“อย่าขยับ!”
อวี้เฟยเยียนใช้มือปัดผมเขาขึ้น แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ลึกซึ้งของเขา
ไม่ใช่คอนแทคเลนส์!
นี่เป็นดวงตาสีม่วงพวงองุ่นแต่กำเนิดหรือนี่!
สีม่วงที่ใสแจ๋วบริสุทธิ์ สวยงามจริงๆ!
เจ๋งชะมัดเลย!
“รวยแล้ว มีทางรวยแล้ว”
อวี้เฟยเยียนกระโดดเข้ากอดซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความดีใจสุดขีด ทั้งยังหอมแก้มเขาซ้ายทีขวาที
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านหล่อปานนี้ ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่แรก!”
ปฏิกิริยาของอวี้เฟยเยียนเหนือความคาดหมายของซย่าโหวฉิงเทียนไปมาก
ไม่ถูกสิ!
ไม่ถูกเอามากๆ เสียด้วย!
นางควรจะกรีดร้องเสียงดังว่า ‘ปีศาจ’ หลังจากนั้นก็ตกใจแล้ววิ่งหนีไปหรือว่าร้องแรกแหกกะเชิงเสียงดังสนั่นพร้อมกับร้องไห้หรือไม่ก็หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกมิใช่หรือ
เฉกเช่นเดียวกับหนานกงจื่อหลิงที่เมื่อได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ก็ตกใจหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดจา
เห็นอวี้เฟยเยียนที่ไม่เพียงไม่หวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับทำท่ารักเขาสุดชีวิตเสียนี่
รสนิยมของนางนี้ ปกติจริงๆ ใช่หรือไม่
“เจ้าไม่กลัวพี่ ไม่รู้สึกว่าพี่เป็นปีศาจหรอกหรือ”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถามขึ้น
“ใครว่าเล่า ท่านหล่อเหลาเสียขนาดนี้ ขนาดบนสวรรค์ยังมีน้อยเลยนะ ฉะนั้นบนโลกมนุษย์นี่ถึงหาได้ยากยิ่งอย่างไรเล่า ใครรสนิยมแย่ บอกมาเลย เดี๋ยวข้าไปช่วยจัดการเอง!”
ได้เห็นรูปลักษณ์ซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็พอจะรู้แล้วว่าเสียงละเมอมาที่ว่า ‘ปีศาจ’ในขณะที่เขากำลังฝันร้ายนนั้น หมายความว่าอย่างไร
คนในยุคสมัยนี้ผู้คนล้วนแต่ตาดำผมดำ
แล้วรูปลักษณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมถูกเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นปีศาจ!
มิน่าเล่ามารดาเขาถึงได้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น!
อวี้เฟยเยียนแสดงออกเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะว่านางชื่นชอบในเส้นผมสีเงินกับดวงตาสีม่วงของซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆ ซึ่งมันเป็นตัวแทนของหนุ่มหล่อขั้นเทพในอนิเมะที่นางจินตนาการเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว อีกด้านหนึ่งเพราะนางต้องการใช้โอกาสนี้แก้ปมที่อยู่ในใจเขาให้คลายออก
“แมวน้อย เจ้าไม่รังเกียจ ไม่หวาดกลัวพี่”
“คนโง่!”
อวี้เฟยเยียนใช้การกระทำแสดงถึงความจริงใจของตนเอง
นางโอบกอดซย่าโหวฉิงเทียน แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นงับที่ปลายคางของเขา
“ห้ามท่านพูดถึงตัวเองเช่นนี้อีก ข้าชอบที่ท่านเป็นแบบนี้ ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านหล่อขั้นเทพโดยแท้!”
ถูกเรียกว่าเป็น ‘ปีศาจ’ มาตั้งหลายปี จู่ๆ ก็ถูกคนรักเรียกว่าเป็น ‘เทพ’ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตกใจอยู่ไม่น้อย
ขอเพียงแต่ นางชอบก็พอแล้ว!
ข้ามผ่านด่านในใจที่ยากที่สุดมาได้ ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ปลอดโปร่งโล่งใจแล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของตนเอง
บิดาอัปมงคล มารดาแต่งงานซ้ำสอง
เพราะรูปโฉมที่แปลกประหลาดแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าปีศาจน้อย ทั้งยังถูกแม่บังเกิดเกล้ารังเกียจเดียดฉันท์ ถึงขั้นที่ว่าสั่งคนไปสังหารให้ตายขณะมีอายุเพียงสามขวบ…
น้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนราบเรียบเย็นชา แต่ทว่าหัวใจอวี้เฟยเยียนกลับบีบรัดแน่น
“ต่อมา พี่มาต้องมาอยู่ที่อาณาจักรฉินจื้อ ในฐานะตัวประกันของต้าโจว นับตั้งแต่นั้นพี่ก็คือซย่าโหวฉิงเทียน!”
คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนบอกเล่าทุกอย่างให้นางได้รู้โดยไม่มีปิดบัง
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลหนานกง หรือว่าความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกของเขากับซย่าโหวจวินอวี่ ล้วนแต่เล่าให้อวี้เฟยเยียนฟังทั้งหมด
“ท่านบอกว่าหนานกงจื่อหลิงคือน้องสาวแม่เดียวกันแต่คนละพ่อกับท่าน”
“ใช่!”
ทันใดนั้นอวี้เฟยเยียนก็มุดหน้าลงในอ้อมอกของซย่าโหวฉิงเทียน โดยที่แก้มทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ
เมื่อครู่นางกำลังหึงหวงแม้กระทั่งน้องสาวของเขา
มองออกว่าอวี้เฟยเยียนกำลังขัดเขินเป็นอย่างมาก ซย่าโหวฉิงเทียนก็อมยิ้มแล้วกล่าวปลอบว่า
“ไม่เป็นไร! หลิงเอ๋อร์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือพี่ใหญ่ของนาง!”
สำหรับเหตุผลที่หนานกงจื่อหลิงมายังอาณาจักรฉินจื้อนี่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็บอกกับอวี้เฟยเยียนเช่นกัน
“อะไรนะ”
เพียงแค่ได้ยินว่าซย่าจื่ออวี้เพื่อที่จะช่วยเหลือลูกชายของนางกับหนานกงอ๋าวแล้ว ต้องการควักหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนนั้น อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“คนเช่นนี้ไม่คู่ควรเป็นแม่ ซย่าโหวฉิงเทียนหากท่านรับนางเป็นแม่ละก็ ข้าเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่!”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
เอาความโกรธเคืองมาลงที่ลูกโดยไร้ซึ่งเหตุผล ไม่เพียงแต่เย็นชาใช้กำลัง ทั้งยังให้คนไปตามฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนทั้งที่เขายังเยาว์วัย นางไม่ใช่คนแล้ว!
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนล้มป่วยขณะอยู่ที่หอราชาโอสถ ก็เพราะน้ำมือซย่าจื่ออวี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนยิ่งอารมณ์คุกรุ่น
จึงมิต้องพูดถึงเรื่องที่ซย่าจื่ออวี้ต้องการหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนเพื่อไปเปลี่ยนให้กับหนานกงเช่อเลย!
“ในเมื่อนางเย็นชาใจร้ายไร้คุณธรรมไร้ความเป็นคนถึงเพียงนี้ ระหว่างท่านกับนางก็ควรจะตัดขาดกันตั้งนานแล้ว คราวหน้าได้พบนาง ท่านอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาดนะ!”
อวี้เฟยเยียนได้ถือว่าซย่าจื่ออวี้ หนานกงเช่อและหนานกงเอ๋าเป็นศัตรูของนางไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
พวกเขาใจร้ายกับซย่าโหวฉิงเทียนถึงเพียงนี้ สมควรตายจริงๆ!
หากภายหน้าได้มีโอกาสไปที่เมืองอู๋โยวละก็ นางจะต้องไปพบครอบครัวเลวๆ นี่เสียหน่อย!
“รับบัญชา!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเชยคางน้อยของอวี้เฟยเยียนอย่างมันเขี้ยว
นี่นางกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้เขาอยู่นะ!
“มีคนคอยห่วงใยเช่นนี้ ดีจริงๆ!”
“ซย่าโหวฉิงเทียน ขอให้ท่านจงเชื่อเสมอว่าท่านไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!”
“ถึงแม้ว่าท่านจะแอบอ้างฐานะเป็นตัวประกัน แต่ในพระทัยฝ่าบาท ท่านก็คือลูกชายของพระองค์ พระองค์ทรงดีกับท่านมากมาย ท่านเองคงจะรับรู้ได้”
“แม้ว่าท่านจะไม่รู้ว่าบิดาบังเกิดเกล้าของท่านเป็นใคร แต่สวรรค์ก็ประทานพ่อดีๆ ให้กับท่านคนหนึ่ง ถือว่าเป็นการชดเชยจากสวรรค์ และการมีอยู่ของท่านถือเป็นการชดเชยความผิดที่มีต่อบุตรชายในพระทัยของฝ่าบาทอีกด้วย นี่จึงนับเป็นวาสนาต่อกันของท่านสองคน!”
เมื่อนึกถึงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของซย่าโหวจวินอวี่ที่มีต่อซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกว่าฮ่องเต้อ้วนก็น่าสงสารหน่อยๆ
ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าบุตรชายเขาป่วยตายตั้งแต่อยู่ที่ฉินจื้อแล้ว…
บางทีอาจเพราะสวรรค์สงสารเห็นใจซย่าโหวจวินอวี่ จึงลิขิตให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้มาอยู่ข้างกายเขากระมัง!
“เสด็จพี่ดีกับพี่มาก! บุญคุณยิ่งใหญ่ของเขา พี่จะไม่ลืมตลอดชีวิต พี่จะคุ้มครองต้าโจว คุ้มครองเสด็จพี่ ตราบที่พี่ยังมีลมหายใจอยู่!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในหัวของซย่าโหวฉิงเทียนก็ปรากฏภาพที่ซย่าโหวจวินอวี่จ้องมองมาที่เขาและรอคอยให้เขาเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จพ่อ’ ตาละห้อยขึ้นมา
อวี้เฟยเยียนพูดถูก ถึงแม้ว่าพวกเขาใช่พ่อลูกโดยสายเลือด ทว่ากลับเป็นพ่อลูกในความรู้สึกตั้งนานแล้ว
ได้มาพานพบในฐานะพ่อลูก นับเป็นวาสนาโดยแท้!
ไหนเลยจะร้องขอให้ยืนยาวอีกเล่า!
ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแล้วอย่างไร เขาเห็นซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อตั้งนานแล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียนตัดสินใจเด็ดขาดอย่างลับๆ กลับไปต้าโจวคราวนี้ จะต้องหาโอกาสเรียกเขาว่า พ่อ สักครั้งให้เขาดีใจ!
เมื่อได้เปิดอกสารภาพเรื่องราวทุกอย่างออกไปแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ต่อหน้าอวี้เฟยเยียนเขาเป็นผู้ที่โปร่งใส ไร้ซึ่งสิ่งปกปิดใดๆ
ทำให้ในใจของเขารู้สึกสบายอย่างที่สุด
ขณะเดียวกันซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกเป็นปลื้มกับท่าทีของอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก
เฉกเช่นที่นางเคยกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะอะไร เป็นใคร จะผ่านอะไรมาก็ตามแต่ นางก็ยังคงยืนหยัดในความรู้สึกนี้ไม่มีเสื่อมคลาย
“แมวน้อย ได้พบกับเจ้า นับเป็นวาสนาของพี่ยิ่งนัก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงจุมพิตลงที่หน้าผากของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา หากไม่ใช่นาง เขาก็คงไม่รู้ว่าชีวิตช่างสวยงามและน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยความเจริญและสวยงาม เปี่ยมล้นด้วยความสุขและความหวัง!