บทที่ 315 ค่ายทหาร

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 315
ค่ายทหาร

“นี่เจ้าอิจฉางั้นเหรอ?” รอยยิ้มอ่อนโยนในดวงตาของหวังฉิงยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

ดวงตาที่ชัดเจนของมู่หรงที่ใสราวกับบ่อน้ำแร่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้ต้องบอกอีกเป็นร้อยเป็นพันรอบข้าก็จะพูดเหมือนเดิมว่าข้าไม่ชอบเจ้า ตอนนี้ไม่ ต่อไปก็ไม่ เจ้าไม่ต้องมาเสียเวลากับข้าหรอก”

“อะไรนะ? นี่เจ้ากลัวที่จะตกหลุมรักข้างั้นเหรอ?” ใบหน้าที่หล่อเหลาของหวังฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มปีศาจที่ทรงเสน่ห์ที่ออกจะดูถูกเล็กๆ

ดวงตาที่เย็นชาของมู่หรงสั่นไหวด้วยประกายเย็นชา “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังสิ่งที่ข้าพูดเลยนะ”

“ฮ่า ฮ่า ข้าได้ยิน ชัดเจนทุกประโยคเลยล่ะ” ริมฝีปากบางที่สวยได้รูปของหวังฉิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมทั้งพูดถ้อยคำที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขึ้นได้อย่างอธิบายไม่ถูก

มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาอย่างดุดัน “วันนี้เจ้าเอาน้ำผึ้งมาบ้วนปากหรือไง?” เธอเลยจุดที่จะเชื่อคำพูดหอมหวานมาแล้ว เธอจะยอมให้ตัวเองหลงไปกับคำพูดขององค์ราชาแห่งความตายอีกครั้งได้ยังไง

“ทำไม มันหวานบาดหัวใจเจ้าหรือไง?”

มู่หรงพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ สำหรับคนที่เจ้าเล่ห์แบบนี้ จะมีอะไรที่เธอจะพูดได้อีกล่ะ?!

“อีกไกลไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เมื่อได้รู้ว่าเธอตั้งใจที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่หวังฉิงก็ไม่ได้พูดออกไปและตอบกลับเธอไปว่า “อยู่ในคุกนักโทษของค่ายทหาร”

“เจ้าขังเขาไว้ในคุกงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยร้องเสียงสูงขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่เป็นอะไร ไม่มีการทรมานอะไรทั้งนั้น” หวังฉิงตอบเสียงเรียบ

สีหน้าของเธอเคร่งขรึม คิ้วเลิกสูงขึ้น หัวใจเต้นรัวราวกับคลื่นในทะเล “นี่มันเรื่องอะไรกันทำไมเจ้าต้องจับพวกเรามากักขังแบบนี้ด้วย?”

“จะเรียกว่ากักขังได้ยังไง?” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

ริมฝีปากที่บอบบางและเย็นชาของมู่หรงเผยรอยยิ้มแสยะอันทรงเสน่ห์ของปีศาจ ร่างกายรู้สึกอ่อนล้า บรรยากาศดีๆเมื่อกี้ตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว

“พวกเราต่างก็ถูกกักขังอยู่ในคุกนักโทษ แล้วแบบนี้เจ้าจะไม่เรียกว่าคุกได้ยังไง?”

หวังฉิงยักไหล่อย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่เคยกักขังเจ้าเลย เจ้าจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้แล้วยังมีเหล่าคนงานมากมายที่รอรับใช้เจ้าอีก ทุกวันก็มีอาหารอันโอชะ แล้วเจ้ายังไม่พอใจอะไรอีก?”

“ข้ายอมนอนข้างถนน อดมื้อกินมื้อดีกว่าถูกขังอยู่ในกรงทองแบบนี้” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา

หัวใจของหวังฉิงสั่นเทิ้ม แน่นอนว่าเขารู้ว่าเธอไม่ต้องการ
ความเงียบกระจายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง

เพราะค่ายทหารไม่ได้อยู่ในเมืองแต่อยู่นอกเมือง พวกเธอจึงต้องขี่ม้าออกไป

“มาเถอะ” หวังฉิงก้าวขึ้นไปบนม้าและยื่นมือออกมา

ไม่ว่ามู่หรงจะคิดยังไง แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือก การที่จะได้เจอเฟิงจือหลิงอย่างเร็วที่สุดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

เธอยื่นมือออกไปและวางลงที่ฝ่ามือใหญ่ของเขา
หวังฉิงดึงอย่างแรงและมู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นมานั่งอยู่ด้านหน้าเขาทันที

“อ่า” มู่หรงเสวี่ยอุทาน

ร่างกายที่ยังนั่งไม่มั่นคงจึงพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหวังฉิงทันที

ด้วยมือที่แข็งแรง เขาผลักร่างของเธอออกห่างเล็กน้อยและจับเอวเธอให้ตรง

ริมฝีปากบางของหวังฉิงยกขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ด้วย มือของเขาที่โอบด้านข้างของมู่หรงไว้จับที่บังเหียนและกระซิบออกมาเสียงเบา “จับดีๆนะ”

“ไป” ม้าที่อยู่เบื้องล่างเร่งตัวออกไปทันที

มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งเคยนั่งม้าเป็นครั้งแรกสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ถึงแม้เธออยากที่จะรักษาระยะห่างระหว่างเธอกับเขา แต่เมื่อดูจากความเป็นจริงแล้วมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หลังจากที่กระเด้งไปกระเด้งมาหลายครั้ง ร่างกายของพวกเธอก็แทบที่จะติดอยู่ด้วยกันแล้ว

หวังฉิงจับเอวที่เล็กบางของมู่หรงเสวี่ยแน่นไว้ในฝ่ามือของเขา

ในตอนนี้เธอไม่มีเวลาที่จะมาอิดออด

ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงค่ายทหาร มู่หรงรู้สึกราวกับว่าจะตาย ทันทีที่ลงมาจากม้า เธอก็วิ่งเข้าไปอ้วกในป่าทันที

หวังฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรที่จะอวดฝีมือการขี่ม้าเลย ทำไมเขาต้องเอาผู้หญิงที่ตัวเองรักมาทรมานด้วย

เขาลูบไปที่หลังของเธอและถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เป็นไงบ้าง? เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”

มู่หรงอาเจียนอยู่นาน ต่อมาเขาก็รีบยื่นมือออกไปทันทีและในมือคือผ้าเช็ดหน้าสีขาว
เธอรับมาและค่อยๆเช็ดไปที่มุมปาก รสชาติที่อยู่ในปากทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไร

“เอาน้ำบ้วนปากก่อนเถอะ จะได้รู้สึกดีขึ้น” หวังฉิงรีบส่งน้ำให้เธอทันที

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกทรมานจนอยากจะตายและไม่สนใจแล้วว่ากระเป๋าน้ำของหวังฉิงจะถูกใช้มาแล้วหรือเปล่า เธอรีบรับมาบ้วนปากไปสองสามรอบและเริ่มที่จะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว

เธอลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ไม่รู้เลยว่าสายตาที่หวังฉิงมองมาที่เธอตอนนี้มันอ่อนโยนขนาดไหน ความเจ็บปวดในสายตาของเขามันช่างชัดเจน

องครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งถึงกับต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง ไม่อยากที่จะเชื่อว่าราชานักรบที่เลือดเย็นปานนั้นจะมีอารมณ์แบบนี้ด้วย

“เจ้านั่งม้าไม่เป็น ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ละ?! มันยากนักหรือไง?” น้ำเสียงของหวังฉิงออกจะโมโหอยู่เล็กๆ แต่อันที่จริงเขาโมโหตัวเองมากกว่า

มู่หรงมองไปที่เขาอย่างเย็นชา แล้วจึงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร!”

“เข้าไปพักข้างในก่อนเถอะ ในเต็นท์จะได้ไม่ร้อน” หวังฉิงพูดอย่างอ่อนโยน

“ไม่ เขาอยู่ที่ไหน? ข้าอยากที่จะเจอเขาตอนนี้เลย” มู่หรงยืดหลังตรงเพื่อเป็นการบอกว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ เพียงแต่ใบหน้ายังซีดเผือด เธออยากที่จะเจอเฟิงจือหลิง

หวังฉิงขมวดคิ้ว พยายามข่มใจเพราะมู่เทียนเป็นห่วงเรื่องผู้ชายคนอื่นมากเกินไป เขาพูดออกมาเสียงเรียบ “ไปเถอะ เขาเองก็อยู่ข้างในเหมือนกัน”

มู่หรงพยักหน้าและเดินตามไป

ทหารหลายคนเดินเข้ามาหาหวังฉิงและคุกเข่าลงแต่หวังฉิงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแค่บอกให้พวกเขาถอยไป

ค่ายทหารของดินแดนแห่งไฟมีขนาดที่ใหญ่มากคนมองไม่เห็นสุดสิ้นสุดเลย หวังฉิงพามู่หรงเสวี่ยไปที่อุโมงหินที่มีองครักษ์มากมายคอยเฝ้าอยู่

องครักษ์เห็นหวังฉิงและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

หวังฉิงโบกมือให้เขา “ไม่ต้องมากพิธีหรอก ลุกขึ้น”

“คนที่มาที่นี่เมื่อสองวันก่อนอยู่ที่ไหน?” หวังฉิงถามเสียงเรียบ

“เขาถูกขังอยู่ที่ห้องขังหมายเลข 1 ตามที่ฝ่าบาทสั่งขอรับและเขาได้รับการดูแลอย่างดีด้วยขอรับ”

ทหารคนหนึ่งรายงาน

หวังฉิงพยักหน้า “เอาละ ข้าจะเข้าไปดูเอง เปิดประตู”
ทหารทั้งสองคนยื่นมือออกมาเปิดประตูหินทั้งสองฝั่งพร้อมๆกัน เมื่อหินเบื้องหน้าถูกเปิดออกทั้งสองด้าน เบื้องหน้าพวกเธอก็ปรากฏทางเดินทอดยาวขึ้นมาทันที

“หวังฉิงออกเดินนำเข้าไปก่อน “ตามข้ามา ระวังทางด้วย”

มู่หรงไม่จับมือเขาและเดินนำหน้าไปโดยไม่สนใจ แต่ในใจกลับแวบความกังวลมากมายขึ้นมา ในค่ายทหารมีคนมากเกินไป ถ้าเธออยากจะแอบเข้ามามันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นี่เป็นปัญหาขึ้นมาซะแล้ว

เธอไม่คิดเลยว่าหวังฉิงจะคุมเฟิงจือหลิงแน่นอนขนาดนี้

ถนนด้านในไม่ค่อยสว่างเท่าไร ตะเกียงน้ำมันที่ทางเดินส่องแสงเพียงสลัวๆและดูเบาบาง

ต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะเข้าไปถึงข้างใน

“หวังฉิง ไอ้ลูกหมา ปล่อยข้าออกไปนะ”
“ข้าขอแช่งเจ้าให้มีลูกชายที่ไม่สมประกอบ”

“หวังฉิง กล้าจริงก็มาสู้กับข้าสิ จับมาขังแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?”

“…”

เธอเดินผ่านห้องขังมากมายและเธอไม่รู้เลยว่ามีใครที่ถูกขังอยู่บ้าง แต่ทันทีที่เห็นหวังฉิง พวกเขาก็จะมาจับที่ลูกกรงห้องขังและร้องสาปแช่ง

ผู้คุมสีหน้าเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วหวดแส้ไปทันที “หุบปากไปเลย!”

สีหน้าของหวังฉิงไม่เปลี่ยนเลยสักนิดแต่มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผู้ชายที่อยู่ห้องขังด้วยความสงสัย

“เวลาที่พวกเขาด่า เจ้าไม่โกรธเลยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยที่กำลังรอคำตอบจากหวังฉิง ปกติจะไม่ใช่คนที่ชอบนินทาเรื่องคนอื่น
“ก็แค่นักโทษทั่วไป ไม่คู่ควรที่ข้าจะสนใจหรอก” หวังฉิงตอบอย่างเย็นชา

“แล้วคนแบบไหนเหรอที่คู่ควรกับความสนใจของเจ้า?” มู่หรงตอบต่ออย่างไม่ทันได้คิด

หวังฉิงหยุด จ้องตรงมาที่เธอแล้วจึงตอบออกมา “เจ้าไง”

ปากของมู่หรงเสวี่ยอ้าเปิดเล็กน้อย หวังฉิงนี้เป็นองค์ชายนักรักจริงๆเลย ถ้าเป็นยุคสมัยใหม่คงจะหว่านเสน่ห์สาวได้มากมายเลย

“ถึงแล้ว” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยมองเข้าไปในห้องขังและเห็นชายที่กำลังนอนอยู่ที่พื้น

“เขาเป็นอะไร?” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปและถามออกมา

หวังฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่เธอถามเลย ถ้าเป็นคนอื่นที่อยู่ในคุก เขาก็คงจะจับทรมานไปมากกว่านี้แล้ว

เขาโบกมือเรียกผู้คุมที่อยู่ไม่ห่าง

“ฝ่าบาท” ผู้คุมรีบเดินเข้ามาและก้มหัวลง

“เขาเป็นอะไร? เจ้าทรมานเขางั้นเหรอ?”

ผู้คุมรีบส่ายมือทันที “เปล่า เปล่านะขอรับ เพียงแค่ว่าชายคนนี้รับมือด้วยยากไปหน่อย พวกเราเลยต้องหาทางหยุดเขา เราให้ยาเขาเกินขนาดซึ่งจะไม่ทำอันตรายกับร่างกายของเขา” ชายคนนี้ฝ่าบาทสั่งมาเป็นพิเศษว่าห้ามทำอันตราย แล้วพวกเขาจะกล้าทำอะไรได้ยังไง

“เปิดประตู!” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา

“คือ…” ผู้คุมมองอีกครั้งไปที่หวังฉิง ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะมากับท่านลอร์ด แต่ที่นี่เขาก็ต้องฟังคำสั่งจากท่านลอร์ด

หวังฉิงมองไปที่เธอและพูดออกมา “เปิดประตู”

“ขอรับ ขอรับ ได้ขอรับ” ผู้คุมรีบเอากุญแจออกมาและเปิดประตูลูกกรง

มู่หรงรีบเดินเข้าไปข้างใน คุกเข่าลงและเข้าไปตรวจชีพจรของเฟิงจือหลิง เธอรู้สึกโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าเขาแค่อ่อนเพลียและสลบไปเท่านั้น

เธอสังเกตใบหน้าของเฟิงจือหลิงอย่างละเอียด ฝุ่นดินที่เลอะใบหน้าไม่ได้ทำลายใบหน้าที่หล่อเหลา โดดเด่น และสง่างามที่ผสมเข้ากับท่าทางที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้เลย ช่างเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จริงๆ

หัวของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บขึ้นมาและความทรงจำเล็กๆก็แวบเข้ามาในหัว ถึงแม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ แต่เธอก็รู้สึกได้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเพื่อนที่ดีของเธอและพวกเธอก็สนิทกันมาก

เธอรีบหยิบยาออกมามิติลับและป้อนให้เฟิงจือหลิงทันที
สีหน้าของเฟิงจือหลิงดีขึ้นทันตาเห็น

หวังฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆและไม่ได้กะพริบตามองเห็นได้อย่างชัดเจนและรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ในดวงตาของมู่หรงเสวี่ยมันอะไรกัน?!

“ข้าจะพาเขาออกไป” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา

“ไม่มีทาง” หวังฉิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย

มู่หรงเสวี่ยมีเรื่องให้ประหลาดใจมากเกินไปและ เฟิงจือหลิงคนนี้เป็นสิ่งเดียวที่หยุดเธอไว้ได้ เขาจะยอมเสี่ยงแบบนี้ได้ยังไงล่ะ?