บทที่ 312
พระราชวังขององค์ชายแห่งไฟ
“ข้าจะฆ่าเจ้าได้ยังไงในเมื่อข้าอยากให้เจ้าเป็นองค์หญิงของข้า?” หวังฉิงยิ้ม
ร่างของมู่หรงเสวี่ยสั่นเล็กน้อย จู่ๆหัวใจก็รู้สึกราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆแล้วก็จางหายไป เธอไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ มันก็แค่ความรู้สึกคลุมเครือว่าเหมือนจะมีใครที่รอเธออยู่ เพียงแค่นี้ก็ทำให้เธอใจสั่นแล้ว
“เป็นอะไรงั้นเหรอ?” หวังฉิงถาม
มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสีหน้าสับสนและสุดท้ายก็ไม่พูดอะไร
สองสามวันที่ผ่านมา ตลอดทางไม่ว่าหลังฉิงจะพูดอะไร มู่หรงเสวี่ยก็จะเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้สนใจเรื่องที่กำลังพูด
ในคืนที่สองก่อนที่จะรุ่งสาง มู่หรงก็ถูกดึงขึ้นรถ
อันที่จริงหวังฉิงก็แค่ต้องการที่จะใช้เธอเป็นตัวประกันไม่ให้ผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉินขวางพวกเขาในการออกจากเมืองก็เท่านั้น อันที่จริงเขาก็กังวลมากเกินไปเพราะการออกจากประตูเป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูของเมืองหวังฉิงก็รู้สึกโล่งอก
มู่หรงมองออกไปนอกรถ ระยะทางก็ยิ่งห่างออกมาดินแดนเฮ่ยเฉินมาเรื่อยๆ
ในหัวใจเธอรู้สึกไม่สบายใจเลย เธอรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หวังฉิงดูเหมือนจะไม่มีเวลาเพื่อมาสนใจเธอเลย บางครั้งเขาจะมาคุยกับเธอก็แค่ช่วงอาหารเย็นเท่านั้น ในวันปกติเขาแทบจะหายไปเลย มีเรื่องอะไรให้ต้องยุ่งขนาดนี้น่ะ?!
มู่หรงเสวี่ยอดที่จะกังวลไม่ได้
สถานการณ์ของทั้งสามดินแดนตึงเครียดมาก ตอนนี้ถ้าเธอเข้าร่วมกับดินแดนเฮ่ยเฉิน โลกก็คงจะต้องวุ่นวายแน่ๆ และจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับประชาชน เธอหวังว่าหลินหยางจะจัดการเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้เร็วที่สุด
โชคดีที่ก่อนที่เธอจะถูกจับตัวกลับมา เธอได้แก้ไขปัญหากับทุกคนในห้องวิจัยไปมากมายแล้ว ตราบใดที่โลกของเธอสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่น่าที่จะเป็นปัญหาใหญ่อะไร
หนึ่งเดือนต่อมา
มู่หรงไม่รู้สึกถึงก้นของตัวเองอีกแล้ว
ในยุคที่ล้าหลังแบบนี้ ต้องใช้เวลาทั้งเดือนกว่าที่จะเดินทางไปถึงอีกดินแดน และถนนก็ขรุขระสุดๆ ร่างทั้งร่างของ มู่หรงเสวี่ยเหมือนจะแหลกสลาย
การนั่งอยู่ในรถม้า มู่หรงเสวี่ยสามารถที่จะได้ยินเสียงโห่ร้องจากด้านนอกได้เลย เธอเปิดมุมของม่านด้วยความสงสัยและเห็นผู้คนมากมายยืนรวมกันอยู่ทั้งสองฝั่งของถนน ดูเหมือนจะกำลังต้อนรับการกลับมาของพวกเธออยู่
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต้นรัว ไม่คิดว่าหวังฉิงที่ท่าทางเย็นชาแบบนี้แต่กลับโด่งดังขนาดนี้ในดินแดนของตัวเอง
หวังฉิงนั่งอยู่เบื้องหน้าเธอ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแต่พยักหน้าให้ประชาชนทั้งสองฝั่งเป็นบางครั้งและทำให้เหล่าประชาชนตื่นเต้นได้อีกครั้ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็มาหยุดที่หน้าคฤหาสน์
“ยินดีต้อนรับฝ่าบาท” มีเสียงสุภาพตะโกนดังออกมา
“ลุกขึ้น” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ
เมื่อหวังฉิงลงจากรถก็มีผู้หญิงมากมายเข้ามาล้อมรอบเขาทันที หวังฉิงโบกมือ “อย่าเกะกะ ถอยไปให้ห่างเลย” แล้วเขาก็หันหลังและเดินไปที่รถม้าของมู่หรงและเปิดม่านขึ้น
“เราถึงแล้ว มู่เทียน ลงมาจากรถได้แล้ว” น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนมากกว่าเมื่อกี้มาก
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่สิ่งแปลกตามากมายที่อยู่เบื้องหน้า ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเลี่ยงหลบมือที่ยื่นออกมาของหวังฉิงพร้อมทั้งกระโดดลงมาจากรถทันที
หวังฉิงไม่ได้โกรธ แต่กลับดึงมือตัวเองกลับมาไว้ที่ด้านหลัง
หวังฉิงไม่ได้สนใจแต่มีคนมากมายที่สนใจเรื่องนี้ อย่างเช่นเหล่านางสนมมากมายที่พยายามจะเข้ามายืนข้างกายเขา
ไม่ว่าหัวใจของพวกเธอจะสั่นรัวมากแค่ไหนแต่ก็ยังคงยิ้มราวกับดอกไม้งามอยู่
ฝาง เสี่ยวโหรว หัวหน้านางสนมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหวานราวนกกระจิบสีเหลือง “ฝ่าบาท นี่ก็ผ่านไปนานมากเลยนะเจ้าคะ นางสนมและข้าเตรียมน้ำอาบอุ่นๆไว้ให้ท่านแล้ว เข้าไปอาบน้ำก่อนเถอะนะเจ้าคะ และโต๊ะอาหารก็เตรียมไว้ที่โถงเรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนแม่นางคนนี้ ข้าจะดูแลนางอย่างดี เชิญพักผ่อนให้สบายใจได้เลยนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงของฝางเสี่ยวโหรวไม่เพียงแค่น่าฟังแต่ยังอ่อนโยนด้วย สายตาที่มองมาที่มู่หรงเสวี่ยดูอ่อนโยนราวกับกำลังมองน้องสาวตัวเองจริงๆ
คิ้วที่ขมวดอยู่ของหวังฉิงคลายลงเล็กน้อยทันที ฝางเสี่ยวโหรวคือคนที่ทำให้เขาอุ่นใจได้มากที่สุด เขาพยักหน้าอย่างอ่อนโยนและพูดออกมาว่า “ฝากด้วยนะ”
แล้วเขาก็หันมาหามู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “ถ้ามีอะไรก็ถามจากเสี่ยวโหรวได้เลยนะ ข้าจะมาหาเจอตอนอาหารค่ำนะ”
มู่หรงไม่สนใจเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ นี่แหละจังหวะอิสระของเธอ เธอจะต้องรีบไปเจอเฟิงจือหลิงให้เร็วที่สุด เป็นแผนที่ดีที่จะหนี
หลังจากที่หวังฉิงไป ฝางเสี่ยวโหรวก็พูดกับทุกคนที่ยังยืนอยู่ในบ้าน “ทุกคนถอยไปได้แล้วแล้วไปทำหน้าที่ตัวเอง นายท่านเพิ่งจะกลับมาก็คงจะเหนื่อยเกินไป” คำสุดท้ายพูดกับนางสนมของหวังฉิง
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง” เหล่านางสนมที่อยู่อีกฝั่งทำความเคารพอย่างนอบน้อมและค่อยๆถอยหลังไป
มีเพียงสนมไม่กี่คนเท่านั้นที่ชายตามองมาที่ใบหน้าที่สวยงามของมู่หรง เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในคฤหาสน์ พวกนางจึงไม่ค่อยพอใจเท่าไร ปกติองค์ชายก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีนางสนมมากมายอะไร เพราะมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น
แต่องค์ชายก็ไม่ได้หลงใหลเรื่องความสวยงามเท่าไร ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่เคยค้างที่ห้องของพวกนางเลย ในเมื่อตอนนี้มีผู้หญิงสวยอย่างมู่หรงเข้ามาอีก ยิ่งทำให้พวกนางเริ่มที่จะกังวลขึ้นมานิดหน่อย
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ฝางเสี่ยวโหรวก็หันกลับมาและถามมู่หรงเสวี่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน “เจ้าช่างสวยเหลือเกินไม่แปลกในเลยว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้เป็นห่วงขนาดนี้ เจ้าชื่ออะไรงั้นเหรอ? เป็นลูกสาวของใครกัน?”
“ข้าชื่อมู่เทียน” เธอตอบออกไปอย่างไม่สนใจไยดีเท่าไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากที่จะพูดแต่ก็คงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้หรอก อีกอย่างเธอกับหวังฉิงก็ไม่ได้เป็นมิตรกันเท่าไรและเธอก็ไม่ได้อยากที่จะสนิทกับคนที่อยู่รอบๆตัวหวังฉิงมากเท่าไร
ใบหน้าของฝางเสี่ยวโหรวที่ยิ้มอยู่สะดุดไปชั่วขณะ “เจ้าน่าจะเหนื่อย ข้าผิดเองที่มัวถามอะไรมากมาย เข้าไปพักในคฤหาสน์ก่อนดีกว่านะ”
เธอเดินนำมู่หรงเข้าไปในคฤหาสน์ตลอดทางและตลอดทางเธอก็จะคอยแนะนำสิ่งต่างๆมากมายในบ้านให้มู่หรงรู้
มู่หรงเสวี่ยยังคงมีท่าทางไม่กระตือรือร้นเท่าไรเพราะสถานะของเธอในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะยุ่งกับคนของหวังฉิงมากเท่าไร
หลังจากที่เดินอยู่นาน เธอก็มาถึงสวนด้านหลังที่สวยงาม
“เจ้าจะได้พักอยู่ที่นี่นะ ข้าบอกให้แม่บ้านเข้ามาเปลี่ยนข้าวของให้ใหม่แล้ว ถ้ายังขาดอะไรก็บอกข้าได้เลยนะแล้วข้าจะให้แม่บ้านเตรียมมาให้” ฝางเสี่ยวโหรวพามู่หรงเข้าไปในบ้านและพูดออกมา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจว่าตัวเองจะได้อยู่ที่ไหนเพราะเธอจะไม่อยู่ที่นี่นาน
“เจ้ามีน้ำใจมากเลย ข้าไม่รบกวนแล้วดีกว่า พักผ่อนเถอะนะ ข้าจะบอกให้แม่บ้านมาพาเจ้าไปที่โถงหลักตอนอาคารค่ำนะ” ฝางเสี่ยวโหรวบอก
“ได้”
หลังจากที่ฝางเสี่ยวโหรวเดินออกประตูไป สีหน้าของเธอก็กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันทีและประกายโหดเหี้ยมก็แวบขึ้นมาในสายตา
หลังจากนั้นประมาณชั่วโมง หวังฉิงก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่จัดการเรื่องที่เร่งด่วนเสร็จ เขาก็อยากที่จะเจอมู่เทียน ยังไงซะมู่เทียนก็เพิ่งมาแปลกที่และเขาก็เป็นห่วงว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับที่นี่เท่าไร
เพียงแค่เดินออกมาจากประตู เขาก็เห็นนางสนมฝางเสี่ยวโหรวที่เพิ่งจะเดินมา “ฝ่าบาท จัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วค่ะ”
“นางเป็นไงบ้าง?” หวังฉิงถาม
“นางพักอยู่ที่เรือนหิมะค่ะ”
“ใครบอกให้นางไปอยู่ที่นั่น?” หวังฉิงรู้สึกโกรธขึ้นมานิดหน่อย
“นายท่าน ได้โปรดใจเย็นก่อน เป็นนางเองที่บอกว่าสวนด้านหลังสวยมาก นางชอบมันอย่างมากก็เลย…” ฝางเสี่ยวโหรวนั่งลงยองๆและกัดริมฝีปากพร้อมด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปและหลังจากนั้นสักพัก เขาก็สงบอีกครั้ง “ไปกินข้าวที่โถงหลักกันก่อนเถอะ มีใครไปบอกนางหรือยัง?”
ตอนนี้สีหน้าของฝากเสี่ยวโหรวเปลี่ยนไป เธอก้มหัวลงเพื่อไม่ให้หวังฉิงได้เห็น
มือของเธอกำผ้าเช็ดหน้าแน่นรู้สึกประหลาดใจ องค์ราชาไม่ว่าอะไรเลยได้ยังไง? แต่ก่อนไม่ต้องพูดถึงเรื่องก้าวเท้าเข้าไปในสวนเลย แม้แต่ข้าวของข้างในก็ห้ามไม่ให้แตะต้อง ก่อนหน้านี้มีคนงานคนใหม่ที่ไม่รู้ถึงความน่ากลัวขององค์ราชา บังเอิญเดินเข้าไปในเรือนหิมะและฝ่าบาทมาเห็นเข้า องค์ราชาโกรธขึ้นมาทันทีและเฆี่ยนคนงานไปเป็นร้อยครั้งจนแทบจะไม่รอดชีวิต ตั้งแต่นั้นมาทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็จะรู้ดีว่าเรือนหิมะเป็นพื่นที่ห่วงห้ามขององค์ราชาและเป็นพื้นที่ที่คนอื่นห้ามก้าวเข้าไปเด็ดขาด
เธอเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน พูดกันว่าที่นั่นเคยเป็นสถานที่โปรดของท่านแม่ของหวังฉิง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อสิบปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นและมันก็ยังเป็นปริศนาอยู่ ถึงแม้ฝ่าบาทจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะกระตุกหนวดเสือและเธอก็ยังไม่อยากที่จะตายด้วย
มู่หรงเดินมาโถงหลักพร้อมแม่บ้าน หวังฉิงและคนอื่นๆนั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะแล้ว
เธอมองไปที่โต๊ะสำรับที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไร้ซึ่งคำพูด และที่โต๊ะก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หวังฉิงโบกมือให้มู่เทียน “มาสิ มานั่งข้างๆข้า”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว ราวกับว่าที่นั่งถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ฝางเสี่ยวโหรวนั่งอยู่ที่ด้านซ้ายของหวังฉิง ส่วนที่นั่งอื่นๆที่อยู่ท้ายโต๊ะต่างก็เต็มไปเรียบร้อยแล้ว เหลือไว้เพียงที่เดียวคือข้างๆหวังฉิง
มู่หรงเดินไปและนั่งลงเงียบๆ
“นางมัวทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ฝ่าบาทนั่งรอตั้งนาน” นางสนมคนอื่นๆที่นั่งอยู่ถัดออกไปพูดเสียงเบา
“ข้าเดาว่านางอาจจะเพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์และอาจจะไม่เข้าใจเรื่องกฎของคฤหาสน์ก็ได้”
“เป็นผู้หญิงแบบไหนกันเนี่ย? แม่นางไม่สั่งสอนหรือไงกัน”
“…”
ฝางเสี่ยวโหรวกระแอมออกมาเบาๆ “นางเพิ่งจะมาถึงวันนี้ พวกเจ้าอย่าใจร้ายหน่อยเลย เดี่ยวจะทำให้นางกลัวเปล่าๆ” ทันทีที่คนอื่นเริ่มพูด เธอก็หันมาสนใจที่สีหน้าของหวังฉิง เมื่อเธอเห็นว่าสีหน้าของเขาเคร่งเครียด เธอจึงรีบเปิดปากและพูดออกมาทันที
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฝางเสี่ยวโหรว สีหน้าของหวังฉิงก็อ่อนลงเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยนิ่งเฉย แน่นอนว่าเธอรู้ว่าคนพวกนี้กำลังพูดถึงเธออยู่ แต่แล้วไงล่ะ? เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือคันอะไรจากการที่ฟังคนอื่นพูดแค่ไม่กี่ประโยคหรอก ยังไงเธอก็ไม่ใช่คนของห้วงเวลานี้อยู่แล้ว งั้นทำไมเธอจะต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วสนใจสิ่งที่พวกเขาพูดถึงเธอด้วย
“เจ้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว กินเยอะๆล่ะ อาหารข้างทางไม่ค่อยอร่อยเท่าไร น่าเสียดายแทนเจ้า” หวังฉิงกระซิบกับมู่เทียน
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกขนลุก หวังฉิงกลายเป็นคนที่อ่อนโยนกับเธอมากขึ้นไปอีกแต่เธอชอบที่เขาเป็นอีกแบบมากกว่า