กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1030
“กินสิ”
กู้ชูหน่วนโยนซาวปิ่งให้เขาหนึ่งชิ้น
อี้หยุนเฟยรับมาและค่อยๆ กินเข้าไปด้วยสีหน้าที่มีความสุข
เขาหิวมาก ทว่าท่าทางการกินของเขายังคงมีความงดงามและง่างาม
“ผลไม้นี้หวานมากเลยนะ เจ้าลองชิมดูสิ”
“ขอบใจ”
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มเป็นครั้งคราวในขณะที่กำลังกินซาวปิ่ง ซึ่งดูแล้วอบอุ่นอย่างมาก
นัยน์ตาของอี้หยุนเฟยจับจ้องไปที่วงแหวนอวกาศในมือของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แหวนวงนี้สวยงามมาก ข้าขอดูได้ไหม?”
“ได้สิ”
เมื่อเห็นว่าอี้หยุนเฟยอดใจไม่ได้ที่จะได้สัมผัส นางก็คิดจะถอดวงแหวนอวกาศออกมา
กู้ชูหน่วนไม่อยากบอกเขาว่าหากนางไม่เต็มใจที่จะถอดออกจะไม่สามารถถอดวงแหวนอวกาศออกมาได้
ก่อนหน้านี้เหวินเส่าอี๋ก็พยายามฝืนจะถอดออก แต่น่าเสียดายที่เขาทำไม่สำเร็จ
ทว่ากู้ชูหน่วนกลับคิดไม่ถึงว่าอี้หยุนเฟยกลับทำให้นางถอดแหวนวงนี้ออกมาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
“สวยงามมากเลย รู้สึกเหมือนเคยเห็นมันมาก่อนเลย”
“เจ้าเคยเห็นแหวนวงนี้หรือ?”
“ไม่ แค่รู้สึกว่ามันมีความพิเศษมาก น้องสาว ในวงแหวนยังมีอะไรอร่อยอีกไหม เอาออกมาให้หมดเลยสิ”
“เรียกข้าว่าพี่”
“น้องสาว”
“เจ้าอายุเท่าไร?”
“แก่กว่าเจ้านิดหน่อย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอายุเท่าไร?”
อี้หยุนเฟยกัดผลไม้เข้าไปพร้อมกับจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วน “ให้เวลาข้าหนึ่งปี อีกหนึ่งปีข้าจะขอเจ้าแต่งงาน”
“เหตุใดต้องรอถึงหนึ่งปี?”
“อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีกว่าอาการป่วยของข้าจะหาย เจ้า…..เหตุใดเจ้าไม่ถามว่าข้าป่วยเป็นโรคอะไร?”
“เจ้ามีวิธีรักษาตัวเองให้หายอย่างนั้นหรือ?”
“มี”
“ในเมื่อรักษาให้หายได้ เช่นนั้นข้าจะถามทำไมมากมาย”
“ผลไม้นี้ข้าถือเป็นสินสอดมอบให้เจ้าก่อน เจ้าต้องรอข้านะ”
“ตุ่บ…..”
กู้ชูหน่วนยังไม่ทันตอบรับ ผลไม้นั้นก็ถูกโยนออกไปและแตกเป็นเสี่ยงๆ
พลังที่แข็งแกร่งเข้ามากดทับ
ทั้งสองมองไปข้างหน้า
จากนั้นก็เห็นเยี่ยจิ่งหานในชุดสีฟ้ากำลังนั่งอยู่บนรถเข็น
สีหน้าที่งดงามและท่าทางที่สง่างามไม่มีที่ติ
มีทั้งดีใจ ตื่นเต้น มีความสุข เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉาและตกใจ……เสมือนสีสันของโรงย้อมผ้าที่มีความหลากหลาย
ในชั่ววินาทีกลับไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรของเขาอยู่
อี้หยุนเฟยถาม “เจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องโยนผลไม้ขงอข้าด้วย?”
เยี่ยจิ่งหานชำเลืองมองไปที่อี้หยุนเฟยและไม่แยแสต่อเขา จากนั้นแววตาของเขาก็จ้องมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความเย็นชา
เขามีคำพูดเป็นหมื่นเป็นล้านคำ ทว่ากลับพูดไม่ออก
กู้ชูหน่วนจับใบหน้าของตัวเองและรู้สึกหวาดกลัวกับการแสดงออกของเขาอย่างประหลาดใจ
“เจ้าต้องการเลือดก็ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่? ข้าบอกแล้วไงว่าข้ามีวิธีค้นหาตำแหน่งดวงวิญญาณของนาง”
“อาหน่วน……”
ซี๊ด……
จากนั้นเขาก็เข้ามากอดรัดกู้ชูหน่วนอย่างรวดเร็วโดยที่นางยังไม่ทันตั้งตัว
ระยะห่างที่ชิดใกล้ ทำให้นางรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของเขา
เขากอดนางเอาไว้ราวกับกำลังกอดสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีค่ามากที่สุด มีทั้งความกลัว ความกังวล ความลังเล ความสูญเสียและมีความสุขที่ได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา
“อาหน่วน……อาหน่วน…..”
เพราะกอดแน่นเกินไป ทำให้กู้ชูหน่วนหน้าแดงก่ำเพราะแทบหายใจไม่ออก
อี้หยุนเฟยรีบวิ่งเข้าไปและพยายามผลักเยี่ยจิ่งหานออกไป
“เจ้ามาจากไหน เหตุใดถึงกอดว่าที่ภรรยาของข้าเช่นนี้ ปล่อยนางเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้เจ้าปล่อยนางไม่ได้ยินหรือ”
“นี่ นายคนพิการ ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่าให้รีบปล่อยว่าที่ภรรยาของข้าเดี๋ยวนี้”
“ตุ่บ…..”
คำว่านายคนพิการทำให้ร่างกายของอี้หยุนเฟยถูกต่อยกระเด็นออกไป
หากเขาไม่ออมแรง เกรงว่าตอนนี้อี้หยุนเฟยคงอาการสาหัสแน่นอน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ทำให้เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดและเป็นเวลานานกว่าจะลุกขึ้นมาได้
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร? ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ เจ้ากอดจนข้าหายใจไม่ออกแล้ว”
น้ำเสียงของกู้ชูหน่วนร้อนใจและหน้าแดงก่ำทำให้เยี่ยจิ่งหานนึกขึ้นได้ จากนั้นจึงรีบปล่อยมือออกเล็กน้อย ทว่าเขายังคงกอดนางไว้อยู่
“อาหน่วน…..”
“หน่วนอะไรของเจ้า เจ้าเกือบทำให้ข้าต้องตายรู้ไหม เยี่ยจิ่งหาน ข้าจะบอกอะไรให้นะ ถ้าข้าตายไปเจ้าก็อย่าคิดจะได้เลือดของข้าไปแม้แต่หยดเดียว และชีวิตนี้เจ้าก็อย่าคิดจะได้ตัวภรรยาของเจ้ากลับคืนมาอีก”
เมื่อคำนี้พูดออกไปทำให้เยี่ยจิ่งหานนตื่นขึ้น
เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าไม่ต้องการเลือดของเจ้าแล้ว”
บู้ม……
กู้ชูหน่วนรู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย
เขา…..
เขาหัวเราะ?
นางตาฝาดไปหรือไม่? เยี่ยจิ่งหานหัวเราะได้ด้วยหรือ?
หัวเราะได้น่าพิศวาสอย่างมาก
และ……
เหตุใดเขาถึงไม่ต้องการเลือดของนางแล้ว?
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ไม่ต้องการเลือดของข้าแล้ว? เช่นนั้นเจ้าจะตามหาภรรยาของเจ้าเจอได้อย่างไร?”
“ขอโทษด้วย ต่อไปข้าจะคอยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
กู้ชูหน่วนถอยหลังออกไปและรีบประคองอี้หยุนเฟย พร้อมกับตะโกนเรียกฝูกวงและลั่วอิ่งให้พาพวกนางออกไปจากที่นั่น
ผู้ชายคนนี้คิดถึงภรรยาของตัวเองจนเสียสติไปแล้ว
เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรีบหนีไปให้ห่างจากผู้ชายเสียสติคนนี้ให้เร็วที่สุด
“น้องสาว นายคนพิการคนนั้นคือใครหรือ? เหตุใดเขาถึงมีแรงมหาศาลเช่นนั้น ข้าต้องหาทางคิดบัญชีกับเขา”
“รีบไปกันเถอะ จะมัวไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนพิการทำไมกัน”
เมื่อพูดจบกู้ชูหน่วนก็รีบเอามือปิดปาก
เยี่ยจิ่งหานเกลียดคนที่เรียกเขาว่าคนพิการยิ่งกว่าอะไรดี
นางคิดว่าเยี่ยจิ่งหานจะโกรธและอาจลงมือทำร้ายขึ้นมา ทำให้นางเตรียมคิดจะหลบ
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยจิ่งหานกลับไม่ขยับและไม่คิดจะทำอะไรพวกนางเลยสักนิด แต่กลับจ้องมองนางด้วยความรักใคร่
การแสดงออกวันนี้…..
ค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างมาก……
กู้ชูหน่วนรีบจูงมืออี้หยุนเฟยออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ภายในถ้ำ
เจี้ยงเสวี่ยที่คอยเฝ้าดูแลเยี่ยจิ่งหานได้ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “นายท่าน เหตุใดถึงไม่อธิบายให้นายหญิงทราบหรือขอรับ?”
เยี่ยจิ่งหานยิ้มและมองไปยังแผ่นหลังของนางที่วิ่งหนีออกไปโดยไม่ละสายตา จากนั้นก็กล่าวด้วยความอารมณ์ดี “ในเมื่อรวบรวมดวงวิญญาณไม่ครบและนางก็ลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว อธิบายไปตอนนี้นางอาจไม่เชื่อก็ได้ รอให้รวบรวมดวงวิญญาณครบแล้วค่อยอธิบายกับนางก็ยังไม่สาย”
ยังมีเผ่าเพลิงฟ้า
กองกำลังของเผ่าเพลิงฟ้าในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้มีจำนวนมาก
หากพวกเขารู้ว่ามู่หน่วนก็คืออาหน่วน พวกเขาจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดอาหน่วนอย่างแน่นอน
เขาโง่มาก เขาควรจะนึกได้ตั้งนานแล้วว่านางก็คืออาหน่วน
หากนางไม่ใช่อาหน่วน เหตุใดถึงเหมือนกับอาหน่วนทุกการกระทำขนาดนั้น
ภรรยาของเขาก็อยู่ข้างกายเขามาตลอด เขาไม่เพียงไม่รู้แต่กลับคอยหาเรื่องให้นางต้องลำบากใจอยู่เสมอ
เมื่อนึกถึงอดีตที่มักคอยทำให้นางเสียใจและเจ็บปวด
เมื่อนึกถึงไม่กี่วันก่อนที่ให้นางปล่อยเลือดออกมาจำนวนมากขนาดนั้น
ทำให้รอยยิ้มของเยี่ยจิ่งหานหายไปและรู้สึกสงสารจนตบหน้าของตัวเอง
“นายท่าน แล้วตอนนี้ เหลือเพียงดวงวิญญาณดวงเดียว รอให้รวบรวมดวงวิญญาณดวงสุดท้ายได้ นายหญิงก็จะกลับมาแล้ว”
“ใช่ เหลือเพียงดวงวิญญาณดวงสุดท้ายเท่านั้น ออกคำสั่งไปว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาดวงวิญญาณดวงสุดท้ายให้เจอ พยายามขยายพื้นที่และค้นหาต่อไป โดยเฉพาะบริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวง”
“ขอรับ”
“อ้อใช่ ห้ามบอกใครเรื่องที่มู่หน่วนคืออาหน่วนเด็ดขาด โดยเฉพาะเหวินเส่าอี๋”
“ข้าน้อยทราบขอรับ ข้าน้อยจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
เยี่ยจิ่งหานหมุนแหวนหยกในมือด้วยความอารมณ์ดี และความเศร้าโศกมาหลายปีก็มลายหายไปทันที