โม่เทียนเกออยู่ในภวังค์ความงุนงง
ท่านอารองหมดสติและตื่นขึ้นซ้ำไปมาและสถานการณ์ของพวกเขาก็แย่ลง นางรู้ว่าท่านอารองบาดเจ็บอยู่แล้ว และช่วงสุดท้ายในชีวิตของเขาก็กำลังจะมาถึง และครั้งนี้เพราะเขาใช้กำลังเกินตัว บาดแผลของเขาจึงแย่ลงและอายุขัยของเขา… ก็ลดลงจนมาถึงจุดที่แทบจะไม่มีเหลืออีกต่อไป
นางคอยมองท่านอารองผู้ที่กำลังหมดสติ สมองของนางว่างเปล่า จุดหนึ่งนางคิดแม้กระทั่งน่าจะปล่อยให้คนพวกนั้นจับตัวนางไป สุดท้ายแล้ว เทียนเฉี่ยวตายเพราะนางและท่านอารองก็กำลังจะตาย แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกคนที่สำคัญกับนางล้วนทิ้งนางไว้ข้างหลัง พ่อของนาง แม่ของนาง เทียนเฉี่ยว ท่านอารอง… แล้วเหตุผลอะไรที่นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อะไรคือประโยชน์ของการเป็นเซียนถ้านางจะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นางยอม… นางยอมเป็นมนุษย์ธรรมดาตลอดไปดีกว่า!
“เสี่ยวเทียน…” เยี่ยเจียงเรียกด้วยเสียงที่อ่อนแรง
โม่เทียนเกอรีบเข้ามาหาเขา “ท่านอารอง ข้าอยู่นี่” นางบอก
เยี่ยเจียงลืมตา รวบรวมกำลังที่มีและพูด “ฟังข้า ถ้า… ไม่มีใครมา เจ้า… เจ้าจงเอาเครื่องรางหยกซ่อนวิญญาณ… นำสิ่งนั้นไปที่โรงเรียนเสวียนชิง… ด้วย… ด้วยชื่อเสียงของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง… น่าจะเป็นไปได้ถ้า… ถ้าในอนาคต… กลุ่มเจียงต้องการที่จะต่อกรกับเจ้า… พวกเขาจะต้องคิด… คิดให้มากกว่านี้…”
โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ข้าเข้าใจ”
เยี่ยเจียงหลับตาลงอีกครั้งพร้อมบ่นพึมพำเบาๆ “โรงเรียนเสวียนชิง… อยู่ห่างจากที่นี่พันกว่าลี้ ข้าสงสัยเหลือเกินหากพวกเขามีลูกศิษย์ที่ท่องอยู่รอบๆ แถวนี้หรือเปล่า…”
โม่เทียนเกอรู้ว่าเครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้ที่ท่านอารองใช้เป็นอันที่เย่จิงเหวินให้เขาไว้พร้อมกับสมบัติที่เหลือของพ่อนางตอนที่เขาพานางมาหาท่านอารองในปีนั้น ท่านอารองเก็บไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่คาดคิด มันกลับเป็นของที่มีประโยชน์
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดหวังอะไรในใจของนาง พวกเขาอยู่ห่างกว่าพันลี้จากโรงเรียนเสวียนชิง และถึงแม้อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งจะได้รับข้อความและรีบบอกศิษย์ของเขาที่อยู่ใกล้ให้มาช่วยพวกเขา พวกเขาก็อาจจะมาไม่ทันเวลา หลังจากเวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว การสำรวจของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้น่าจะพบเจอกับจุดที่พวกเขาต่อสู้ก่อนหน้านั้น
สำหรับอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง พวกเขาเป็นคนที่เลือกเดินออกมาเอง ดังนั้นมันคงจะดีมากแล้วถ้าเขายังจำคุณงามความดีของพ่อนางได้และยินดีที่จะส่งคนมาที่นี่ แต่เขาอาจจะไม่ยินดีที่จะมาช่วยพวกเขาก็ได้เช่นกัน
อีกอย่าง แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขานำโรงเรียนเสวียนชิงเข้ามาเกี่ยว ด้วยระยะทางที่ไกลระหว่างพวกเขากับโรงเรียนเสวียนชิง การขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากโรงเรียนเสวียนชิงไม่น่าเพียงพอต่อการยับยั้งเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักอวิ๋นอู้ได้
ถึงอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางได้เตรียมใจไว้แล้ว นางพยายามอย่างหนักเพื่อให้มีชีวิตรอดแต่ถ้านางต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป…
อย่างไรก็ตาม… นางไม่เหลือใครอีกแล้ว
ผู้ฝึกตนของการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคนมารวมตัวกันอยู่ทางด้านนอกของหมู่บ้านเล็กๆ
สำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บาดเจ็บสาหัส และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้หาตัวยากเลย
เมื่อพวกเขาเจอเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็พบว่าสิ่งต่างๆ อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดไว้
สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือม่านพลังทำลายหยินหยาง
หลังจากผู้ฝึกตนที่เข้าไปในม่านพลังอย่างสะเพร่าต้องบาดเจ็บหนัก สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่ชาวลัทธิเต๋าวัยกลางคนผู้ซึ่งเป็นคนนำพวกเขามา ถ้าโม่เทียนเกอเห็นชาวลัทธิเต๋าผู้นี้นางก็จะจำเขาได้ทันที คนผู้นี้คืออาจารย์ลุงชิงอวี่ ผู้ที่เทศนาในวัดอยู่เป็นประจำ ความจริงแล้ว อาจารย์ลุงผู้นี้มาจากกลุ่มเจียง ชื่อจริงของเขาคือเจียงชิงอวี่
เจียงชิงอวี่นิ่งเงียบ ด้วยชื่อของม่านพลังนี้ที่ดูโหดร้าย มันจึงไม่ได้ง่ายนักที่จะทำลายมัน ภายในม่านพลัง พลังแห่งหยินและหยางจะถูกสลับกันและมันจะเป็นอันตรายไปทั่ว มันเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจะสามารถวางได้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้อาวุโสของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังขนาดนี้ ถ้าผู้นั้นอยู่ในสำนักของพวกเขา เขาจะต้องจัดอยู่ในกลุ่มของหนึ่งในผู้มีฝีมือทีเดียว
ใครบางคนตะโกนขึ้นทันที “ไม่ว่าม่านพลังนี้จะเป็นอะไร พวกเราก็มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่มากมาย ตราบใดที่พวกเราโจมตีเข้าไปพร้อมกัน พวกเราก็จะต้องทำลายมันลงได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงชิงอวี่ “ฮึ่ม” พร้อมพูด “ถ้าเช่นนั้น พวกเราทุกคนก็พากันไปตายพร้อมกับพวกเขาเท่านั้น!”
ทุกคนต่างประหลาดใจ ใครบางคนถามว่า “มันน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”
เจียงชิงอวี่พูด “ม่านพลังนี้ที่จริงแล้วเป็นม่านพลังแบบง่ายๆ ของม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต ข้าคงไม่ต้องบอกพวกเจ้าสินะว่าม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาตคืออะไร ใช่ไหม”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างไร้คำพูด พวกเขาต่างเคยได้ยินเกี่ยวกับม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต มันเป็นหนึ่งในม่านพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่กี่อันที่สืบทอดมาจากยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น มันเป็นที่รู้จักเกี่ยวกับความน่ากลัวของมันและสามารถวางได้ด้วยผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่หรือสูงกว่าเท่านั้น
บางกลุ่มผู้ฝึกตนในคุนอู๋ใช้ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่ช่วยปกป้องขุนเขาอันกว้างใหญ่ไว้ ในกลุ่มที่เป็นที่รู้จักและทำได้สมบูรณ์ที่สุดคือม่านพลังที่คุ้มครองโรงเรียนเสวียนชิง
ตามที่กล่าวกันมา ในปีนั้นเมื่อสัตว์ปีศาจจากป่าแห่งคุนอู๋ทางใต้เคลื่อนตัวมาเป็นกลุ่มอย่างดุร้ายป่าเถื่อนและเข้ามาโดยที่ทุกกลุ่มผู้ฝึกตนในคุนอู๋ไม่ทันตั้งตัว ต้องขอบคุณม่านพลังนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิงได้วางไว้จึงไม่ได้มีผู้เคราะห์ร้ายมากนักและสามารถจัดการฆ่าเหล่าสัตว์ปีศาจไปได้กว่าหมื่นตนแทน มันเป็นหลักฐานอย่างดีว่าม่านพลังนี้ทรงพลังขนาดไหน
ในเมื่อม่านพลังนี้เป็นม่านพลังแบบง่ายของม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต ถึงแม้ว่าพลังของมันจะเทียบได้เพียงแค่หนึ่งในหมื่นของม่านพลังต้นตำรับ แต่มันก็ยังยากที่จะรับมือด้วย
“อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหนทางแก้ไขเสียเลย” เจียงชิงอวี่พูดขณะที่ลูบเคราของเขา
“ศิษย์พี่เจียง ได้โปรดรีบชี้แนะด้วย ท่านหัวหน้าสำนักย่อยกำลังรอความคืบหน้าจากพวกข้าอยู่!”
ในขณะที่เขามองไปทางบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมเหล่านั้น เขาก็พึมพำ “ง่ายมาก… ถึงแม้ว่าพลังของม่านพลังนี้จะหาที่ใดเปรียบมิได้ พลังวิญญาณที่มันต้องดูดกลืนก็มหาศาลเช่นกัน พวกเราก็เพียงแค่ต้องใช้สัตว์วิญญาณและปล่อยให้มันโจมตีไปเรื่อยๆ มีความเป็นไปได้ที่ศิลาวิญญาณของคู่ต่อสู้เรามิอาจทนได้นาน”
ป่าทางตอนใต้ของคุนอู๋นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจเหลือคณา ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเก็บพวกมันบางตัวไว้ในฐานะสัตว์วิญญาณ อย่างไรก็ตาม สัตว์วิญญาณที่ดีๆ บางตัวไม่ง่ายที่จะครอบครองและเลี้ยงดู เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนได้ยินแผนการที่เจียงชิงอวี่กล่าว พวกเขาต่างลังเลและไม่มีใครพูดตอบออกมา
เจียงชิงอวี่ต้องการเพียงแค่จะดูท่าทางของพวกเขาว่าคิดกันอย่างไร เขาส่งเสียงฮึ่มพร้อมกับพูดว่า “ในเมื่อทุกคนไม่ยินดี งั้นก็รอกันต่อไป พวกเราจะรอจนกว่าศิลาวิญญาณจะหมด หรือบางทีก็รอจนกว่าหัวหน้าสำนักย่อยจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสองคนนั้นคงจะจับตัวได้ง่ายทีเดียว”
ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ไม่มีใครเอาสัตว์วิญญาณของตัวเองออกมา เจียงชิงอวี่ไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่มองหาพื้นที่สำหรับนั่งคอยเท่านั้น
ความจริงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นใด แต่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็รู้สึกลังเล อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนั้นก็ไม่สามารถหนีได้ ดังนั้นทำไมเขาจะต้องโยนสัตว์วิญญาณที่เพียรพยายามเลี้ยงมาด้วยล่ะ
ภายใต้การนำของเจียงชิงอวี่ เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่าเริ่มมองหาที่นั่ง รอให้ศิลาวิญญาณที่ใช้กับม่านพลังทำลายหยินหยางนั้นจะหมดลง
ในขณะที่พวกเขารอ ใครบางคนเดินไปข้างเจียงชิงอวี่และถามว่า “ศิษย์พี่เจียง สุดท้ายแล้ว ใครคือศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณผู้นี้หรือ เขามีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งและยังกล้าที่จะฆ่านายน้อยแห่งกลุ่มเจียง… เขาช่างกล้ายิ่งนัก!”
เจียงชิงอวี่ลืมตาและพูดอย่างเกียจคร้าน “ในเรื่องนี้ หัวหน้าสำนักย่อยก็ต้องการคำตอบเช่นกัน” ถึงแม้ว่าศิษย์ของเขาจะถูกฆ่าไป แต่ศิษย์ผู้นั้นก็ทำตัวน่าผิดหวัง ดังนั้นเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดจากการตายของศิษย์ผู้นั้นเท่าไหร่
เมื่อเห็นว่าเจียงชิงอวี่แสร้งดูกระวนกระวายอย่างไร ผู้ฝึกตนที่ถามคำถามนั้นหัวเราะออกมาด้วยความเสแสร้งก่อนที่เขาจะหยุดพูดไป
ถึงอย่างไรก็ตาม ใครบางคนเลือกที่จะพูดเรื่องนั้นต่อ “ระหว่างทางที่มา ข้าพบศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนที่อยู่ภายใต้การนำของศิษย์น้องเหวย พวกเขาพูดว่าเย่เสี่ยวเทียนคนนี้จริงๆ แล้วเป็นผู้หญิง!”
“อะไรนะ!” สิ่งที่เขาพูดทำให้คนอื่นสนใจขึ้นมาในทันที บางคนพูดว่า “แสดงว่าหญิงผู้นั้นแสร้งเป็นผู้ชายและแอบเข้ามาที่สำนักอวิ๋นอู้ของเราอย่างนั้นหรือ”
คนที่พูดก่อนหน้านั้นกระแอมเบาๆ ก่อนที่จะเตือนเขาว่า “ศิษย์น้องจาว ตอนนี้ต้องเรียกว่าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แล้ว”
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่หลุดปากพูดออกไป คนผู้นั้นรีบพูด “ใช่ ใช่ นางแอบเข้ามาที่สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ นางอาจจะปิดบังเจตนาร้ายบางอย่างเอาไว้ก็ได้”
“ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงแม้นางจะทำเช่นนั้น ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณจะทำอะไรได้กัน อีกอย่างเย่เสี่ยวเทียนก็เป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาในสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ของเราอยู่แล้วมิใช่หรือ”
ศิษย์น้องจาวตอบ “ธรรมดาๆ น่ะหรือ ดูเหมือนว่า… ตอนนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบปีมิใช่หรือ จะอย่างไรก็ตามนางก็อยู่ในระดับสิบแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว และยังสามารถครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังได้อีก! นางไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกศิษย์ชั้นหัวกะทิเลยทีเดียว!”
“ถึงกระนั้น ตั้งแต่แรก ศิษย์ที่เข้าร่วมสำนักจากงานรวมพลเซียนต่างเทียบได้กับศิษย์ชั้นยอดทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเกี่ยวกับนาง”
“ก็จริง… อย่างไรก็ตาม ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนนี้พยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดสังเกตมาโดยตลอด แล้วทำไมอยู่ๆ นางถึงฆ่านายน้อยเจียง”
เมื่อมีคำถามนี้เกิดขึ้นมา ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบ
อย่างไรก็ตาม เจียงชิงอวี่ยิ้มเยาะและพูด “ทำไมจะเป็นอื่นไปได้ ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณที่รู้จักเย่เสี่ยวเทียนยืนยันกับข้าว่าศิษย์ที่น่าผิดหวังของข้าเป็นคนเรียกนางให้ออกไปหา สถานที่ที่พวกเขาถูกฆ่าก็เป็นจุดที่ผู้คนไม่ค่อยได้เดินผ่าน ดังนั้นในเมื่อเย่เสี่ยวเทียนเป็นผู้หญิง ยังจะต้องการเหตุผลในการอธิบายอีกหรือ”
ทุกคนเงียบเสียง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคาดเดาเหตุผลไปต่างๆ นานา แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา เจียงชิงอวี่นั้นมาจากกลุ่มเจียง เป็นศิษย์น้องของหัวหน้าสำนักย่อย และเป็นผู้อาวุโสของเจียงเฉิงเสียนคนที่ถูกฆ่า เขาสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา แต่คนอื่นไม่กล้าอย่างแน่นอน
ไม่มีใครพูดขึ้นมาอีก คนที่ต้องการพักผ่อนก็หาที่พัก และคนที่ต้องการทำสมาธิก็นั่งทำสมาธิต่อไป
ระยะเวลาผ่านไปนานพอควร อยู่ๆ เจียงชิงอวี่ก็เงยหน้าขึ้น และเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาเห็นกลุ่มแสงปรากฏขึ้นอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้า ด้วยแรงกดดันอันทรงพลังที่เกิดขึ้น คนผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแน่นอน!
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหาะผ่านไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องประหลาดใจเมื่อลำแสงนั้นค่อยๆ ลดระดับลงและกำลังพุ่งตรงเขามาหาพวกเขา
เหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบสองคนต่างยืนขึ้นทีละคนและมองกันไปมา ดูเกรงขามขึ้นมาทันที
พวกเขาทั้งหมดต่างนึกว่าในเมื่อลำแสงนั้นเป็นสีแดง จึงไม่ใช่หัวหน้าสำนักย่อยแต่แล้วใครล่ะที่จะมายังสถานที่แห่งนี้”
คำตอบเผยออกมาในอีกไม่ช้า ลำแสงนั้นร่อนลงที่พื้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา
คิ้วของเจียงชิงอวี่ขมวดกันแน่นมากขึ้น ชุดของผู้นี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเครื่องแบบของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่เขามีแรงกดดันเช่นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างไร
แต่ความคิดนี้เพียงแค่แล่นผ่านเข้ามาในจิตใจของเขาชั่วขณะเพราะชายหนุ่มคนนั้นได้ตวัดสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งมาทางพวกเขาแล้ว
เขาและกลุ่มของเจียงชิงอวี่ต่างจ้องมองอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วพวกเขากล่าวทักทายชายหนุ่มผู้นั้น “คารวะท่านผู้อาวุโส”
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะได้ยินคำทักทายนั้น สายตาเขาไม่ได้จับจ้องไปที่พวกนั้น แต่จ้องอยู่ที่ม่านพลังด้านนอกของบ้านที่ทรุดโทรมหลังนั้นพร้อมกับพูดพึมพำกับตัวเอง “ม่านพลังทำลายหยินหยาง ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอมัน ณ ที่นี้เลย เยี่ยเจียงผู้นี้เหมาะสมแล้วที่เป็นน้องชายของเย่ไห่ เขาช่างมีทักษะที่คล้ายกันจริงๆ”
ในขณะที่เขาพูด ใครคนหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ท่าน… นี่ท่านคือ…”
ชายหนุ่มเบนสายตาของเขาไปจ้องมองผู้นั้นด้วยความเยือกเย็น
เมื่อตระหนักว่าสหายผู้ฝึกตนของเขาได้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังด้านหน้าพวกเขาขุ่นเคือง เจียงชิงอวี่รีบพูดว่า “ท่านอาวุโส โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย พวกเราศิษย์สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่า ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือ…”
ชายหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงฮึ่มในลำคอแต่ไม่ได้ตอบ เขาเพียงแต่จ้องมองไปที่ชายผู้ที่พูดออกมาก่อนหน้านั้นพร้อมบอกว่า “อาจารย์ลุงซู ดูเหมือนว่า…ท่านจะจำข้าได้”
ทุกคนต่างหันไปมองผู้ฝึกตนอายุสี่สิบกว่าตามๆ กัน ศิษย์น้องจาวกระซิบ “ศิษย์พี่ซู ท่านอาวุโสผู้นี้คือ…”
ศิษย์พี่ซูมองไปที่ชายหนุ่มนั้น เมื่อเห็นว่าผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีที่จะหยุดเขา เขาจึงกระซิบกลับ “ข้าเคยเจอท่านผู้อาวุโสนี้ที่ห้องปรุงยาของศิษย์น้องโหลว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาในตอนนั้น…”
ท่าทางของทุกคนเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น สืบเนื่องจากพลังกดดันของเขา ผู้อาวุโสนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นแน่แท้ ถ้าสิ่งที่ศิษย์พี่ซูบอกเป็นความจริง นั่นก็จะหมายความว่าผู้นี้แสร้งเป็นศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณและลี้ภัยเข้ามาอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้… อะไรทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังต้องวางแผนเช่นนี้กัน
สุดท้ายก็เป็นเจียงชิงอวี่ที่หยุดเรื่องราวต่างๆ เขาพูดด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโส ท่านมีสิ่งใดชี้แนะพวกข้าบ้าง”
“ชี้แนะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่กังวลว่าจะสุภาพต่อเจียงชิงอวี่หรือไม่ เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าต้องการสองคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น”
เจียงชิงอวี่ตะลึง เขาพูด “ท่านผู้อาวุโส ด้านในนั้นเป็นผู้ทรยศของเขาอวิ๋นอู้ หัวหน้าสำนักย่อยของพวกข้าได้สั่งการมาโดยตรงให้พวกข้าจับพวกเขาไป นี่ท่าน…”
“อะไร นี่ท่านไม่ยินยอมหรือ” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อของเขา ส่งความกดดันของพลังวิญญาณให้แผ่พุ่งออกมากดเหล่าผู้ฝึกตนรอบๆ ทันที
พวกเขาจะต้านทานต่อแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างไร หลายคนต้องก้าวเท้าถอยออกไปและสีหน้าดูซีดเซียวทันที
ชายหนุ่มเย้ยหยันพร้อมพูดว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้า ข้าแค่บอกให้เจ้ารู้ไว้ ในเมื่อเห็นว่าพวกเราอยู่สำนักเดียวกันมาเป็นระยะหลายปี ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าวันนี้ ไสหัวไป!”