ทันใดนั้น เริ่มได้ยินเสียงจากทางด้านนอกห้อง เสียงของผู้คนวิ่งขึ้นข้างบน เคาะที่ประตูห้องของแขกทีละห้อง ทีละห้อง
บางคนยังตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เปิดประตู!”
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูหลายๆ ห้องถูกเปิดออกตามๆ กันไป บางคนถามด้วยความขุ่นเคือง “ท่านใต้เท้า ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านคือใคร ทำไมท่านถึงมาทำลายความสงบของข้า”
บางคนยังคงถามด้วยกิริยาที่แสดงความเคารพ “ท่านผู้อาวุโสมีเหตุอันใดหรือ”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเพียงตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง “สำนักจื่อซย่ากำลังตามหาคนทรยศ! ทุกคนออกมาให้หมด!”
ใครบางคนที่ฟังดูไม่เต็มใจทำตามพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของสำนักจื่อซย่า ทำไมพวกเจ้าถึงได้ยโสโอหังเช่นนี้!”
คนผู้นั้นตอบเพียงแค่เสียง “ฮึ่ม!” อันดัง และหลังจากนั้น แรงกดดันจากพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็แผ่พุ่งออกมา
โม่เทียนเกอสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน นางหันกลับมามองท่านอารอง
ครั้งนี้เยี่ยเจียงลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วบนใบหน้า
“ท่านอารอง” โม่เทียนเกอเรียกเขาด้วยเสียงอันเบา
ค้นหาคนทรยศ… ณ ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างสามกลุ่มผู้ฝึกตนภายใต้การปกครองของสำนักจื่อซย่า ดังนั้นคนพวกนั้นน่าจะมาเพื่อตามหานาง
เยี่ยเจียงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “อย่าตื่นตระหนกไป มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังและผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณบางคนด้านนอก ถ้าพวกเขามาตามพวกเราจริงๆ พวกเราก็แค่หนีเท่านั้น”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแต่ภายในใจของนางยังรู้สึกเป็นกังวล ถึงแม้ว่านางจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงและท่านอารองก็ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นนัก ถ้าคนพวกนั้นมาจากสำนักอวิ๋นอู้เพื่อมาจับนางจริงๆ มันก็คงไม่ยากที่จะจำนางได้…
“เปิดประตู!” ในที่สุดคนพวกนั้นก็มาถึงที่ห้องของพวกเขา
เมื่อได้รับสัญญาณจากอารอง โม่เทียนเกอแสดงอารมณ์เหมือนกับคนที่รำคาญจากการถูกรบกวนพร้อมกับเปิดประตูและกล่าวว่า “ใครกันช่างเป็นคนที่หยาบคายเช่นนี้!”
เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อนางเปิดประตู นางเห็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ด้วยชุดคลุมสีดำ อย่างไรก็ตาม เพราะ “สำนักอวิ๋นอู้” ไม่มีอีกต่อไป พวกเขาจึงเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์สำนักจื่อซย่า
โม่เทียนเกอจ้องไปที่ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนที่เคาะประตู พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สหายนักพรต มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
เมื่อศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณกำลังจะพูด ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นำของกลุ่มนี้ก็พูดขึ้นมา “ศิษย์น้อง พวกข้าเป็นศิษย์จากสำนักจื่อซย่าจากสาขาเขาอวิ๋นอู้ ท่านอาจารย์ที่เคารพของพวกข้าสั่งให้มาตามหาคนที่ทรยศต่อสำนัก ได้โปรดแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์ของเจ้าว่าอย่าเข้าใจผิดไป”
คนผู้นี้พูดด้วยคำที่สุภาพแต่น้ำเสียงยังคงหยิ่งยโส เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้บังคับที่จะเข้าไปค้นภายในห้องเพียงเพราะเขาเห็นว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ด้านใน
ขณะที่มองผู้นั้น โม่เทียนเกอประสานมือเพื่อทักทายและแสร้งทำเป็นแสดงความเคารพเพื่อกลับเข้าไปแจ้งอาจารย์ของนางด้านใน
อย่างไม่คาดคิด เมื่อนางกลับเข้าไปในห้อง รังสีสว่างวาบขึ้นในดวงตาของท่านอารอง เขาดึงแขนนางทันที และพานางออกมาจากห้องด้วยการพังหน้าต่าง
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอพูดด้วยความตกใจ
ทันทีที่พวกเขาเริ่มวิ่งหนี ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้พังเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นสิ่งที่โม่เทียนเกอและเยี่ยเจียงทำไว้ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสบถ “ฮึ่ม” และใช้เครื่องมือวิเศษเหาะได้เพื่อไล่ล่าพวกเขา
“ท่านอารอง เกิดอะไรขึ้น” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงต้องหนี เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคนพวกนั้นไม่ได้รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร
เยี่ยเจียงพูดทื่อๆ “เจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แต่เจ้าไม่ได้เปลี่ยนวิธีการที่จะแสดงความเคารพต่อผู้อื่น”
โม่เทียนเกอตะลึงในตอนแรกแต่รู้สึกเสียใจตามมาในทันที โดยปกติแล้วมีเพียงแค่ผู้ชายเท่านั้นที่จะประสานมือรูปถ้วยเพื่อแสดงการทักทาย ถ้าอีกฝ่ายคิดให้ละเอียดรอบคอบ ตัวตนของนางและท่านอารองก็จะถูกรับรู้ได้โดยง่าย
“เลิกงงเสียที!” เยี่ยเจียงตะโกนในขณะที่เขาพาโม่เทียนเกอไปบนเครื่องมือวิเศษบินได้ของเขาและเหาะไปทางตะวันตก
ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นั้นไล่ตามพวกเขาสักพักแต่ก็ยังตามพวกเขาไม่ทัน ด้วยความบ้าระห่ำ ผู้ฝึกตนคนนั้นหยุด หยิบเครื่องรางออกมาจำนวนมากและเขวี้ยงมาทางโม่เทียนเกอกับเยี่ยเจียงก่อนที่จะรีบตามพวกเขาต่อไป
ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม อีกฝ่ายหนึ่งหนี เพียงพริบตาพวกเขาก็บินห่างออกมาจากเมืองเล็กๆ แห่งนั้น
เยี่ยเจียงกัดฟัน ทานยาอนุคืนสภาพและเหาะต่อไปด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี
โม่เทียนเกอเป็นกังวล นางคอยสลับมองระหว่างท่านอารองกับทางด้านหลัง
ถึงแม้ว่าท่านอารองจะอยู่ในระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับการฝึกตนของเขาจะสูงกว่าคู่ต่อสู้อยู่เล็กน้อย แต่เขาก็บาดเจ็บหนักและชีวิตของเขาใกล้สิ้นแล้ว เพราะเหตุนั้นระดับการฝึกตนของเขาจึงลดลง ตอนนี้เขาไม่ได้มีฝีมือที่เหนือไปกว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังช่วงต้นเลย อีกอย่าง เครื่องมือวิเศษบินได้ของเขาก็ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่จะชนะเรื่องความเร็วได้เลย
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป โม่เทียนเกอวิตกกังวลเมื่อพบว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นดูสั้นลง
เยี่ยเจียงทุ่มพลังของเขาลงไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดที่ทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาด้านชาจู่ๆ ก็เกิดขึ้นที่กลางอกของเขา เขาพยายามอย่างสุดกำลังในการที่จะหายใจและกลืนยาวิเศษเพิ่มเข้าไปอีก
“ท่านอารอง ท่าน…”
“เงียบไป!”
หลังจากนั้นเยี่ยเจียงก็มอบเครื่องรางให้กับนางพร้อมกับพูดว่า “นี่เป็นเครื่องรางภูผากำบัง หากพวกเราพลาด จงติดมันไว้กับตัวแล้วซ่อนซะ!”
โม่เทียนเกอกำเครื่องรางแน่นไว้ในมือ นางเข้าใจว่าท่านอารองวางแผนที่จะสู้ ท้ายที่สุดแล้ว ถ้ายังคงไล่ตามกันต่อไป ผู้ฝึกตนคนนั้นจะต้องตามพวกเขาทันไม่ช้าก็เร็ว มันคงจะดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าผู้นั้นและกลับไปสู่การหลบซ่อนอีกครั้ง
นางกำหมัดแน่น นางไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเกลียดตัวเองขนาดไหนในเวลานี้ นางรู้เลยเมื่อเทียบกับท่านอารองว่านางนั้นด้อยกว่ายิ่งนัก! ถ้าขาดความแข็งแกร่ง ฉลาดไปแล้วจะได้อะไร ระยะห่างระหว่างตัวนางกับสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้นมากเกินไปนัก! ตอนนี้นางไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและทำได้แค่เพียงมองดูท่านอารองที่บาดเจ็บหนักเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้…
ลำแสงสองเส้นสว่างวาบข้ามท้องฟ้า ลำแสงที่อยู่ด้านหน้าในที่สุดก็ร่อนลงสู่พื้น ในขณะที่อีกลำแสงหนึ่งด้านหลังหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะตามมาพร้อมกัน
เยี่ยเจียงผู้ที่หยุดอยู่บริเวณพื้นที่โล่งและผลักโม่เทียนเกอให้ไปอยู่ทางด้านหลังของหินภูเขาก้อนใหญ่กำลังจ้องมองการรุกหน้าเข้ามาของผู้ฝึกตนอย่างเยือกเย็น
ผู้ฝึกตนคนนี้ดูอายุราวๆ สามสิบและท่าทางหยิ่งยโสโอหัง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างทะนงตัวในสำนักทีเดียว เมื่อเขาลงมาถึงพื้น เขาเชิดคางขึ้นพร้อมพูดว่า “เจ้าคือผู้อาวุโสของเยี่ยเสี่ยวเทียนหรือ”
แทนที่จะตอบ เยี่ยเจียงสะบัดมือของเขา เสกคาถาใส่แผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือ
ปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนผู้นั้นเปลี่ยนไปเมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยเจียง เขาเปล่งเสียง “ฮึ่ม” ในลำคอพร้อมพูด “เจ้าเป็นศัตรูกับสำนักจื่อซย่าอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเจียงพูด “เจ้าได้รับคำสั่งให้มาจับคน ในขณะที่ข้าจะไม่มีทางให้ศิษย์น้อยของข้าถูกจับได้ แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก”
เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว ผู้ฝึกตนนั้นดูไม่ได้มีความสุขนัก เขาเยาะเย้ยพร้อมกับพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนได้ไปทำให้ใครขุ่นเคือง เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งทรุดโทรมลงไปตามอายุ เจ้าต้องการที่จะเสี่ยงชีวิตของเจ้าต่อสู้กับผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเชียวหรือ”
เยี่ยเจียงตอบอย่างไม่สนใจสิ่งใด “พอแล้วสำหรับเรื่องไร้สาระ! เริ่มมาได้เลยหากเจ้าต้องการที่จะหยุดพวกข้า!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาแกว่งมือของเขาส่งผลให้แผ่นหยกลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะเดียวกันเขาคลำเข้าไปที่กระเป๋าเอกภพที่ซึ่งกริชเล่มเล็กบางค่อยๆ ลอยออกมาอย่างเงียบเชียบ
เมื่อแผ่นหยกถูกกระตุ้น มันก็ขยายใหญ่ขึ้น เยี่ยเจียงใส่ศาสตร์ของจิตวิญญาณเข้าไปจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มที่จะหมุนด้วยความเร็วแสงและปล่อยพลังที่มีแรงบีบอัดมหาศาลออกมา
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจียงต่อกรอย่างไม่ลังเลและแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวิธีการต่อสู้ที่หลากหลาย ผู้ฝึกตนผู้นั้นรู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีผู้ฝึกตนเดี่ยวอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นกลุ่มที่สิ้นเนื้อประดาตัว และจะไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้ ประเภทที่สองจะคล่องแคล่วว่องไวและมีวิธีการที่ดุดัน และมักจะเหนือกว่าคนในระดับเดียวกัน คนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นประเภทที่สอง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้ฝึกตนคนนั้นรู้สึกสับสนวุ่นวาย ความกลัวก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจของเขาทันที
อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงไม่ต้องการที่จะแสดงความปรานีให้เห็น เมื่อเขาใส่ศาสตร์จิตวิญญาณสุดท้ายเสร็จ แผ่นหยกขยายใหญ่ขึ้นมากจนเหมือนเสื่อทอและส่องแสงระยิบระยับสว่างไสว ด้วยเสียง “ตู้ม!” อันดัง แผ่นหยกนั้นพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนคนนั้นทันที
ผู้ฝึกตนรีบหลบหลีก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาเกือบจะหลบแผ่นหยกนั้นได้ เขาก็ถูกพลังที่รุนแรงของมันพัดกระเด็น ส่งผลให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทุกส่วนทั่วร่างจากอวัยวะภายในของเขาทันที
ถึงแม้ว่าการโจมตีนี้จะสำเร็จ เยี่ยเจียงก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ฝึกตนเลย ผิวหน้าของเขาซีดเซียวและเขาเริ่มดูซีดกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรีบพุ่งตัวออกมาด้านหน้าเพื่อพยุงร่างกายที่กำลังโอนเอนของเขา
ในขณะนี้ ผู้ฝึกตนนั้นเรียกสติของเขากลับมา และแววตาที่ต้องการฆ่าฉายออกมาที่หน้าของเขา เขาสั่งกระบี่บินของเขาให้พุ่งตรงเข้ามาหาทั้งสองคนตรงหน้า
เยี่ยเจียงลืมตาของเขาขึ้นมา ใช้กำลังสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ผลักโม่เทียนเกอออกไปและใช้แผ่นหยกที่กลับมาอยู่บนมือของเขามาป้องกันการโจมตี พลังวิญญาณสองแบบปะทะกันในจุดเดียว ประสานกันและต่างต่อสู้กัน
เลือดยังคงไหลออกมาจากมุมปากของเยี่ยเจียง เขายังคงจับตามองคู่ต่อสู้ที่ดูชั่วร้ายและยังคงพยายามป้องกันการโจมตีที่กระแทกเข้ามา
ในจุดนี้ โม่เทียนเกอไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป นางหยิบเครื่องรางออกมาทั้งหมดและเขวี้ยงไปที่ผู้ฝึกตนคนนั้น
แต่มันก็ไร้ประโยชน์ คู่ต่อสู้ของพวกเขาเพียงแค่ตั้งเกราะป้องกันและทุกการโจมตีของนางก็ไร้ผล
นี่เป็นความต่างระหว่างผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกับระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ไม่ว่านางจะลงมือทำอะไร นางก็ไม่สามารถช่วยท่านอารองได้เลย
“อั้ก…!” เยี่ยเจียงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นแผ่นหยกมีเสียงแตกดังออกมา และหักลงพร้อมกับกระบี่บินของคู่ต่อสู้
ทั้งแผ่นหยกและกระบี่บินแตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นลงพร้อมกัน ในขณะเดียวกับที่เยี่ยเจียงไร้ซึ่งกำลังของเขา
เมื่อคู่ต่อสู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหยิบกระบี่บินอีกเล่มออกมาตั้งใจที่จะปลิดชีพของเยี่ยเจียง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะส่งกระบี่บินได้ออกมาด้านหน้า เขาก็ก้มลงไปมองที่อกของเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
เมื่อครู่ เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาไม่ทันได้สนใจ กริชบินได้พุ่งแทงทะลุหน้าอกและพรากชีวิตของเขาไป
ด้วยเหตุนี้นักสู้ทั้งสองคนจึงล้มลงด้วยเสียงอันดังพร้อมกันทั้งคู่
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียกพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามา นางรีบหายาวิเศษอย่างลนลานเพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บและป้อนเข้าไปที่ปากของเยี่ยเจียง
เยี่ยเจียงพยายามอย่างหนักที่จะกลืนยาพวกนั้น แต่เขาก็ต้องกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“ท่านอารอง อดทนไว้! ข้ายังมียาอีก ข้ายังมี…”
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เยี่ยเจียงก็หยุดกระอักเลือด ด้วยความยากลำบาก เขาพูด “เร็ว… รีบไปเร็ว…”
โม่เทียนเกอพยักหน้าทั้งน้ำตา นางรีบทำความสะอาดบริเวณนั้นเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการต่อสู้ด้วยพลังเวทที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้นชั่วคราว ก่อนที่จะช่วยพยุงท่านอารองและเดินโซเซลงมาจากเขา
ทั้งสองคนใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงจนมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ตรงตีนเขา
ที่หมู่บ้านเล็กๆ นี้มีมนุษย์อาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะโม่เทียนเกอไม่กล้าที่จะร้องเรียกพวกเขา นางจึงปักหลักอย่างเงียบๆ ในบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งนอกเขตหมู่บ้าน
“ท่านอารอง! ท่านอารอง!”
ในที่สุดเยี่ยเจียงก็ตื่นขึ้น เขาแทบจะไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ในขณะที่เขาหยิบหยกบันทึกออกมาจากกระเป๋าเอกภพด้วยความยากลำบากและส่งให้กับนาง
โม่เทียนเกอรับมาด้วยความงุนงง นางพูด “นี่…”
พลังวิญญาณของเยี่ยเจียงอ่อนเต็มทีในขณะที่เขาพูด “หักมัน…”
นี่คือ… เครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้! ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะลังเลในตอนแรก สุดท้ายแล้วนางก็ทำตามคำสั่งของอารองและหักหยกบันทึกนั้น
ทันทีที่มันแตกออก แสงสว่างพุ่งออกมาจากภายใน แสงนั้นคงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเลือนหายไป
ในขณะที่นางกำลังว้าวุ่นใจ โม่เทียนเกอสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่าลมหายใจที่อยู่ภายในหยกบันทึกนั้นช่างคุ้นเคย…
หลังจากมองดูนางทำลายหยกบันทึก เยี่ยเจียงถอนใจยาวอย่างโล่งอก ด้วยการช่วยเหลือของนาง เขาลุกขึ้นนั่งและกลืนยาวิเศษที่จะช่วยรักษาบาดแผลของเขาเข้าไป
ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนเหาะข้ามท้องฟ้าเหนือเขาอวิ๋นอู้ ค่อยๆ เดินทางมายังสถานที่ที่โม่เทียนเกอและเยี่ยเจียงอยู่
อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไปก่อนที่เยี่ยเจียงจะลืมตาของเขาอีกครั้ง
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอเรียกเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเจียงส่ายหน้าของเขาอย่างช้าๆ ลมหายใจของเขาอ่อนแรง เขาพูด “เสี่ยวเทียน… อาสอง… ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
โม่เทียนเกอตะลึงจนพูดไม่ออก ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นั่น… นั่นหมายถึง…
เยี่ยเจียงนั่งพิงกำแพง อ้าปากค้างเล็กน้อยเพื่อหายใจอย่างยากลำบาก เขาพูด “ไร้ประโยชน์… ยาวิเศษไร้ประโยชน์แล้ว… อาสองเคลื่อนไหวหนักเกินไป… พลังวิญญาณของข้าและบาดแผลนั้นแย่ลง…”
“ท่านอารอง…” โม่เทียนเกอไม่สามารถกลั้นน้ำตาของนางได้และคร่ำครวญ “ท่านอารอง ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ… ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะข้าโง่เอง…”
เยี่ยเจียงยิ้มและจับมือนางพร้อมกับพูด “เด็กน้อย… มักจะทำผิดพลาด… ได้เห็นเจ้า… เติบโต… อาสองมีความสุขจริงๆ …”
หลังจากนั้นเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พูดพร้อมถอนใจ “ข้าแค่หวัง… หวังว่าพวกเขาจะทำสำเร็จในครั้งนี้…”
คำพูดของเยี่ยเจียงไม่ได้ลดความผิดที่โม่เทียนเกอโทษตัวเองแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็คงจะไม่ต้องเดินทางหนีมาที่ฝั่งตะวันออกของคุนอู๋ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็คงจะไม่ต้องบาดเจ็บหนักจากสัตว์สายฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านอารองก็ไม่ต้องฝืนตัวเองในการ…
ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้ร่างกายที่น่ารำคาญนี่แหละ! ถ้านางรู้เร็วกว่านี้… ถ้านางรู้เร็วกว่านี้ว่าสิ่งต่างๆ จะกลายมาเป็นแบบนี้ นางคงเข้าร่วมกับโรงเรียนเสวียนชิงในปีนั้น ด้วยทางเลือกนั้น ท่านอารองอาจได้รับโอกาสที่จะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และเทียนเฉี่ยวก็ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับนาง เทียบกับการมีชีวิตและความตายของญาตินาง การที่จะต้องเสียอิสระไปกับการแต่งงานจะเทียบได้อย่างไรกัน
ทุกนาทีที่ผ่านไป ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็ได้พบเข้ากับการกลบเกลื่อนร่องรอยการต่อสู้ในป่า ดังนั้น พวกเขาจึงยึดจุดนั้นเป็นศูนย์กลางในการกระจายการค้นหาออกมาจากพื้นที่นั้น
ขณะเดียวกันนั้นเอง เกิดลำแสงพาดผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงดึงดูดมหาศาลหลายร้อยเท่าเมื่อเทียบกับเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังปรากฏขึ้นผ่านท้องฟ้าเหนือเขาอวิ๋นอู้ พุ่งตรงไปทางทิศตะวันตก