ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 459 พลาดครั้งนี้ไป อาจจะเป็นตลอดกาล

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ไป๋จิ่งคังกับหวังปิงรู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้

มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะท้ายสองคน และมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะกลางสี่คน

‘มังกรทะยานทะเลเลือด’ ไห่เจิ้งเซิน มีชื่อเสียงสั่นสะท้านในโลกผืนสมุทร และโดดเด่นกว่ายอดฝีมือระดับสุดยอดในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน

แต่ว่ามหาปรมาจารย์จากสำนักมังกรโลหิตสี่คนล้วนตาย ด้วยน้ำมือของมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะกลางเพียงคนเดียว

มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะกลางผู้นี้ มีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น

ถึงแม้เขาจะครอบครองอาวุธวิญญาณระดับสูง แต่ว่าไป๋จิ่งคังกับหวังปิงมองออกว่า จุดที่ใช้ตัดสินแพ้ชนะมิได้อยู่ที่อาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นนั้น

พวกเขารู้สึกซาบซึ้งที่ได้รับการช่วยเหลือจากเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ค่อนข้างกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงโลกลอยน้ำที่แปลกหน้าโดยสิ้นเชิงผ่านทางเชื่อมเขตแดน

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอคารวะไป๋จิ่งคังสองสามีภรรยาแล้ว ก็ไม่ได้มากพิธี ถามเข้าประเด็นทันที “ข้าเห็นว่าพวกท่านมีอาวุธวิญญาณระดับกลางที่ส่องแสงสีรุ้ง วัตถุดิบที่ใช้สร้างอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ มีของวิเศษที่ชื่อแกนหยกแสงรุ้งหรือไม่”

พวกไป๋จิ่งคังได้ยินดังนั้น ต่างมองหน้ากันเอง รู้สึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่เหมือนทวงถามบุญคุณด้วยการขออาวุธวิญญาณ จึงอดประหลาดใจไม่ได้

ด้วยพลังและสถานะที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมา ย่อมไม่ต้องตาอาวุธวิญญาณระดับกลาง ต่อให้อยากได้และคิดแย่งชิง พวกเขาสามีภรรยาก็ไม่อาจทำอะไรได้

คิดถึงตรงนี้ หวังปิงก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “คำพูดของท่านถูกต้องแล้ว ในตอนที่สร้างกำไลแสงเรืองรอง อาวุธวิญญาณระดับกลางที่คุ้มครองข้า ได้ผสมแกนหยกแสงรุ้งเข้าไปด้วยจริงๆ”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองประตูทางเชื่อมเขตแดนที่ปั่นป่วนมากขึ้น คล้ายกับจะปิดได้ตลอดเวลาตรงกลางท้องฟ้า “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนเหล่านั้นพูดว่า พวกท่านมาจากโลกผืนสมุทรอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ทราบว่าในโลกผืนสมุทรมีการผลิตแกนหยกแสงรุ้งหรือไม่ แล้วกำลังการผลิตเป็นอย่างไรบ้าง”

ไป๋จิ่งคังกับหวังปิง สองสามีภรรยามองหน้ากันเอง ผู้เป็นสามีเป็นคนตอบ “ถึงแม้จะน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้มีการผลิตในที่เดียว นับว่าเป็นของวิเศษที่ค่อนข้างล้ำค่า จึงมีการผลิตค่อนข้างน้อย แต่ถึงอย่างไรก็พอมีอยู่บ้าง”

พวกเขาเงยหน้ามองประตูทางเชื่อมเขตแดน บนใบหน้าอดเกิดความวิตกขึ้นไม่ได้

ตอนแรกกังวลว่าไห่เจิ้งเซินจะปิดทางหนีอีกฝั่ง ตอนนี้อีกฝ่ายไล่ตามเข้ามาในโลกลอยน้ำ ทว่าถูกเยี่ยนจ้าวเกอสังหาร พวกเขาไม่มีความกริ่งเกรงใดอีก ย่อมคิดจะกลับโลกผืนสมุทรที่เป็นที่อยู่ของตัวเองให้เร็วที่สุด

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ขอไม่ปิดบัง ข้าต้องการแกนหยกแสงรุ้งนี้ จึงจะเดินทางไปที่โลกผืนสมุทรของพวกท่าน พวกท่านทั้งสองได้โปรดดูแลด้วย”

ไป๋จิ่งคังกับหวังปิงได้ยินดังนั้น ต่างพยักหน้าพร้อมกัน “ใต้เท้าเกรงใจไปแล้ว เขาหงส์วิเศษของเราครอบครองสายแร่ของหยกแสงรุ้งอยู่”

มีโอกาสตอบแทนบุญคุณของเยี่ยนจ้าวเกอ จิตใจของพวกเขาจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย

ชายหนุ่มหันไปมองพวกเฟิงอวิ๋นเซิง ตอนที่กำลังจะคิดเอ่ยปากนั่นเอง สวีเฟยก็ชิงพูดก่อน “ศิษย์น้องเยี่ยน เจ้าไม่ต้องไปแล้ว ให้ข้าไปเถอะ”

“ประตูทางเชื่อมเขตแดนที่เชื่อมโลกผืนสมุทรกับโลกลอยน้ำไม่เสถียรนัก กำลังจะปิดลงแล้ว”

“หากพวกเราไป มีความเป็นไปได้ยิ่งว่าจะติดอยู่ในโลกผืนสมุทร กลับโลกลอยน้ำและกลับโลกแปดพิภพไม่ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็เอ่ยขึ้น “ที่ศิษย์พี่สวีกังวลมิใช่ไร้เหตุผล ข้าเองก็พิจารณาดูแล้ว แต่ว่าข้ามีความคิดเป็นของตัวเอง”

เขาหยิบกระจงยังสูงส่งออกมา “กระจกบานนี้ได้รวมเป็นหนึ่งแล้ว ถึงแม้กระจกพอแตกแล้วยากจะซ่อมแซม[1]ให้กลับมาเหมือนเดิม แต่ข้ามีวิธี สามารถอาศัยของวิเศษชิ้นนี้เปิดใช้วิชาเคลื่อนผ่านโลกกระจกได้”

“ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่มิได้ไร้ความหวังกลับโลกแปดพิภพโดยสิ้นเชิง”

เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจยาว “ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล การกลับโลกแปดพิภพ อย่างน้อยเราก็มีความเป็นไปได้ที่ยืนยันได้แล้วบางส่วน แต่ว่าถ้าครั้งนี้ไม่ไปโลกผืนสมุทร คิดจะหาให้เจออีก ได้แต่ต้องพึ่งโชคแล้ว”

“อาการของพี่สะใภ้อวี่เจินนับว่าทรงตัวแล้ว ไม่ต้องห่วงว่านางจะเสียชีวิตอีก แต่คิดจะให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมา กลับจำเป็นต้องคว้าโอกาสทุกอย่าง เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จให้มากที่สุด”

“ถึงอย่างไรคนก็มีอายุขัย ต่อให้ผนึกไว้ด้วยโลงศพน้ำแข็ง แม้ร่างกายจะไม่เน่าเปื่อย แต่ก็อาจจะฟื้นขึ้นมาไม่ได้อีก”

ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้ง “ถึงแม้พี่สะใภ้อวี่เจินจะยังสาว แต่พลังฝึกปรือของนางมิได้อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ การบาดเจ็บสาหัสทำให้ปัจจัยพื้นฐานเสียหาย เหลืออายุขัยอีกไม่กี่ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ”

สวีเฟยมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าว “ต่อให้หลังจากไปแล้วเจ้าจะมีวิธีกลับมา แต่ก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ บางทีอาจจะต้องการเวลาสักพักก็ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังมิอาจยืนยัน”

สวีเฟยมีสีหน้าจริงจัง “ในช่วงที่พวกเราอยู่ในโลกลอยน้ำยังพอทำเนา แต่หากไปติดอยู่ในโลกผืนสมุทรอีกหลายปี หรือเป็นเวลานานโดยไม่สามารถกลับได้ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็สาหัสแล้ว

“ข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่ได้!”

สวีเฟยพูดอย่างจริงจัง “สำนักไม่มีข้าไม่เป็นไร แต่ถ้าหากขาดจ้าวเกอไป สถานการณ์ก็ไม่เหมือนกันแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วมุ่น “หากข้าไป ต่อให้ต้องเสียเวลาไปบ้าง สุดท้ายก็ยังมีความมั่นใจว่าจะกลับมาได้ ถ้าหากศิษย์พี่สวีท่านไปเพียงคนเดียว ท่านอาจจะกลับโลกแปดพิภพไม่ได้อีกเลย”

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสวีเฟยแตกต่างกับศิษย์ร่วมสำนักทั่วไป การพูดคุยไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงอันใด

สวีเฟยพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี แต่มักมีความหวังอยู่เสมอ”

เยี่ยนจ้าวเกอเม้มปาก “ศิษย์พี่เซี่ยทางหอคลื่นโหม…”

สวีเฟยสูดลมหายใจลึก ค่อยๆ พูด “จ้าวเกอหลังจากเจ้ากลับโลกแปดพิภพแล้ว ถ้าหากพบศิษย์น้องเซี่ย ช่วยบอกเรื่องของข้ากับนางด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอมองสวีเฟย สวีเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่มีครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ความห่วงใยที่อยู่ในโลก ทางด้านสำนักไม่ต้องพูด ถ้าหากทางด้านข้า หนึ่งก็คือจวินเอ๋อร์สองแม่ลูก สองก็คือศิษย์น้องเซี่ย”

“จวินเอ๋อร์รู้เรื่องแล้ว เขาบอกว่าพี่สะใภ้อวี่เจินไปที่ใด เขาก็จะไปที่นั่น” สวีเฟยส่ายหน้า “ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวของข้า ก็คือด้านศิษย์น้องเซี่ย แต่คนยังมีชีวิตอยู่ มีเรื่องบางประการต้องกระทำ มิใช่เพราะความรัก แต่เป็นเพราะหน้าที่”

สวีเฟยเปิดถุงย่อส่วนที่ตนเองพกติดตัว ร่างของสือจวินน้อยโผล่ขึ้นมา

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “อาจารย์อาเสี่ยวเยี่ยน ข้าต้องการไปพร้อมกับอาจารย์และมารดา”

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเคร่งขรึม

สำหรับสือจวิน แค่ได้อยู่กับอิ๋งอวี่เจินก็พอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโลกผืนสมุทรหรือโลกแปดพิภพ คล้ายไม่สำคัญทั้งสิ้น

แต่สำหรับสวีเฟย การไปครั้งนี้ อาจจะเป็นตลอดกาล

อาจจะไม่ได้เจอกับท้องฟ้าและผืนดินที่คุ้นเคย อาจารย์และเขากว่างเฉินอันเป็นที่รัก หรือแม้กระทั่งเซี่ยโยวฉาน คนรักที่คะนึงหาในใจอีก

แต่สวีเฟยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากที่สือซงเทาและสือเถี่ยตายไปต่อหน้า การดูแลอิ๋งอวี่เจินและสือจวินสองแม่ลูก ก็กลายเป็นหน้าที่ของเขา และสำคัญต่อชีวิตของตนไปโดยปริยาย

มีเรื่องบางประการที่สวีเฟยไม่อาจพูดได้ แต่ในตอนที่ต้องเลือก ชายชาญผู้นี้ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย

ประตูทางเชื่อมเขตแดนเหนือศีรษะปั่นป่วนเต็มทีแล้ว

ไป๋จิ๋งคังกับหวังปิงถึงแม้จะอดทนได้ แต่สีหน้ากระวนกระวายได้อธิบายอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

“เราจากกันเป็น ไม่ได้จากกันตาย ถ้าหากมีวาสนา พวกเราจะได้เจอกันในวันหน้า” สวีเฟยมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาแน่วแน่ รอยยิ้มผ่อนคลาย “กระตือรือร้นหน่อย ข้ายังรอให้เจ้าพาคนมาช่วยพวกเรากลับไปอยู่นะ”

……………………………………….

[1] กระจกพอแตกแล้วยากจะซ่อมแซม สำนวนจีน หมายถึง อะไรเสียหายแล้วย่อมซ่อมแซให้เหมือนเดิมได้ยาก