ตอนที่ 168 กฎเกณฑ์ / ตอนที่ 169 มือสังหาร

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 168 กฎเกณฑ์ 

 

 

 

 

 

เค่ออี้กับพวกเห็นท่าทีฮว่าเหยียนเช่นนี้จึงนัดหมายเวลากับนาง แล้วจากไปชั่วคราวก่อน เมื่อคนเหล่านั้นจากไป ฮว่าเหยียนจึงดึงตัวถังเฉียนมา สำรวจดูนางอย่างละเอียดจึงคลายความกังวลลงแล้วพูดว่า 

 

 

“”ยังดีที่ข้ากลับมาเร็ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตายอย่างไรแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ รู้หรือไม่ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่เช่นไร เจ้าจะผลีผลามไปได้หรือ ข้อแรกฝ่ายนั้นไม่ถือว่าเจ้าเป็นสะใภ้ที่ถูกต้อง ข้อสองเจ้าไม่ยังเข้าใจกฎเกณฑ์ ไม่ถึงสามวันก็จะถูกคนอื่นมองฐานะเจ้าออก” 

 

 

ถังเฉียนได้ยินที่นางพูดก็รู้ว่าตนเองวู่วามเกินไป นางกำชายกระโปรงแน่น ไม่กล้าปริปากพูด 

 

 

“ไม่ต้องใจร้อน ไปกลับอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามวัน สามวันนี้ข้าจะช่วยสอนกฎเกณฑ์ของเผ่าให้เจ้ารู้” 

 

 

“ตกลง…” 

 

 

เสียงพูดของนางเบามากจนตัวเองเกือบจะไม่ได้ยิน แต่ฮว่าเหยียนได้ยินชัดเจน นางยิ้มแล้วว่า 

 

 

“ว่าอย่างไร ไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายต่อเจ้าแล้วหรือ” 

 

 

ถังเฉียนสั่นศีรษะ 

 

 

“ข้ารู้ว่าถ้าตัวเองไปในลักษณะนี้ เมื่อย่าทวดถามว่าบ้านอยู่ที่ใด ข้าก็คงตอบไม่ถูก ไม่ต้องถึงสามวัน ข้าก็ถูกเปิดโปงแล้ว ข้ารู้ว่าข้าต้องจดจำมากมายหลายสิ่ง ที่ข้าไปรับปากเร็วเช่นนี้ เพราะพวกนั้นบอกว่าเถิงเฟิงไม่สบาย นอนสลบไม่ฟื้น เป็นเพราะช่วยข้า” 

 

 

คำพูดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย พอพูดถึงตอนท้ายนางเม้มปากแน่น เพื่อไม่อยากทำให้ตัวเองดูตื่นตระหนกเกินไป 

 

 

“ยิ่งเป็นอย่างนี้เจ้าก็ต้องยิ่งตั้งสติ หากไม่มีเถิงเฟิงคอยคุ้มครอง เจ้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งถูกผู้อื่นข่มเหง ดังนั้นข้าจึงต้องไปกับเจ้าด้วย” 

 

 

ถังเฉียนฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล ต่อเรื่องนี้นางจึงนิ่งเงียบซึ่งเท่ากับยอมรับกลายๆ เค่ออี้กับพวกไปแล้ว คนเผ่าพีส่าในหล่งชวนจะมาเยี่ยมคารวะถังเฉียนทุกเช้า ยังมอบผลไม้สดและของขวัญให้แก่นาง ฮว่าเหยียนบอกว่าให้นางเลือกรับเพียงชิ้นเดียว ที่เหลือบมอบให้พวกเขา นี่เรียกว่าประทานพรให้ 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกว่าองุ่นวันแรกนั้นอร่อยมาก วันที่สองจึงจะเลือกเอาองุ่นอีก แต่ฮว่าเหยียนส่งเสียงกระแอม ถังเฉียนจึงรีบเปลี่ยนเป็นลูกท้อ จากนั้นก็เห็นนางพยักหน้า ต่อมาถังเฉียนจึงรู้ว่านี่เรียกว่าไม่เกินหนึ่งครั้ง 

 

 

ไม่ว่าจะเลือกของสิ่งใดต้องไม่อาจเกินหนึ่งครั้ง มิฉะนั้นจะทำให้คนอื่นเดาออกว่านางชอบสิ่งใด ภายหลังก็จะประจบประแจงได้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอย่างเผ่าพีส่าจะมีกฎเกณฑ์มากมายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ได้ฟังจากเถิงเฟิงที่บอกว่าไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย 

 

 

เดิมทีนางรู้สึกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพีส่าจะต้องเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก เวลานี้ดูแล้วยังเป็นที่ที่มีกฎเกณฑ์อันหนักหน่วง เทียบได้กับวังหลวงที่มีผู้สูงศักดิ์มากมาย แต่ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ตอนนั้นนางก็สะเพร่าเกินไปจริงๆ 

 

 

ดูเหมือนฮว่าเหยียนจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง ทั้งเล่าเรื่องของตระกูลฮว่าให้นางรู้อย่างชัดเจน ยังบอกให้รู้จักญาติพี่น้องอย่างละเอียด รวมทั้งยังรู้กฎเกณฑ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ยังย้ำให้นางต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง 

 

 

เวลาผ่านไปสี่วันก็ถึงเวลาออกเดินทาง แต่ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน จู่ๆ จินซิวอ๋องก็บอกว่าเขาจะเดินทางไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์กับพวกนางด้วย จุดมุ่งหมายก็เพื่อรักษาอาการป่วยของตนและซูซินเหลียน 

 

 

เหตุผลที่ดูภายนอกจะน่าเชื่อถือ ถ้าบอกว่าคนอื่นเชื่อก็แล้วไป แต่ดูเหมือนตัวฉู่จิ่งเหยาเองก็เชื่อ 

 

 

“ท่านอ๋อง เรายังต้องเดินทางเช่นนี้อีกหลายวัน ท่านไม่จำเป็นต้องมองข้าเช่นนี้ทุกวันหรอก” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยานั่งรถม้าคันเดียวกับถังเฉียน เขาเอาแต่จ้องมองนาง ไม่ก็คอยพูดว่าตนเจ็บหน้าอก โรคนี้ถังเฉียนรักษาไม่ได้ ฮว่าเหยียนเองก็จนปัญญา คงต้องยอมทนนั่งในรถม้ากันสองคนตลอดทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 169 มือสังหาร 

 

 

 

 

 

เพียงแต่ถังเฉียนรู้สึกว่าฉู่จิ่งเหยามีท่าทางแปลกๆ เค่ออี้เห็นสายตานางกับฉู่จิ่งเหยาก็รู้สึกสงสัยและคาดเดาไม่ถูก ถึง นางจะไร้เดียงสาเช่นไรก็ยังรู้สึกได้ว่าคนอื่นต่างคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฉู่จิ่งเหยา 

 

 

นางรู้ดีว่าก่อนไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์นางควรเลี่ยงข้อครหานี้ จึงดึงตัวซูซินเหลียนมานั่งในรถม้าด้วย บรรยากาศในรถจึงแปลกมาก 

 

 

“เจ้าเป็นอ๋อง เป็นสามีข้า แต่กลับนั่งรถม้าคันเดียวกับนาง หรือว่าเจ้าคือชู้รักตัวร้าย” 

 

 

ซูซินเหลียนชี้มาที่ถังเฉียนพร้อมกับพูดจาแปลกๆ ถังเฉียนฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร ชู้รักตัวร้ายคือสิ่งใด ที่ผ่านมานางเป็นเด็กที่ซื่อๆ เมื่อไม่เข้าใจก็จะถาม ซูซินเหลียนเห็นท่าทีนางเช่นนี้ก็ร้องหึ แล้วพูดว่า 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นบัวขาวที่กำลังผลิบาน โธ่เอ๊ย สงสารแต่เจ้าของร่างเดิมของข้าที่ยังคงคิดว่าเจ้าเป็นคนดี” 

 

 

ถังเฉียนฟังที่นางพูดก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังสักเท่าใด แต่นางไม่อาจถือสาคนป่วย จึงทำเหมือนว่าไม่ได้ยินอะไร นั่งหลับตาในรถทำเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไร แล้วเริ่มทำสมาธิดูดรับไอทิพย์ 

 

 

“นี่ อย่าทำเป็นไม่ยอมรับสิ พ่อคุณ เห็นว่าเจ้าหน้าตาไม่เลว ข้ายอมให้เจ้าชอบข้า อย่างไรเสียเราก็เป็นคู่ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องชอบข้า” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยามองดูซูซินเหลียนตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะ คนอย่างซูซินเหลียนถ้าไม่พูดให้คนขวัญผวาเป็นไม่ยอมเลิก ที่พูดเมื่อครู่ล้วนทำให้ทุกคนบนรถรู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว 

 

 

“แต่พอตัวเอกออกจากบ้าน โดยเฉพาะครั้งแรก ยังพามือที่สามมาด้วย จะไม่ให้มีมือสังหารได้อย่างไร” 

 

 

มือสังหาร? คำพูดนี้ทำให้ถังเฉียนขนลุกซู่ แต่เมื่อมองดูฉู่จิ่งเหยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่งราวกับเข็มวิเศษตรึงสมุทร แล้วมองดูซูซินเหลียนที่กวาดตามองรอบๆ อย่างระแวง ถังเฉียนจึงพูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า 

 

 

“เจ้าไม่ต้องวิตก ท่านอ๋องเป็นเทพสงครามไม่มีใครกล้ามาย่างกราย อีกอย่างที่นี่เป็นเผ่าม้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครกล้าปล้นกองคาราวานม้าของเขาศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ยกเว้น…” 

 

 

ถังเฉียนยังไม่ทันพูดว่ายกเว้นอะไร ก็ได้ยินเสียงม้ากู่ร้องยาวที่ด้านนอก คนขับรถรั้งม้าให้หยุด 

 

 

“มีมือสังหาร!” 

 

 

เค่ออี้ตะโกน อาห่าวกระโดดพรวดขึ้นบนรถม้าทันที แล้วมาหลบอยู่ข้างๆ ถังเฉียนซูซินเหลียนยิ้มอย่างสะใจแล้วว่า 

 

 

“ดูสิ ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

ถังเฉียนดึงตัวซูซินเหลียน กดนางไว้บนตัว ทั้งสองคนนั่งยองๆ บนรถม้า ลูกธนูสองดอกพุ่งผ่านหลังของทั้งสองเข้ามา ซูซินเหลียนแหงนมอง หางลูกธนูที่ปักติดผนังรถม้ายังสั่นไหวอยู่ ถังเฉียนเงยหน้ามองฉู่จิ่งเหยาที่มุมปากเขามีรอยยิ้มอย่างเย็นชา 

 

 

“ไม่เลว หลายวันมานี้ที่ร่ำเรียนวิชาไม่เสียเปล่า” 

 

 

ถังเฉียนจึงฉุกคิดขึ้นได้ เดิมตนเองไม่มีวรยุทธ์ แต่เมื่อครู่รู้สึกว่าได้ยินเสียงธนูพุ่งมาที่ด้านหลังของซูซินเหลียน ดูแล้วระยะนี้ที่ตนทุ่มเทฝึกอย่างยากเย็นยังเห็นผลบ้าง 

 

 

ฉู่จิ่งเหยายื่นสองนิ้วออกไปเลิกม่านรถขึ้น มองดูสภาพภายนอก กลับไม่มีเสียงหอกดาบปะทะกัน มีเพียงวัตถุสีดำพุ่งใส่กลุ่มคนไปทั่ว เพียงครู่เดียวทหารชุดเกราะของจวนอ๋องล้มลงระเนระนาด ถังเฉียนรู้สึกว่าของสิ่งนี้คล้ายกับสิ่งที่เถิงเฟิงเคยสยบ แต่มันคือสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือปีศาจ ทำให้ผู้คนหวาดผวา 

 

 

“มือผี เจ้าบังอาจเล่นงานฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงในอนาคต ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ตั้งค่ายกล!” 

 

 

ในมือเค่ออี้เป็นด้ายแดงกับกระบี่เงิน ทั้งห้าคนยืนตั้งค่ายกลขวางอยู่ข้างหน้าถังเฉียน 

 

 

รอบๆ เงาผีมีคนห้าคนซึ่งสวมชุดดำทั้งหมด นอกจากคนในรถม้าที่ห้าคนของเขาศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันอยู่แล้ว คนที่เหลือต่างนอนหมดสติแน่นิ่งอยู่บนพื้น