับเรื่องนี้เถอะ!”
เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของท่านอารอง โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังลังเล นางเผลอเปิดเผยความลับของตัวเองไปสองครั้งและทั้งสองครั้งล้วนนำมาซึ่งหายนะถึงแก่ชีวิตนาง ไปที่โรงเรียนเสวียนชิงน่ะหรือ นางจะรู้สึกมั่นใจได้อย่างไรกับการต้องอยู่ภายใต้สายตาของคนที่รู้ความลับของนางแล้ว
“ไม่ ท่านอารอง ในอนาคตข้าจะไปที่คุนอู๋ฝั่งตะวันตก สำนักอวิ๋นอู้ไม่ใช่กลุ่มการฝึกตนใหญ่ ดังนั้นตราบใดที่ข้าไปที่คุนอู๋ฝั่งตะวันตกก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน…”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความลับของเจ้าถูกเปิดเผยอีก เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะหนีได้ทุกครั้ง”
“จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว!” นางเกือบจะตะโกนคำพูดเหล่านั้นออกมา
เยี่ยเจียงส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ เขากล่าวว่า “เจ้ารับประกันไม่ได้หรอก”
“ท่านอารอง…”
เยี่ยเจียงเผยรอยยิ้มบางๆ ให้เห็นและมองนางอย่างเอ็นดู เขาพูดว่า “เทียนเกอ… นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิงหลังจากตามอาสองมา ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้ อาสองคิดย้อนไปถึงเมื่อสิบปีก่อนว่าเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักแค่ไหนในครั้งแรกที่อาสองได้พบเจ้า…”
“ข้า.. ข้าไม่…”
“ใช่ เจ้าไม่อยากที่จะเป็นผู้หญิงอีกครั้ง แต่อาสองหวังว่าเจ้าจะมีโอกาสได้เป็นผู้หญิงจริงๆ ในสักวันหนึ่ง… ไม่ใช่เยี่ยเสี่ยวเทียน แต่เป็นโม่เทียนเกอ…” เขายิ้มให้อีกครั้งและพูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ เจ้ารู้ไหม อาสองสังเกตว่าในหลายปีมานี้ โรงเรียนเสวียนชิงไม่เคยส่งใครมาตามจับเราเลย นี่แสดงให้เห็น… ว่าบางที ท่านอาจารย์เต๋าโซวจิงสมควรที่จะได้รับการเชื่อถือ”
เมื่อเผชิญกับใบหน้าที่แก่ชราของท่านอารอง โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นางรู้ว่าท่านอารองไม่ทำร้ายนาง และนางยังรู้ว่าท่านอารองตัดสินใจเช่นนี้เพียงเพราะว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว ถ้าท่านอารองไม่อยู่ที่นี่แล้วและนางถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง นางคงไม่สามารถหนีได้อย่างแน่นอน