บทที่ 313 ความโศกเศร้า
“สิ่งที่ฝ่าบาทอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ เจ้าควรที่จะดูแลตัวเอง ไม่งั้นฝ่าบาทก็คงจะเสียใจแน่ๆ” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“กินให้หมดเลยนะ ยังมีอีกเยอะเลย” ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฝางเสี่ยวโหรวพูดจะทำให้เธอรู้สึกอับอายมาก
หวังฉิงกระแอมออกมาเบาๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบมู่หรงเสวี่ยพูดไม่เกินสองคำ มีบางคนรู้สึกไม่พอใจเธอ องค์ชายไม่ได้พูดอะไรกับเธอและสีหน้าของเขาก็เย็นชา
“นางเป็นลูกสาวบ้านไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย?” หวังซิน นางสนมที่อยู่ถัดมาเองก็ถามคำถามเดียวกันซึ่งเสี่ยวโหรวก็อยู่ข้างหน้าเธอด้วย
วัตถุประสงค์ก็ชัดเจนอยู่แล้วคือเพื่อเตือนถึงเรื่องตัวตนของเธอ อย่าคิดใฝ่สูงมากนัก พวกเธอเคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลรวยๆของเมืองหลวงมามาก แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลเล็กๆในหุบเขา
มู่หรงเสวี่ยกินเพียงอาหารของตัวเองและไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้
ยุคโบราณกับยุคสมัยใหม่นี่แตกต่างกันจริงๆ พวกเขามีภรรยาหลายคนและยังมีนางสนมอีกและทุกคนต่างก็อยู่รวมกันอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องพวกนี้ ประเพณีของแต่ละยุคก็แตกต่างกันไป นี่คือความเหนือกว่าของผู้ชายและความด้อยกว่าของผู้หญิง เธอจะคาดหวังให้คนโบราณมาเข้าใจเรื่องผัวเดียวเมียเดียวแบบสมัยใหม่ก็คงไม่ได้
ทุกคนต่างก็มองมาที่มู่เทียน รอฟังคำตอบของเธอ! ทุกคนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังกินอย่างมีความสุขและไม่ได้ตั้งใจที่จะตอบอะไรออกมาเลยด้วย
แม้แต่หวังฉิงก็ทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาเองก็มองไปที่มู่เทียนและพูดออกมา “เจ้าจะไม่ตอบคำถามเวลาที่คนอื่นพูดด้วยหรือไง?”
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมาจากอาหารและแสยะยิ้มออกมา “เขาอยู่ที่ไหน?” ตลกจริงๆ นี่เขาคิดจริงๆเหรอว่าคนอย่างเธอจะเป็นผู้หญิงในฮาเล็มของเขาได้เนี่ย?! เธอไม่รังเกียจที่จะคอยย้ำเตือนเขาหรอก
อย่างที่คิดไว้ สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป “นี่เจ้าทรมานตัวเองและห่วงเขางั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้ทรมานตัวเอง นี่ข้าทำให้เจ้าเป็นห่วงงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน
“ปัง!” หวังฉิงทุบตะเกียบลงกับโต๊ะ
“ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ” ทุกคนรอบๆต่างก็รีบคุกเข่าลง รวมทั้งนางสนมข้างกายก็ไม่เว้น
มีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่ยังนั่งจ้องด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตรงข้ามหวังฉิง
สุดท้ายก็เป็นหวังฉิงเองที่พูดออกมา “ข้าจะพาเจ้าไปเจอเขาพรุ่งนี้”
“ลุกขึ้น”
ในตอนนี้กลุ่มคนไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมาอีกแล้ว
ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินระวังแต่ในใจกลับคิดไปได้มากมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะฝางเสี่ยวโหรว จากการสนทนาระหว่างหวังฉิงและมู่เทียน เธอก็มั่นใจได้อย่างว่ามู่เทียนไม่ใช่สาวที่บริสุทธิ์ในฮาเล็มแห่งนี้
เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้เธอจะได้เจอเฟิงจือหลิง มู่หรงเสวี่ยก็โล่งอกและสีหน้าของเธอก็อ่อนโยนลง
“เจ้าชอบสวนด้านหลังมากเลยงั้นเหรอ?” จู่ๆหวังฉิงก็ถามขึ้นมา
ฝางเสี่ยวโหรวกำตะเกียบแน่นอย่างกังวลและหัวใจของเธอก็เต้นรัว เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจที่เธอไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน มู่เทียนคนนี้สำคัญกับหัวใจของหวังฉิงมากกว่าที่เธอคิดไว้มาก
แม้แต่ในตอนนี้หวังฉิงก็ยังไม่ยอมให้เธอก้าวเข้าไปในสวนเลย
มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก แล้วก็ได้สติกลับมาและเข้าใจว่าหวังฉิงถามอะไร
“ก็ไม่เลว” เธอตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้สนใจความคิดในหัวใจของตัวเอง สวนนั่นก็ดีมากๆเลย วิวสวยมาก
สายตาของหวังฉิงแวบประกายรอยยิ้ม “ถ้าชอบก็พักอยู่ที่นั่นเถอะ”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและไม่ได้คิดอะไรมาก
หัวใจของฝางเสี่ยวโหรวรู้สึกตกใจอย่างมากและความอิจฉาที่แรงกล้าก็พุ่งขึ้นมาทันที
องค์ชายใจดีกับนางมากจนเธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองสั่นคลอน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ข้างองค์ชาย เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นองค์หญิง แต่เมื่อเวลาผ่านมานาน เธอก็เริ่มที่จะมั่นใจแล้วว่าตำแหน่งองค์หญิงจะต้องเป็นของเธอ
แต่ก่อนถึงแม้องค์ชายจะเย็นชาอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็ปฏิบัติกับเธออย่างดี เธอมักจะได้รับความเคารพอย่างที่เธอควรจะได้รับ ในคฤหาสน์ นอกจากองค์ชายแล้ว ก็มีเพียงเธอที่คำพูดมีน้ำหนัก ปกติแล้วองค์ชายจะไม่ค่อยสนใจใคร มีสมาชิกของตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมายที่อยากจะเข้ามาหาองค์ชาย แต่องค์ชายกลับไม่เคยสนใจเลย
ถึงแม้บางคนจะเป็นคู่สมรสที่จักรพรรดิมอบให้ก็ตามและพวกเธอต่างก็พร้อมจะสมรสโดยไม่ต้องถามองค์ชาย
เดิมทีเธอเคยคิดว่าถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตำแหน่งสนมเอกก็จะต้องตกเป็นของเธอแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆจะมีมู่เทียนโผล่เข้ามา แถมยังเป็นคนที่องค์ชายพากลับมาเองด้วยซ้ำ แบบนี้ก็เดาได้เลยว่านางจะมีความสำคัญมากแค่ไหน
ในจังหวะที่ไม่มีใครสนใจดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวก็แวบประกายดุดันขึ้นมาแต่ไม่นานก็จางหายไป
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังฉิงก็เดินกลับไปพร้อมกับมู่เทียน
“ถ้าผู้ชายอย่างเจ้าต้องการผู้หญิง ทำไมเจ้าต้องเป็นข้าด้วย?” มู่หรงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“แต่ผู้หญิงพวกนั้นไม่ใช่เจ้า” หวังฉิงจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาที่หนักแน่นและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ในชีวิตที่แล้ว เธอลองที่จะมีความรักซึ่งทำให้เธอได้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
“ข้าไม่มีวันชอบเจ้า งั้นยอมแพ้ซะเถอะ” มู่หรงพูดอย่างเย็นชาแล้วจึงเร่งเท้าเดินไป ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของเธอถึงแวบกลับไปนึกถึงอดีตอีกครั้ง
ทำให้หัวใจของเธอสั่นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าในช่วงที่เกิดความจำเสื่อมนี่มันเกิดอะไรขึ้นแต่เธอรู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียบางอย่างที่สำคัญอย่างมากไป
หวังฉิงเดินตามเธอมา กลายเป็นคนหนึ่งเดินหนีส่วนอีกคนหนึ่งเดินตาม แสงยามค่ำคืนทำให้เงาของทั้งสองคนซ้อนทับกัน
ที่ห่างออกไปโดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว มีอีกร่างที่ตามมาด้วย คนคนนั้นคือฝางเสี่ยวโหรว เธอไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้เกินไป จึงทำได้เพียงเดินตามจากระยะไกลๆ ส่วนพวกแม่บ้านที่คอยดูแล เธอก็บอกให้พวกนางกลับไปแล้ว
ฝางเสี่ยวโหรวตามไปพร้อมด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว ผู้ชายที่สูงศักดิ์อย่างองค์ชายต้องมาเดินตามผู้หญิงเมื่อไรกัน เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับไปที่ห้อง เธอก็ปิดประตูอย่างไร้มารยาทและกั้นไม่ให้หวังฉิงเข้าไปในห้องด้วย
หวังฉิงยืนเงียบอยู่นาน จนกระทั่งแสงไฟในห้องดับไปแล้วเขาจึงเดินออกไป
ที่กลางบ่อบัว ร่างที่บอบบางของฝางเสี่ยวโหรวกำลังยืนอยู่อย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท” ฝางเสี่ยวโหรวร้องเรียกเขา
“นี่มันก็กลางดึกแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่กลับไปพักอีกล่ะ?” หวังฉิงถามเสียงเบา
“มีบางเรื่องที่ข้าต้องขอคำแนะนำจากท่าน?” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้ม
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หวังฉิงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน พวกเขาเดินกลับไปที่โถงหลังด้วยกัน
“เป็นเรื่องของน้องเล็ก นางเพิ่งเข้ามาที่คฤหาสน์และอาจจะยังไม่คุ้นเคย ข้าอยากที่จะทำให้นางได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้แต่ดูเหมือนนางจะไม่สนใจนามสนมของข้าเท่าไร ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงมาถามท่าน”
หลังจากที่เงียบไป ฝางเสี่ยวโหรวก็พูดต่อ “ถึงแม้ท่านจะไม่สนใจ แต่ก็ควรที่จะสนใจเรื่องตระกูลของผู้หญิงด้วย มันเป็นเรื่องยากที่ตระกูลไร้หัวนอนปลายเท้าจะเข้ามาอยู่ในวัง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฝางเสี่ยวโหรวก็ชำเลืองมองไปที่สีหน้าของหวังฉิงเล็กน้อยและพบว่าสีหน้าของเขาเริ่มที่จะเครียดขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะจริงจัง เมื่อเขาได้ฟัง เขาก็เริ่มที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมานิดหน่อย เขาต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ปกติแล้วนางสนมหลายคนที่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ องค์ชายจะบอกให้เธอตัดสินใจไปตามเหมาะสมได้เลยแต่ตอนนี้เขากำลังคิดอย่างจริงจัง
ถึงแม้เธอจะไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายสนใจผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ
“ทำไมเหรอ?” หวังฉิงไม่ได้ยินเรื่องที่ฝางเสวี่ยโหรวพูด
“ข้าอยากจะให้น้องเล็กมาเป็นนางสนม แบบนั้นคงจะดีกว่า ยังไงซะตำหนักที่สวนด้านหลังก็เกินตำแหน่งของนางไปหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยถามน้องเรื่องตระกูลของนางแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากที่จะบอกเท่าไร ไม่รู้ว่ากังวลเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“นางสนมงั้นเหรอ?” สีหน้าของหวังฉิงครึมขึ้น เธอจะเป็นนางสนมได้ยังไง?
สีหน้าของฝางเสี่ยวโหรวสะดุดและรอยยิ้มของเธอก็จางลงเล็กน้อย นี่องค์ชายอยากจะยกบัลลังก์ให้ผู้หญิงคนนี้จริงๆงั้นเหรอ?
เธอพยายามอดกลั้นและกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ปล่อยมือและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “องค์ชาย อันที่จริงการเป็นนางสนมก็เพื่อประโยชน์ของนางเองด้วยเหมือนกัน”
“เหรอ?” สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและเขาก็จ้องไปที่ดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวมากขึ้นไปอีก
“ท่านทรงอำนาจที่สุดเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในดินแดนแห่งไฟ ท่านไม่รู้หรือไงว่ามีตระกูลขุนนางมากแค่ไหนที่กำลังจ้องในจุดของเราอยู่?! ตัวตนของน้องเล็กก็จะถูกจับตามองมากขึ้น ถ้านางได้เป็นพระสนมของว่าที่จักรพรรดิ ทุกคนก็จะต้องเล็งมาที่น้องเล็ก ใช่ไหมคะ?”
“ใครมันจะกล้า?”
“ข้าเชื่อว่าท่านจะปกป้องนางได้แต่ผู้คนก็จะไม่ลืมเรื่องนี้หรอก ใช่ไหมเจ้าคะ?! ข้าคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ข้าเกรงว่าน้องเล็กอาจจะไม่คุ้นเคย ยังไงนางก็ยังใหม่กับที่นี่อยู่” ฝางเสี่ยวโหรวพูดอีกครั้งอย่างเนียนๆ
หวังฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดพวกนี้เลย
“ข้าจะเอาไปคิดดูนะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเสี่ยวโหรว”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ฝ่าบาทนี่ก็ดึกมากแล้ว รักษาสุขภาพแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำดีกว่านะเจ้าคะ?” ฝางเสี่ยวโหรวมองพร้อมสายตาที่คาดหวังและสีหน้าของเธอก็แดงระเรื่อ
“มันก็ดึกมากแล้วจริงๆ กลับไปพักเถอะ” แล้วเขาก็หันหลังและเดินไปอีกทาง เหลือไว้เพียงใบหน้าเล็กที่ยังยืนอยู่จุดเดิม
เธออุตส่าห์แบกหน้าตามองค์ชายมาถึงที่นี่ แต่องค์ชายกลับทิ้งเธอไว้และปฏิเสธที่ค้างกับเธอ
เธอแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าทั้งผืน หลังจากเวลาผ่านไปนาน เธอก็หันกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่เทียน, มู่เทียน จะโผล่หน้ามาทำไมเนี่ย
อันที่จริงจู่ๆหวังฉิงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณฝางเสี่ยวโหรวที่เตือนเรื่องนี้กับเขา
มู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมาก เขาจะต้องให้คนไปสร้างตัวตนให้เธอโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นเธอคงจะผ่านด้านท่านพ่อไปไม่ได้แน่ๆ
เมื่อคิดถึงคำพูดของมู่เทียนวันนี้ เขาก็รู้สึกชัดเจนอย่างมาก มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องพาผู้หญิงแบบนี้กลับมาแล้วปิดกั้นเขาขนาดนี้ เขารู้สึกเศร้ามากกว่าการที่ไม่ได้เจอเธออีก
การที่ได้เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
การไม่เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
นี่เป็นดั่งยาพิษ แต่จะทำยังไงได้ เขาไม่ต้องการยารักษาเลยสักนิด
หวังฉิงนวดขมับที่กำลังปวด นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ในตอนนี้นี้ มู่หรงล็อกประตูแล้วและเข้าไปที่มิติลับ และเป็นอีกครั้งที่เธอลากเจ้าลูกบอลสีขาวออกมาถาม เธอจะต้องรู้ว่าตัวเองมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่า?
เสวี่ยไป๋ปฏิเสธทันที อันที่จริงเสี่ยวไป๋ไม่เคยได้ยินมู่หรงเสวี่ยพูดถึงคนรักเลย แต่เฟิงจือหลิงเคยได้ยินเรื่องนี้
มู่หรงรู้สึกทรมานและหัวใจก็โศกเศร้าไปพร้อมๆกันด้วย