บทที่ 314 วาทศาสตร์

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 314
วาทศาสตร์

เช้าวันต่อมา

มู่หรงเสวี่ยตื่นแต่เช้า

สาวใช้หูไวอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้อง ก็มีเสียงเคาะที่ประตูด้านนอกทันที “ท่านมู่ ตื่นแล้วหรือคะ?”

“ตื่นแล้ว เข้ามาสิ” มู่หรงเพิ่งจะสวมรองเท้าเสร็จ แล้วก็เห็นแถวของสาวใช้เดินเรียงเข้ามา ทันทีที่เธอลุกขึ้น พวกเธอก็เริ่มที่จะมาจัดแจงกับมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงอึ้งไปนานแล้วจึงรีบตอบออกไป “ไม่ต้อง ข้าชินกับการทำเอง” แล้วเธอก็รับผ้าเช็ดหน้ามาและเริ่มล้างหน้าจากอ้างที่สาวใช้ถือเข้ามา
เป็นความเพลิดเพลินของราชวงศ์จริงๆ

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ หนึ่งในสาวใช้ที่ดูมีอายุนิดหน่อยก็มานั่งที่ข้างหน้าและพูดออกมา “ท่านมู่เจ้าคะ ฝ่าบาทกำลังรอท่านอยู่ที่โถงหลักแล้วเจ้าค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย” มู่หรงตอบเสียงเบา

เมื่อเธอมาถึงโถงหลัก เธอก็เห็นหวังฉิงกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์

“จัดโต๊ะได้เลย” หวังฉิงพูดกับแม่บ้าน “มานั่งกับข้าสิ”

ถึงแม้มู่หรงอยากที่จะขอเจอเฟิงจือหลิงแต่เมื่อเห็นว่าคนงานในบ้านเริ่มที่จะจัดโต๊ะ ตอนนี้จึงยังไม่เร่งรีบเท่าไร พวกเขาต่างก็เดินเข้ามาและจัดเรียงวางลงที่โต๊ะ

ไม่คิดเลยว่าทั้งโต๊ะจะมีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้น เหล่านางสนมของหวังฉิงที่มาเมื่อคืนไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

“แล้วคนอื่นๆล่ะ?” มู่หรงถามเสียงเบา

“ไม่มีคนอื่นแล้ว มีแค่เราสองคน” ก่อนราชวงศ์หมิง เหล่านางสนมในคฤหาสน์จะไม่ได้เข้ามาร่วมโต๊ะด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อคืนถึงได้รับยกเว้น

“มาเถอะ ลองกินเกี๊ยวหยกนี่หน่อยสิ” หวังฉิงตักเกี๊ยวหยกใส่ถ้วยของมู่หรง

มู่หรงพูดออกมาอย่างไม่สะดวกใจเบาๆ “ข้าตักเองได้”

“งั้นก็กินเยอะๆนะ เจ้าผอมเกินไป” หวังฉิงพูด

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“หวังฉิง อย่าทำแบบนี้สิ”

รอยยิ้มจางๆที่มุมปากของหวังฉิงค่อยๆจางไปและสายตาเขาก็แวบประกายเจ็บปวด

มู่หรงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา รู้สึกอึดอัดกับอะไรหลายๆอย่าง ต่อมาเธอก็วางตะเกียบลง

ทำไมเจ้ากินน้อยจังล่ะ หรือว่าเจ้าไม่ชอบ?” หวังฉิงถาม

มู่หรงเอียงหน้าหลบเขาไปทางอื่นเล็กน้อย และพูดออกมาเสียงเบา “เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร ต่อให้เจ้ายกของที่ดีที่สุดมาให้ข้าตรงหน้า ข้าก็ยังไม่อยากจะกินอยู่ดี”

ตอนนี้เธอเหมือนกับนกน้อยในกรงทอง นี่ไม่ใช่ความรักที่เกิดจากการคบหาดูใจกัน ไม่งั้นเธอคงจะไม่หลงไปกับไอ้ทุเรศเหมือนอย่างชีวิตที่แล้วของเธอหรอก

“ไม่ต้องคิดเลยนะ ในชีวิตนี้เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น” หวังฉิงที่พูดดีมานานกลับกลายเป็นคนที่โกรธเกรี้ยวขึ้นมาเป็นครั้งแรก

เขาโยนตะเกียบออกไปอย่างดุดันและดึงแขนมู่เทียนให้เข้ามาในอ้อมแขนเขา

มู่หรงสะดุดและตรงเข้าไปพิงอยู่ที่หน้าอกของหวังฉิง นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคนได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้

เธอพยายามที่จะผลักเขาออก

หวังฉิงรีบจับมือเธอไว้ทันทีแล้วเล็งไปที่ริมฝีปากเพื่อที่จะจูบเธอ

สัมผัสที่อ่อนนุ่ม ทำให้เขานึกถึงริมฝีปากแดงที่มักจะปรากฏขึ้นมาในความฝันของเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่แล้วเขาก็ได้รู้ว่าสัมผัสของมู่เทียนช่างหอมหวานกว่าในความฝันมาก

มู่หรงเสวี่ยกัดฟันและเตะไปที่ขาของหวังฉิงด้วยความโกรธ

หวังฉิงจับมือเล็กของมู่เทียนทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน ส่วนอีกมือก็กดไปที่ขาของมู่เทียนที่ยังเตะไม่หยุด เขากดมู่เทียนไปข้างหน้าทำให้มู่เทียนนอนราบไปกับโต๊ะด้านหน้าโดยตรง
ร่างของทั้งสองแนบชิดกัน บวกกับที่มู่หรงดิ้นบิดไปบิดมากไม่ยอมหยุดทำให้หน้าอกที่อ่อนนุ่มสัมผัสเข้ากับแผงอกที่แข็งแกร่งของหวังฉิง

หวังฉิงตอบสนองในทันที รอยจูบที่มอบให้มู่เทียนยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ขาที่เรียวเล็กของมู่เทียนทั้งสองข้างถูกล็อกอยู่กึ่งกลางและมืออีกข้างของเขาก็ลูบไล้ขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง

มู่หรงเสวี่ยโกรธมากจนแทบจะร้องไห้ ถึงแม้เธอจะอยากแวบเข้าไปในมิติลับแต่เพราะหวังฉิงจับมือเธอไว้แน่น ถ้าเธอเข้าไปตอนนี้ หวังฉิงก็คงจะติดเข้าไปกับเธอด้วย เธอไม่อยากให้คนนอกได้รู้ว่าข้างในมิติลับมีอะไร

ถ้าเธอยอมให้หวังฉิงได้รู้ว่าในมิติลับมีอะไร เธอเกรงว่าในอนาคตเธอจะยิ่งถูกเฝ้าหนักกว่านี้อีก เรื่องที่จะหนีก็คงเป็นไปได้ยากมากกว่านี้มาก

มู่หรงน้ำตาไหลริน ไม่ใช่ความเสียใจแต่เป็นความโกรธ
“อ่า” มีเสียงรองด้วยความตกใจดังขึ้นมา
หวังฉิงที่กำลังบ้าคลั่งกลับได้สติขึ้นมาทันที สายตาเหลือมองไปที่เสื้อผ้าที่ร่างของมู่เทียนซึ่งดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไร เขารีบกอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขนทันทีเพื่อบังสายตาจากคนนอก

เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา “ใครบอกให้เจ้าเข้ามาที่นี่?”

คนที่ร้องด้วยความตกใจที่ด้านนอกประตูคือพระสนมจักรพรรดิฝางเสี่ยวโหรว มือเรียวเล็กของเธอปิดอยู่ที่ริมฝีปากเล็กน้อย สายตามองมาด้วยความประหลาดใจ

ฝางเสี่ยวโหรวคุกเข่าลงและพูดออกมา “ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยค่ะฝ่าบาท”

“มีอะไรก็พูดมา?” หวังฉิงกอดมู่เทียนที่ยังคงขัดขืนให้แน่นขึ้นอีก ไฟร้อนในอกของเขายังยากที่จะดับลงได้

ฝางเสี่ยวโหรวกัดริมฝีปาก ก้มหัวต่ำพร้อมด้วยสายตาที่อิจฉา “ฝ่าบาท อู่ถงมาที่นี่ ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วนค่ะ”

หวังฉิงขมวดคิ้ว ค่อยๆปล่อยมู่เทียนออกแล้วจึงช่วยเธอจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพูดออกมาเสียงอ่อนโยน “รอข้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา”

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ

หวังฉิงลูบไปที่หัวเธอเบาๆแล้วจึงเดินออกไป ระหว่างที่เดินผ่านฝางเสี่ยวโหรวก็พูดออกมาว่า “ลุกขึ้น” แล้วจึงเดินออกไป

ฝางเสี่ยวโหรวยืนมองร่างที่เดินจากไปของหวังฉิงเงียบๆแล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง

“น้องเล็ก”

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเธอแดงระเรื่อ

“ฝ่าบาททำให้เจ้ากลัวหรือเปล่า?” ฝางถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ไม่ว่าเป้าหมายของฝางเสี่ยวโหรวคืออะไร แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะช่วยเธอไว้ได้มาก “ข้าไม่เป็นไร เมื่อกี้ขอบคุณเจ้ามากนะ”

ฝางเสี่ยวโหรวอึ้งไปชั่วขณะ ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้คิดว่า มู่หรงเสวี่ยจะบอกขอบคุณกับเธอ นางควรจะโกรธที่เธอเข้ามาขัดจังหวะดีๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยจะไม่มีร่องรอยของความโกรธอยู่เลย ดูเหมือนนางจะพูดด้วยความโล่งอกซะมากกว่า

“น้องเล็ก มีอะไรที่อยากจะคุยกับข้าหรือเปล่า?” ฝางเสี่ยวโหรวนั่งลงข้างๆมู่หรงเสวี่ยและถามด้วยเสียงอ่อนโยน

ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไร แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้สึก ถึงแม้ฝางเสี่ยวโหรวจะกำลังยิ้มให้เธอแต่เธอก็รู้สึกว่าต้องระวังตัวจากนางอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าเหนื่อยมากเลยและตอนนี้ก็ยังไม่อยากที่จะคุยอะไรด้วย” มู่หรงพูดเสียงเบา
ฝางเสี่ยวโหรวรู้สึกราวกับถูกมู่หรงเสวี่ยตบหน้า นี่เป็นอีกครั้งที่เธออึ้งไปชั่วขณะ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้นางมีองค์ราชาคอยปกป้อง เธอก็คงจะฆ่านางไปแล้ว

“ข้าเองก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรหรอกนะ แต่มันคงไม่ดีเท่าไรที่เจ้าจะอยู่ในบ้านนี้ ข้าแค่อยากที่จะถามว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่ไหนข้าจะได้จัดเตรียมข้าวของให้องค์ราชา มันดีสำหรับเจ้าด้วยใช่ไหมล่ะ?” ฝางเสี่ยวโหรวถามเสียงเบา

มู่หรงมองไปที่เธอแล้วตอบเสียงเรียบ “บ้านข้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้”

เมื่อได้ฟัง ฝางเสี่ยวโหรวก็เข้าใจผิดในทันที “ข้าเสียใจด้วยนะน้องเล็ก ข้าไม่รู้จริงๆ งั้นต่อไปในคฤหาสน์หลังนี้ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย”

มู่หรงรู้ว่าฝางเสี่ยวโหรวเข้าใจผิดแต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไร

“ถ้าเป็นอย่างนั้นน้องเล็ก เจ้ากลับไปพักเถอะ ข้ามีอย่างอื่นต้องทำ ข้าไปก่อนแล้วกัน”

“ได้”

ฝางเสี่ยวโหรวเดินออกไปนอกประตูแล้วใบหน้าก็เผยรอยยิ้มแสยะออกมาทันที เด็กกำพร้างั้นเหรอ?! แล้วทำไมถึงได้อวดดีกับเธอได้ขนาดนี้ล่ะ? ไม่แปลกในเลยว่าทำไมตลอดเวลานางถึงไม่พูดเรื่องครอบครัวเลย เดาว่าเธอคงจะสวยมากจนเขาต้องพากลับมาด้วย ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ไม่ใช่คู่แข่งของเธอหรอก

ไม่นานหลังจากที่ฝางเสี่ยวโหรวออกไป มู่หรงเสวี่ยก็เดินออกไปเช่นกัน

หวังฉิงคงยังไม่ได้กลับมาเร็วๆนี้แน่ ถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำกับเธอ เธอรู้สึกไม่สบายใจจึงกลับไปที่เรือนหิมะ

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน มู่หรงเสวี่ยก็ยังกินที่เรือนหิมะ จนกระทั่งถึงเวลาค่ำ เวลาประมาณทุ่มในเวลาแบบสมัยใหม่ หวังฉิงก็กลับมา มู่หรงเห็นร่างที่มอมแมมของเขาและดูเหมือนจะเหนื่อยล้ามากด้วยเช่นกัน

“ตั้งโต๊ะได้” ทันทีที่หวังฉิงเดินเข้ามาในเรือนหิมะ เขาก็พูดกับแม่บ้านที่อยู่ข้างหลังเขา

สายตาของมู่หรงเสวี่ยค่อนข้างที่จะเย็นชาและเธอก็นั่งค่อนข้างที่จะห่างจากตำแหน่งของหวังฉิงด้วย เธอยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้

“กินสิ” หลังจากที่แม่บ้านจัดอาหารเรียบร้อย หวังฉิงก็พูดออกมาเสียงเบา

“เจ้ากินเถอะ ข้าไม่หิว ข้ากินไปแล้ว” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา

หวังฉิงไม่ได้บังคับอะไรเธออีกแล้ว เขากินด้วยความเร็ว ถ้าเธอจะพูดอะไรต่อมาอีก แน่นอนว่าเขาไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องเมื่อเช้าเลย

จนกระทั่งหวังฉิงกินเสร็จ มู่หรงก็เพียงแค่พูดออกมาเสียงเบา “เฟิงจือหลิงอยู่ที่ไหน?”

หวังฉิงขมวดคิ้วแต่เพราะเรื่องที่เขาทำกับเธอเมื่อเช้า เขาจึงไม่อยากที่จะเถียงอะไรกับเธออีก “มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเจอเขา”

มู่หรงเสวี่ยผ่อนคลายลงเล็กน้อยและกังวลว่าเขาจะกลับคำอีกจึงรีบเดินตามเขาไปทันที

หวังฉิงหยุดรอเธอแล้วจึงเดินเคียงข้างกันไป

“รู้อะไรไหม? ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้า ข้าก็รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนพิเศษ” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยยิ้มที่มุมปาก เธอจำอะไรไม่ได้เลย เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเธอรู้จักกันได้ยังไง

“ในตอนนั้น เจ้ายืนอยู่ที่ถนนกับเฟิงจือหลิง ร่างกายเจ้าส่องประกายซึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน รวมทั้งข้าด้วย…” น้ำเสียงของหวังฉิงเบาลงซึ่งดูมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำให้ผู้คนหลงเชื่อไปกับคำพูดของเขา

“แล้วไง? เพราะงั้นเจ้าถึงจับตัวข้ามางั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน

ไม่ต้องพูดเลยว่านี่เป็นความรักหรือเปล่า?! ความรักไม่ใช่เรื่องที่เห็นแก่ตัวแบบนี้

“ข้ามักจะได้ในสิ่งที่ข้าต้องการเสมอและข้าก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วย” หวังฉิงเองก็ไม่ได้สนใจคำประชดของเธอและพูดออกมาเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เขานี่มันหน้าไม่อายจริงๆ เธอยอมแพ้ เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ
“งั้นทำไมเจ้าไม่ลองที่รักข้าดูล่ะ เจ้าจะได้รู้สึกกับข้าดีขึ้น” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะอย่างโกรธๆ “เจ้าเคยคิดถึงหัวใจข้าบ้างไหมว่ารู้สึกดีหรือเปล่า?”

“แน่นอนสิ”

“เจ้าอย่ามาเสียเวลากับเรื่องที่เจ้าไม่ได้สนใจจริงๆเลย ข้าไม่ต้องการหรอก” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“เจ้าคิดว่าข้าไม่สนใจเจ้างั้นเหรอ? ทำไมเจ้าไม่ย้ายไปอยู่กับข้าที่โถงหลักล่ะ ที่นั่นมีห้องตั้งมากมาย”

“ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคำพูดที่สวยหรูขององค์ราชา” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน

หวังฉิงหันหัวไปและพูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดกับเจ้าเพียงคนเดียว”

“เก็บคำพูดหวานๆแบบนี้ไว้ให้ภรรยาและเหล่าสนมในบ้านของเจ้าเถอะ ข้าไม่สนใจหรอก”