ตอนที่ 302 บริษัทเราไม่รับคน / ตอนที่ 303 พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 302 บริษัทเราไม่รับคน

 

 

“บริษัทของหัวหน้า เอ๊ะ…หัวหน้ายังเรียนหนังสืออยู่ไม่ใช่หรือครับ ดูเหมือนจะอยู่ปีสาม เหมือนพี่ปิงเลย” ดวงตาเสี่ยวกวงเจิดจ้า สีหน้าชื่นชมอย่างออกนอกหน้า

 

 

อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองเสี่ยวเฟิง “แปลกนักหรือไง ใครบอกว่าเรียนหนังสืออยู่แล้วมีบริษัทของตัวเองไม่ได้” บริษัทนี้เธอรับต่อมาจากอีลั่วเยี่ย เธอปลดคนงานเดิมออกหมด ต่อมาหลังจากที่เธอปรึกษากับเฉวียนหมิงแล้ว เขาได้จัดคนของตนหลายคนมาทำหน้าที่รับผิดชอบที่นี่ เธอพอใจมาก ปกติถ้ามีเรื่องที่ต้องให้เธอตัดสินใจเธอจึงจะมา

 

 

เธอเอาอย่างเฉวียนหมิงที่บริหารด้วยการปล่อยมือ ที่จริงไม่เหมือนทีเดียวหรอก เพราะเธอเป็นเถ้าแก่ที่ปล่อยมืออย่างสมบูรณ์ บางครั้งในหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้โผล่ที่นี่เลยสักครั้ง

 

 

แต่แหล่งที่มาของเงินสำหรับเธอไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นลูกบอลเงินซึ่งเป็นร้านค้าระหว่างดวงดาว แม้จะเป็นสินค้าที่ราคาถูกบนโลกนี้ แต่ของเหล่านี้ไม่มีในดาวดวงอื่น ดังนั้นเธอจึงอาศัยลูกบอลเงินขายของเหล่านี้ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองเลย

 

 

แต่เธอต้องการบริษัทที่มีสถานภาพชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงจะสามารถใช้เงินได้อย่างมีที่มาที่ไป เพราะถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีงานทำ แต่กลับใช้เงินมือเติบ ย่อมทำให้คนอื่นสงสัย

 

 

อีกประการหนึ่งถ้าอยากยืนอย่างมั่นคงบนโลกนี้ ของนอกกายบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น พูดง่ายๆ ก็คือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนทำไม่สำเร็จ อย่างแหวนหยกของเธอก็ใช้เงินซื้อกลับมาไม่ใช่หรือ

 

 

“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เพียงแต่พวกเรารู้สึกแปลกใจครับ” หวังเทากลืนน้ำลาย ได้ยินว่าหัวหน้าของพวกตนเป็นลูกบุญธรรมของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง บริษัทนั้นยังล้มไปแล้ว คนครอบครัวเธอยังย้ายออกไปจากเมือง F แล้วด้วย

 

 

“มีอะไรต้องแปลกใจหรือ ไปกดลิฟท์ซะ” อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ที่จริงเธอก็เดาออกว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงแปลกใจ การเปิดร้านเล็กๆ สักร้าน ดำเนินกิจการที่ลงทุนน้อย คนที่พอมีฝีมือบ้างก็ทำได้

 

 

แต่การเปิดบริษัท ต้องมีทุนจดทะเบียน รับสมัครพนักงาน ไม่ว่าจะเริ่มงานอะไรก็ต้องใช้เงิน ไม่ง่ายอย่างการเปิดร้าน ถ้าบริหารไม่ได้ ระดับความเสียหายสูงกว่าการเปิดร้านมาก อาจเป็นมีหนี้สินพอกพูนจำนวนมาก

 

 

“หัวหน้า ชั้นไหนครับ?” อาคารธุรกิจแห่งนี้ แต่ละชั้นเป็นบริษัทต่างกัน

 

 

อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก “ชั้นแปด บริษัท EW”  เป็นชื่อย่อของบริษัทอีหว่าน เดิมไม่อยากใช้ชื่อนี้หรอก แต่อีลั่วเสวี่ยคิดว่าการคิดชื่อใหม่ยุ่งยาก จึงใช้ชื่อเดิม

 

 

เมื่ออีลั่วเสวี่ยพาหูปิงกับพวกเดินเข้าไปในลิฟท์ ในนั้นมีหลายคนขึ้นลิฟท์มาจากลานจอดรถชั้นใต้ดิน พอเห็นพวกเขาซึ่งสวมเสื้อผ้าพื้นๆ ก็ส่งเสียงดูถูกออกมาทางจมูก

 

 

“เอ๊ะ?” เสี่ยวเฟิงกำลังจะกดปุ่ม กลับพบว่ามีคนกดปุ่มชั้นแปดแล้ว จึงเดินไปที่มุม ปล่อยที่ว่างให้อีลั่วเสวี่ยและคนอื่น

 

 

นางปีศาจน้อยคนนี้ แต่งตัวสะอาดสอ้านเป็นระเบียบอย่างนี้ คงจะเป็นเลขานุการของเถ้าแก่สักคน? ไม่ต้องคิด อีลั่วเสวี่ยก็รู้สึกถึงสายตาของคนที่อยู่ด้านหลัง

 

 

หวังเทากับพวกเดิมทำอาชีพอะไรล่ะ ถือว่ากึ่งนักเลงหัวไม้ พอเห็นหัวหน้าพวกตนถูกดูถูก ก็นึกโมโห สีหน้าเครียดขึ้นทันที

 

 

อีลั่วเสวี่ยหันมาถลึงตาใส่ ปรามไม่ให้พวกเขาก่อเรื่อง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ประมูลใต้ดินที่อาศัยกำปั้นพูดแทน พอเห็นเช่นนี้หวังเทาได้แต่เบ้ปาก แล้งเงียบขรึมลง

 

 

อีลั่วเสวี่ยมองดูผู้หญิงคนนั้นที่ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง ใส่ชุดเรียบร้อยเป็นระเบียบ เหลือบมองป้ายชื่อของเธอ แล้วดวงตาเปลี่ยนเป็นลึกล้ำยิ่งขึ้น

 

 

เมื่อเสียงลิฟท์ดังขึ้น ขณะที่พวกเขาเตรียมเดินออกไป ตรงกลางมีที่ว่าง หญิงสาวที่ดูถูกอีลั่วเสวี่ยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง

 

 

เพิ่งเดินออกจากลิฟท์ เดินไปที่เคาน์เตอร์ ทันใดนั้นหญิงสาวคนนั้นก็หันกลับมา แล้วเห็นอีลั่วเสวี่ยกับพวก สีหน้าไม่พอใจทันที

 

 

“พวกคุณมาหาคนหรือ?”

 

 

 

 

ตอนที่ 303 พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน

 

 

หูปิงกับพวกหันมามองอีลั่วเสวี่ยทันที ดูแล้วผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพนักงานของหัวหน้าพวกเขา จะเป็นเพื่อนร่วมงานในวันหน้าของพวกเขา ถ้าพวกเขาขืนบุ่มบ่ามพูดอะไรไป เกิดทำให้ไม่พอใจย่อมไม่ดี

 

 

จะทำให้หัวหน้าลำบากใจไม่ได้ อยู่นิ่งเฉยจะดีกว่า

 

 

อีลั่วเสวี่ยเชิดมุมปากขึ้น มองดูหญิงสาวคนนี้ด้วยสีหน้าล้อเล่น ดูเหมือนเธอจะจำไม่ได้ว่ามีพนักงานคนนี้ หรือว่าเธอไม่ได้มาครึ่งเดือน เป็นคนที่รับเข้ามาใหม่?

 

 

“เรา เรามาหางานทำ” ก็มางานทำจริงๆ ไม่ใช่หรือ เธอบอกแล้วว่าจะพาหวังเทากับพวกมาทำงาน ยังไงก็ต้องมาที่นี่

 

 

หญิงสาวหัวเราะทันที “ขอโทษด้วย ฉันเป็นคนของบริษัทนี้ เราไม่รับคนงาน หรือพวกคุณมาผิดที่แล้ว?” น้ำเสียงดูแคลนมาก

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “คุณแน่ใจหรือ?”

 

 

“ฉันย่อมจะแน่ใจ หลี่มี่ เธอว่าใช่ไหม เราไม่ได้รับแจ้งจากชั้นเหนือว่ามีการรับพนักงาน” เธอย่อมแน่ใจ เพราะพี่ชายเธอรับผิดชอบด้านงานบุคคล ปกติเขารับผิดชอบด้านการรับคนงานหรืองานต้อนรับ

 

 

เพราะฉะนั้นเธอจึงแน่ใจมากว่าระยะนี้บริษัท EW ไม่เปิดรับพนักงาน เพราะพนักงานที่มีอยู่ยังรองรับงานได้ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มคน เป็นการเพิ่มรายจ่ายและต้นทุน

 

 

หลี่มี่เป็นพนักงานที่เคาน์เตอร์ ปกติเธอจะนั่งอยู่ เพราะคนที่จะเข้าบริษัทต้องสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าไป ถ้าเป็นแขกมาเยือน ต้องมาหาเธอโดยตรง คนที่พูดตอนนี้ชื่อไป๋เสวี่ย เป็นน้องสาวของไป๋อิ๋น ปกติเป็นคนเย่อหยิ่ง หลี่มี่ไม่กล้าผิดใจด้วย จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว

 

 

“เออ? ดูเหมือน…ฉัน…ฉันไม่รู้นะ” พอลุกขึ้นมาอยู่ตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย หลี่มี่ถึงกับตาค้าง คุณพระช่วย ที่แท้เป็นเถ้าแก่ ดูแล้วเถ้าแก่คงพาคนมา ตอนแรกคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่ไป๋เสวี่ยพูด แต่เธอรีบเปลี่ยนคำพูดทันที

 

 

ทั้งยังเตรียมจะพูดทักทายกับอีลั่วเสวี่ย แต่คิดไม่ถึงว่าอีลั่วเสวี่ยจะส่งสายตาให้ ทำให้เธอพูดไม่ออก

 

 

ไป๋เสวี่ยไม่พอใจทันที “จะไม่รู้ได้หรือ บริษัทเราเพิ่งประชุมเมื่อวานเอง”

 

 

“ดูแล้วคุณไป๋เองก็ไม่แน่ใจ ถ้าเป็นอย่างนี้คุณยังจะขวางพวกเราไว้หรือ?” รอยยิ้มอีลั่วเสวี่ยเย็นชา ขณะที่ท่าทีของเธอเหมือนเป็นการตบหน้าไป๋เสวี่ย

 

 

“คุณรออยู่นี่ ฉันจะไปตรวจสอบก่อน เราเป็นบริษัทที่มีมาตรฐาน ถ้าไม่ใช่พนักงานของบริษัท ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปในบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล” ขณะที่พูดไป๋เสวี่ยยังกัดฟันกรอด

 

 

อีลั่วเสวี่ยเอามือกอดอก รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป “เอ๊ะ ดูท่าทางคุณไป๋แล้วน่าจะกำลังฝึกงานอยู่ เด็กฝึกงานมีสิทธิ์วางอำนาจแบบนี้หรือไง?”

 

 

“คุณว่าใครวางอำนาจ ตั้งใจมาหาเรื่องใช่ไหม รปภ. ช่วยเชิญเธอคนนี้กับพวกออกไปด้วย” ในใจไป๋เสวี่ยแน่ใจว่าบริษัทไม่ได้เปิดรับพนักงาน แล้วออกคำสั่งไล่แขกกับอีลั่วเสวี่ย

 

 

ส่วนหลี่มี่ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับยกมือขึ้นกุมปาก พูดอะไรไม่ออก คุณพระช่วย ถึงกับกล้าไล่เถ้าแก่ของเรา ร้ายกาจจริงๆ

 

 

พอรปภ.เดินมา เห็นอีลั่วเสวี่ยก็พากันผงะ

 

 

“ต้องทำยังไง ฉันคิดว่าฉันคงไม่ต้องสั่งนะ พาไป” อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว สายตากวาดมาบนร่างไป๋เสวี่ย รปภ.สองคนที่เดินมา คว้าแขนไป๋เสวี่ยคนละข้าง

 

 

“พวกนายทำอะไร ฉันให้พวกนายพาเธอออกไป” ไป๋เสวี่ยโมโหจนแทบจะพูดไม่ออกอยู่แล้ว คนพวกนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง เดี๋ยวเถอะ จะให้พี่ชายไล่สองคนนี้ออก

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้มหยัน “เพื่อนที่ฉันพามา คนทั้งบริษัทยังไม่มีใครกล้าไล่ออกไป ใครให้ความกล้าและอำนาจกับเธอ?”

 

 

พออีลั่วเสวี่ยพูดเช่นนี้ ไป๋เสวี่ยดูเหมือนเกิดรู้สึกว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก แต่เธอรู้แล้วว่าวันนี้ดูเหมือนเธอจะก่อเรื่องขึ้นแล้ว

 

 

“ฉัน…”

 

 

“พาเธอไปที่ห้องควบคุม เดี๋ยวไปเรียกไป๋อิ๋นมาพาไป” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็เดินไป