โศกเศร้า

โม่เทียนเกอรับรู้ว่าข้างนอกมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนเฝ้าอยู่ แต่นางขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลเรื่องพวกเขา ต่อให้นางออกไปจัดการกับพวกเขา แล้วนางจะทำอะไรได้ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะไปสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังตั้งหลายคนได้อย่างไร ไม่ว่ากรณีใด ถ้าไม่มีกองหนุน มันก็เป็นเพียงแค่เวลาไม่นานเท่านั้นก่อนที่นางและท่านอารองจะต้องจบชีวิต 

 

 

เสียงดังเอะอะจากด้านนอกปลุกให้โม่เทียนเกอตื่นจากภวังค์ นางคว้ากระบี่ป่าขจีออกมา เพื่อที่จะเลี่ยงการตกเป็นเป้าของการทรมานหลังจากที่จะ 

 

 

ต้องตกไปอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนเหล่านั้น นางตั้งใจมุ่งมั่นแล้วว่าจะไปปรโลกด้วยกันกับท่านอารองเสียเลย 

 

 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางกำลังจะเหวี่ยงกระบี่ มือของนางก็ชาขึ้นมาในทันใด มือที่กำอยู่คลายออกและกระบี่ตกลงสู่พื้น ในไม่ช้านางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “เจ้าทำอะไรน่ะ”  

 

 

โม่เทียนเกอเงยหน้ามองและต้องตะลึงทันที “ท่าน…”  

 

 

ฉินซีที่เดินเข้ามาในบ้านขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าอยากจะฆ่าตัวตายหรอกหรือ”  

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน” โม่เทียนเกอจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง 

 

 

ฉินซีไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงมาหา จับข้อมือของเยี่ยเจียงและใส่พลังวิญญาณบางส่วนลงไปตรวจอาการบาดเจ็บของเยี่ยเจียง 

 

 

คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอีกครั้งระหว่างกำลังตรวจดู เมื่อเขาทำเสร็จ เขาหยิบกล่องหยกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเอกภพและเปิดออก เผยให้เห็นพืชวิญญาณสดใหม่และฉ่ำน้ำอยู่ภายใน จากนั้นเขาเด็ดใบของมันออกมาและบีบน้ำเข้าปากเยี่ยเจียงก่อนที่จะทำท่ามุทรา ลำแสงสีสดราวกับไฟถูกส่งไปพร้อมกับใบนั้นเข้าสู่ร่างของเยี่ยเจียง 

 

 

การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ไม่นานหลังจากที่เขาทำทุกอย่างเสร็จ โม่เทียนเกอถึงได้สติคืนกลับมาและมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง นางถามว่า “ศิษย์… ศิษย์พี่ฉิน ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านป้อนอะไรให้ท่านอาของข้าหรือ”  

 

 

ฉินซีที่ยังคงถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาสู่ร่างกายของเยี่ยเจียงเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาและเหลือบมองนางก่อนเขาจะตอบว่า “นี่เป็นแค่วิธีชั่วคราวเพื่อยืดอายุของเขา อาการบาดเจ็บท่านอาของเจ้าหนักเกินไป ข้าทำได้แค่ปลุกเขาเพียงครู่หนึ่ง”  

 

 

“นี่…” โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สถานการณ์ตอนนี้เกินความคาดหมายของนางไปมากแล้วและสมองของนางก็เต็มไปด้วยคำถาม แต่นางกลับไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้สึกว่าฉินซีดูเหมือนจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้ นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวนางเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หรือนั่นหมายความว่า…  

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน ท่านสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จแล้วหรือ”  

 

 

ฉินซีไม่ได้ตอบเพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายทอดพลังวิญญาณสู่ร่างของเยี่ยเจียง 

 

 

เมื่อเห็นว่าการกระทำของเขาดูเหมือนจะไม่ได้เป็นภัยต่อท่านอารอง โม่เทียนเกอครุ่นคิดอีกสักพักจากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะออกไปข้างนอก และนางก็ต้องแปลกใจเมื่อสภาพแวดล้อมรอบๆ ร้างหมด ไม่มีคนแม้แต่คนเดียวอยู่ที่นั่น!  

 

 

นางตกใจเป็นที่สุด ต่อให้ฉินซีสร้างฐานแห่งพลังของเขาสำเร็จ เขาจะสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคนได้อย่างไร อีกอย่าง แล้วเขามาที่นี่ได้อย่างไรตั้งแต่แรก 

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตอนนี้จิตใจของตัวเองสับสนวุ่นวายไปหมด เกิดอะไรขึ้นเนี่ย 

 

 

อย่างไรก็ตาม นางยังไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะขณะนั้นเอง จู่ๆ เยี่ยเจียงก็ร้องครางขึ้นมาขณะที่เขาฟื้นคืนสติ 

 

 

“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียกขณะที่รีบเข้าไปหาเขา 

 

 

หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก เยี่ยเจียงก็สามารถลืมตาขึ้นได้ในที่สุด เขาสังเกตภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนที่จะหยุดสายตาของเขาที่ร่างของฉินซี เขาถาม “เจ้าคือ…”  

 

 

ฉินซีกล่าว “แซ่ของข้าคือชิน”  

 

 

เยี่ยเจียงตัวสั่นพร้อมกับความตื่นเต้นที่วาบผ่านดวงตาเขา “เจ้า… เจ้าคือ…”  

 

 

ฉินซีเผยรอยยิ้มบางๆ และบอกว่า “ข้ามาจากกลุ่มชิน ข้าบังเอิญได้รับข้อความ ดังนั้นข้าจึงรีบมา”  

 

 

ถึงแม้ว่าคำตอบของฉินซีจะยืนยันการคาดเดาของเขา เยี่ยเจียงก็ยังสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เขาหลับตา คว้าข้อมือของฉินซีพร้อมกับหอบหายใจพูดว่า “ในที่สุด… ในที่สุด… มาทันเวลา…”  

 

 

ฉินซียกมืออีกข้างเพื่อหยุดเขา เขาพูดว่า “อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป ข้าไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของท่านได้ ตอนนี้ที่ข้าทำได้ก็คือช่วยให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้สักพักหนึ่ง ถ้าท่านมีอะไรที่ต้องการจะพูด ได้โปรดพูดมาโดยด่วน”  

 

 

สิ่งที่ฉินซีพูดทำให้สายตาของเยี่ยเจียงสิ้นหวังลงเล็กน้อย แต่ไม่ช้าเขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ เขารู้มานานแล้วว่าเขาคงไม่รอดชีวิต แต่อย่างน้อยเสี่ยวเทียนก็จะปลอดภัย!  

 

 

“ท่านอารอง…” ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าท่านอารองไม่ได้เหลือเวลามีชีวิตอยู่อีกนานนัก แต่การต้องมองเขาขณะที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยก็ทำให้หัวใจของนางแตกสลาย นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉินซีและพูดอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ฉิน ท่านพอมีวิธีใช่ไหม ท่านช่วยชีวิตท่านอารองได้ไหม—”  

 

 

เยี่ยเจียงยกมือขึ้นเพื่อหยุดนาง เขายิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวเทียน… อย่าเศร้าไปเลย… วันนี้… อย่างไรก็ต้องมาถึง”  

 

 

โม่เทียนเกอจะไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่านางกำลังทำตัวไร้เหตุผลอยู่ตอนนี้ แต่มันก็แค่… นางไม่สามารถจะ… 

 

 

เยี่ยเจียงถอนหายใจออกมาแผ่วเบาและพูดว่า “เสี่ยวเทียน เจ้า… ไปรอข้างนอก อีกสักพักเจ้าค่อยกลับเข้ามาอีกครั้ง”  

 

 

โม่เทียนเกอเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยความสับสน “ท่านอารอง ข้า…”  

 

 

“ทำตามที่ข้าสั่ง” เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “แค่ครู่เดียว…”  

 

 

เมื่อเห็นนางยังลังเล ฉินซีจึงบอกว่า “ศิษย์น้องเยี่ย วางใจเถอะ ข้าจะอยู่ตรงนี้”  

 

 

โม่เทียนเกอจ้องกลับไปกลับมาระหว่างสองคนที่อยู่ตรงหน้า ท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้การยืนกรานของท่านอารอง นางจึงพยักหน้ารับ ท่านอารองคงมีเหตุผลของเขา นางคิดว่า… นางควรทำตามที่ท่านอารองบอกนางเพราะในอนาคต… นางอาจไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว 

 

 

หลังจากโม่เทียนเกอออกไป ฉินซีมองตาเยี่ยเจียงและเข้าใจได้ว่าเยี่ยเจียงหมายความว่าอะไร ด้วยการโบกมือหนึ่งที เกราะฉนวนกันเสียงปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ท่านสหายนักพรตเยี่ย ท่านพูดมาได้ตามตรง”  

 

 

เยี่ยเจียงจ้องชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบปีราวกับว่าเขากำลังวิเคราะห์ชายหนุ่มคนนั้น จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าไม่บังอาจ… ให้เรียกว่าสหายนักพรต ข้าคิดว่าศิษย์พี่… คงจะเป็น… ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งใช่ไหม”  

 

 

ฉินซีหลุบตาลงต่ำและถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไร”  

 

 

เยี่ยเจียงอ้าปากหอบเพื่อสูดหายใจก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าระดับ… การฝึกตนของข้าจะไม่… ดีเท่าศิษย์พี่ แต่ข้าก็ยัง… มีประสบการณ์อยู่บ้าง… แม้ว่าข้าได้ฝึกตน… จนถึงเพียงแค่… แค่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง… แต่วิธีการของท่านคือ… คือวิธีของพวก… ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”  

 

 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจียงพูดได้ยากลำบากแค่ไหน ฉินซีจึงถ่ายทอดพลังวิญญาณบางส่วนของเขาเข้าสู่เส้นลมปราณของเยี่ยเจียง “พี่ชายที่เคารพของท่านคือสหายที่ข้าผ่านความท้าทายต่างๆ มาด้วยกัน ในเมื่อท่านเป็นน้องชายของเขา ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หรอก”  

 

 

เยี่ยเจียงผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินซี อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เปลี่ยนท่าทีที่เขาเรียกฉินซี “นั่นหมายความว่า… ศิษย์พี่ไม่สนใจ… สนใจเรื่องเกี่ยวกับเมื่อปีนั้นหรือ”  

 

 

ฉินซีเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจกระบวนการคิดของเจ้า แต่ทำไมข้าต้องมาเถียงกับพวกศิษย์น้องด้วยเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ด้วย”  

 

 

บัดนี้ที่เขาได้รับการยืนยัน ในที่สุดเยี่ยเจียงก็สามารถปลดปล่อยความกังวลทั้งหลายของเขาได้ เยี่ยเจียงหลับตาลงและหอบหายใจครู่หนึ่ง เมื่อเขาหายใจสะดวกเขาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ได้โปรดอภัย… ให้ศิษย์น้องด้วยที่… หยาบคาย… ศิษย์พี่… อาจจะมี… ความรู้สึกที่ดีต่อ… เสี่ยวเทียนใช่ไหม”  

 

 

เมื่อคำถามของเยี่ยเจียงถูกถามออกมา สายตาของฉินซีเฉียบคมขึ้นทันที เขาถามอย่างใจเย็น “ท่านหมายความว่าอย่างไร”  

 

 

เยี่ยเจียงรู้ว่าคำถามของเขาทำให้ฉินซีเคืองเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงไม่ได้รู้สึกประหม่าและยังคงพูดต่อไปช้าๆ “ศิษย์พี่ โปรดอย่า… อย่าเข้าใจผิด… ความรู้สึกที่ดี… ที่ศิษย์น้องหมายถึงไม่ใช่… ความรัก แต่แค่… เพราะศิษย์พี่ดูเหมือน… ไม่อยากจะให้… เสี่ยวเทียนรู้เกี่ยวกับ… ตัวตนของท่าน… ศิษย์น้องสัมผัสได้ว่า… ศิษย์พี่ปฏิบัติกับ… เสี่ยวเทียนแตกต่างไป”  

 

 

หลังจากพูดประโยคยาวเช่นนั้น เยี่ยเจียงหายใจอย่างยากลำบากอีกครั้ง ฉินซีถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยเจียงอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้คำตอบตรงๆ แต่ฉินซีก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าท่านต้องการความอุ่นใจ ข้าจะทำตามคำขอของท่าน จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะพานางกลับไปยังโรงเรียนเสวียนชิงและให้ที่พักอาศัยแก่นางจนกว่านางจะมีความสามารถพอที่จะปกป้องตนเองได้”  

 

 

รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจียง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้วางเดิมพันผิดไป 

 

 

“ยังมีอีกเรื่อง… ที่ศิษย์น้องยังรู้สึกไม่มั่นใจ… นอกเสียจากว่าศิษย์น้องจะได้ถามให้ชัดเจน…”  

 

 

ฉินซีเดาได้อยู่แล้วว่าเขาหมายความว่าอะไรและกล่าวว่า “ท่านพูดถึงร่างกายของนางใช่หรือไม่”  

 

 

เยี่ยเจียงพยักหน้าด้วยความยากลำบาก จากนั้นเขาพูดว่า “ศิษย์น้องรู้ ว่าสิ่งที่ศิษย์น้องถามนั้น… ค่อนข้างร้ายแรง… อย่างไรก็ตาม ถ้าศิษย์น้องไม่ถาม… ศิษย์น้องคงจะไม่… สามารถตายตาหลับได้…”  

 

 

ครั้งนี้ฉินซีเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะตอบว่า “ตกลง ข้าจะทำตามคำขอของท่าน ถ้านางไม่ยินยอม ข้าจะไม่บังคับนางเด็ดขาด”  

 

 

“ไม่” เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับส่ายหน้า “สิ่ง… สิ่งที่ศิษย์น้องต้องการจะถาม… คือว่าเมื่อมัน… จำเป็น… ศิษย์พี่อาจจะ… ผลักดันให้นาง…”  

 

 

ฉินซีอึ้งไปและค่อนข้างสับสนกับเจตนาของเยี่ยเจียง 

 

 

—  

 

 

โม่เทียนเกอคอยอยู่ด้านนอกในขณะที่จ้องมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย 

 

 

เนื่องจากนางไม่สามารถได้ยินอะไรจากในบ้านแม้แต่น้อย นางรู้ว่าพวกเขาคงจะใช้อะไรบางอย่างมากันเสียงจากข้างในเอาไว้ 

 

 

นางค่อนข้างประหลาดใจ นางไม่เคยคาดคิดว่าที่จริงแล้วฉินซีจะมาจากโรงเรียนเสวียนชิง ยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่เขาพูด เขาดูเหมือนจะเป็นศิษย์น้องของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอีกด้วย 

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น จิตใจของนางก็กระจ่างขึ้นเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดของศิษย์พี่ฉินคนนี้ถึงพิเศษนัก… ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงแสดงออกถึงท่าทางที่ดูพิเศษไปหมดทุกทาง 

 

 

จากแรงเคลื่อนไหวที่เขาเผยออกมา เขาน่าจะอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังใช่ไหม แปลกมาก ด้วยตัวตนของเขาในฐานะศิษย์น้องของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง เขาควรจะเป็นศิษย์หัวกะทิในโรงเรียนเสวียนชิง ยิ่งรวมกับความจริงที่ว่าเขาน่าจะมีผู้อาวุโสในระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับจิตวิญญาณใหม่ มันก็น่าจะง่ายสำหรับเขาในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แล้วทำไมเขาถึงไปสร้างฐานแห่งพลังในอีกสำนักหนึ่งล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คืองานอดิเรกแปลกประหลาดของเด็กจากกลุ่มการฝึกตนและเผ่าผู้ฝึกตนที่โด่งดัง 

 

 

นางอดที่จะคิดว่ามันตลกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะเปลี่ยนไปเป็นขบขัน แต่ก็ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆ ออกมา 

 

 

นางเข้าใจดีว่าท่านอารองกำลังจะจากไป… นางจะทำอย่างไรถ้าไม่มีท่านอารองอยู่แล้ว นางถามคำถามนี้กับตัวเอง แต่กลับหาคำตอบไม่ได้และเพียงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายในเท่านั้น 

 

 

ไม่แน่ชัดว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่ในที่สุดนางจะได้ยินเสียงของฉินซีดังมาจากภายในบ้าน เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เชิญเข้ามาข้างใน”  

 

 

เมื่อรวบรวมความคิดและหลังจากเช็ดร่องรอยคราบน้ำตาจากหางตาของนางเรียบร้อย โม่เทียนเกอเข้าไปในห้องทันที “ท่านอารอง!” นางร้องเรียก 

 

 

เยี่ยเจียงพิงกำแพงขณะที่ฉินซียังคงถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ถึงกระนั้น สัญญาณชีพของเขายังคงลดลงโดยเร็วอย่างต่อเนื่อง แม้แต่การลืมตาก็ทำได้ยากมากแล้วในตอนนี้ 

 

 

“เสี่ยวเทียน…” เขายื่นมือมาด้วยความยากลำบากยิ่ง 

 

 

โม่เทียนเกอรีบจับมือเอาไว้และคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “ท่านอารอง ข้าอยู่นี่”  

 

 

เยี่ยเจียงยิ้ม เขายังพยายามอย่างหนักที่จะยื่นมือออกไป ต้องการที่จะลูบผมนางอย่างที่เขาเคยทำเมื่อตอนนางยังเด็ก 

 

 

ท่าทางที่เต็มไปด้วยความรักนี้ทำให้โม่เทียนเกอหลั่งน้ำตา 

 

 

“เสี่ยวเทียน… เทียนเกอ อย่าร้องไห้… หลังจากอาสองจากไป เจ้า… ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี…” น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาขุ่นมัวของเยี่ยเจียงเช่นเดียวกัน น้ำตาไหลผ่านรอยเ**่ยวย่นบนใบหน้าแก่ชราของเขา เขาตระหนักดีว่านี่คือการจากลาชั่วนิรันดร์สำหรับพวกเขา 

 

 

“เสี่ยวเทียน อาสอง… มีสองเรื่อง… ที่ยังปล่อยวางไปไม่ได้…”  

 

 

“ท่านอารองบอกข้ามาได้เถิด ข้าจะทำตามที่ท่านบอกอย่างแน่นอน”  

 

 

“ตกลง… ฟังให้ดี… เรื่องแรก รอจนกว่า… เจ้าจะเข้าถึงดินแดนการก่อเกิด… แก่นขุมพลัง กลับ… กลับไปที่กลุ่มเยี่ยในโลกมนุษย์… ดูว่า… มีใครที่มีรากวิญญาณหรือไม่… ไม่จำเป็นต้องตั้ง… กลุ่มเยี่ยขึ้นมาใหม่… ตราบใดที่เจ้า… ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยกับ… ศิษย์ผู้น้อย เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าซ้ำๆ และตอบว่า “ข้ารู้ ข้าจะ… ข้าจะกลับไปดูอย่างแน่นอน”  

 

 

เยี่ยเจียงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง เขามองนางอย่างรักใคร่และพูดต่อไป “เรื่องที่สอง อาสอง… อาสองได้ฝากฝังเจ้ากับท่านอาจารย์… อาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง… ในอนาคต เจ้าต้องรัก… รักตัวเองให้มาก เข้าใจไหม”  

 

 

เมื่อถึงเวลาที่เขาพูดจบ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำตา ถ้าเขาทำได้ เขาอยากจะเห็นนางเจริญเติบโตด้วยตัวของเขาเอง… แต่โชคร้ายที่สวรรค์ไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้น 

 

 

โม่เทียนเกอที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขากำลังสะอึกสะอื้นอย่างหนักจนนางไม่สามารถพูดอะไรได้ นางทำได้เพียงแค่พยักหน้าสุดกำลัง 

 

 

ท่ามกลางหยาดน้ำตา ดวงตาของเยี่ยเจียงเริ่มจะพร่าเลือนในท้ายที่สุด แม้ว่าฉินซีจะถ่ายทอดพลังวิญญาณให้เขาอย่างต่อเนื่อง เขาก็ยังไม่สามารถเพิ่มสัญญาณชีพของเยี่ยเจียงได้ 

 

 

ทันใดนั้นเยี่ยเจียงพูดพึมพำว่า “พี่ใหญ่… ขอโทษ ข้า… ข้ากำลังจะได้พบท่านแล้ว…”  

 

 

หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย 

 

 

โม่เทียนเกอคุกเข่าอย่างเหม่อลอย น้ำตาของนางไหลหลั่งไม่หยุด แต่นางไม่เอ่ยเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย นางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเมื่อสิบสามปีก่อนไปสู่วันที่แม่ของนางจากไป ความเศร้าโศกหยั่งลึกในการสูญเสียใครสักคนไปตลอดกาลทำให้นางพูดไม่ออก หลังจากแม่ของนางตายไป นางก็รู้สึกราวกับว่าฟ้าจะถล่ม แต่แล้วสวรรค์ก็ได้มอบท่านอารองให้กับนาง 

 

 

ท่านอารองรักนาง ประคบประหงมนาง แต่ก็สั่งสองนางอย่างเข้มงวด ถึงแม้ว่านางจะเรียกเขาแค่ท่านอารอง แต่ในใจแล้วนางมองเขาในฐานะพ่อของนาง บางครั้งนางยังคิดว่ามันคงจะดีแค่ไหนถ้าพ่อของนางยังมีชีวิตอยู่ แต่ทุกครั้งที่นางคิดเช่นนั้น นางก็จะตำหนิตัวเองว่าโลภเกินไป ท่านอารองมอบทุกอย่างให้นางเท่าที่เขาจะทำได้ รวมถึงชีวิตของเขาด้วย แล้วนางยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก แค่มีท่านอารองก็เพียงพออยู่แล้ว 

 

 

อย่างไรก็ตาม… ท่านอารองบัดนี้ได้จากไปแล้ว ทอดทิ้งนาง… 

 

 

ดูเหมือนว่า… ท้องฟ้า… ได้ถล่มลงอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย!” ในภวังค์นางได้ยินเสียงใครบางคนตะโกน “เจ้าอยากตายหรือไง!”  

 

 

นางลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตาม นางมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก นางเพียงแค่รู้สึกว่าใครบางคนกำลังจับไหล่ของนางและเขย่าตัวอย่างแรง ขณะที่ตะโกนว่า “หายใจเข้า!”  

 

 

การตีเข้าอย่างแรงที่หลังของนางทำให้นางไอออกมา และพร้อมกับการไอนั้น เสียงร้องของนางดังออกมาในที่สุด นางกอดเข่าร้องไห้โฮเหมือนเด็ก ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับน้ำตา ถึงแม้ว่านางจะศึกษากฎแห่งเซียน และถึงแม้ว่านางจะไม่อ่อนแออีกต่อไป ในชั่วขณะนี้นางก็ยังรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยจากเมื่อสิบสามปีก่อน 

 

 

ท่านอารองบอกว่าความสูญเสียเกิดขึ้นเพื่อที่ผู้คนจะได้เติบโต แต่นางยอมไม่เติบโตดีกว่า!  

 

 

ใครบางคนถอนหายใจเบาๆ ดึงตัวนางขึ้นมาและปล่อยให้นางพิงไหล่ของเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ