ตอนที่ 304 ทำจากระดับล่างขึ้นไป / ตอนที่ 305 นายสองคนกลับไปเรียนต่อ

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 304 ทำจากระดับล่างขึ้นไป

 

 

วางฝ่ามือลงบนเครื่องตรวจเบาๆ ประตูเปิดออกอัตโนมัติ หูปิงกับพวกเดินตามหลังเธอติดๆ

 

 

รปภ.มองตามหลังที่ดูสง่างามของอีลั่วเสวี่ยไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองดูไป๋เสวี่ย “นี่คุณไป๋ ปกติคุณไม่เห็นหัวพวกเราก็แล้วไปเถอะ เพื่อเห็นแก่หน้าของหัวหน้าไป๋ เราไม่ถือสาคุณได้ แต่คุณกลับจะไล่เถ้าแก่บริษัทเรา คุณคิดจะบริหารแทนท่านงั้นหรือ?”

 

 

ไป๋เสวี่ยตะลึง “ไม่ใช่สิ ไหนบอกว่าบริษัทเราเป็นบริษัทลูกของเฉวียนกรุ๊ปไม่ใช่หรือ ทำไมเถ้าแก่เราถึงเป็นผู้หญิงล่ะ?” เดี๋ยวก่อน ตอนนั้นพี่ชายตัวเองบอกว่าดูเหมือนบริษัทเล็กแห่งนี้มีเฉวียนกรุ๊ปคอยคุ้มครองอยู่ ถ้างั้นเป็นตัวเธอเองที่เข้าใจผิดว่าบริษัท EW เป็นบริษัทลูกของเฉวียนกรุ๊ป พอคิดถึงตรงนี้หน้าผากไป๋เสวี่ยก็มีเหงื่อซึมออกมา

 

 

สองรปภ.เห็นเช่นนี้ก็ปล่อยมือจากตัวเธอ “คุณไป๋ คำสั่งท่านประธาน เราไปดื่มชาที่ห้องชาเถอะ” ข้างห้องควบคุมเป็นห้องชาของพวกเขา ปกติมีเพียงพนักงานทำความสะอาดกับพวกเขารปภ.ใช้ห้องนี้

 

 

ไป๋เสวี่ยเหมือนถูกรุมเล่นงาน เดินไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินไปสองสามก้าวจึงหยิบมือถือออกมา โทรหาพี่ชาย เตรียมขอร้องเขา ขณะนี้เธอเข้าไปในบริษัทไม่ได้ ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกล่าวขอโทษยอมรับผิด

 

 

ไป๋อิ๋นอยู่ในบริษัท มีโทรศัพท์แจ้งมาจากเคาน์เตอร์ด้านหน้า บอกว่าเถ้าแก่มาตรวจงาน เขาปลีกตัวเดินออกมาจากห้องทำงานทันที แต่แล้วมือถือก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันเห็นอีลั่วเสวี่ยเดินตรงมาพอดี จึงรีบตัดสายโดยไม่ต้องคิด

 

 

อีลั่วเสวี่ยมองเห็นแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากดูเย็นชา “ไป๋อิ๋น”

 

 

“สวัสดีครับท่านประธาน” ไป๋อิ๋นเดินตรงมาหา ท่าทางอ่อนน้อมมาก ชุดสูทไม่มีฝุ่นจับแม้แต่น้อย ดูภูมิฐาน สายตาเขากวาดไปที่ชายห้าคนด้านหลังเธอ รู้สึกแปลกใจมาก

 

 

เถ้าแก่คงอยากหางานให้คนของตนเอง โทรมาบอกก็พอแล้ว ทำไมต้องมาส่งด้วยตัวเอง เขานึกสงสัยแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม

 

 

จากนั้นอีลั่วเสวี่ยก็พาทั้งห้าคนเข้ามาในห้องทำงาน ห้องทำงานของเธอใหญ่โตมาก ปกติเธอไม่มาก็จะล็อคห้องไว้ ถ้าเธอไม่อยู่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในพื้นที่ของเธอ

 

 

“หัวหน้าครับ นี่ห้องทำงานของหัวหน้าหรือ เลิศหรูจริงๆ” เสี่ยงเฟิงกับอาหม่านมองสำรวจรอบๆ แววตาตื่นเต้น ยังกว้างใหญ่กว่าบ้านที่พวกเขาอยู่

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ก็พอใช้ได้ นั่งกันตามสบาย ไปอิ๋น นั่งนี่”

 

 

ไป๋อิ๋นซึ่งเป็นนักธุรกิจมือเก่าสังเกตเห็นท่าทางรำคาญใจของอีลั่วแล้ว น้ำเสียงจึงยิ่งระวังเพิ่มขึ้น “ท่านประธานมาวันนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรจะสั่งการครับ” พูดพลางชำเลืองมองหวังเทากับพวก

 

 

ถึงกับเรียกท่านประธานว่าหัวหน้า แปลกจริง

 

 

“ใช่แล้ว คุณจัดงานให้สามตำแหน่ง ไม่ต้องสูงนัก เหมือนรับพนักงานทั่วไป ดูว่าพวกเขาเหมาะที่จะทำอะไร จัดคนเป็นพี่เลี้ยงให้ด้วย ไม่ต้องเห็นแก่หน้าพวกเขา ควรจะทำอะไรก็ให้พวกเขาทำ”

 

 

จากนั้นเธอก็มองมาที่อาหม่าน หวังเทาและจินหวง “แม้จะเป็นฉันพาพวกนายเข้ามา แต่ก็มีโอกาสมากว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น จะไม่มีเงื่อนไขพิเศษให้พวกนาย ตำแหน่งก็เริ่มจากระดับล่างขึ้นไป มีความเห็นอะไรไหม?”

 

 

หวังเทากับพวกผงกหัวหงึกๆ “ไม่มีครับ” หัวหน้าให้พวกเขาทำงาน จะกล้ามีความเห็นหรือ

 

 

“งั้นดีแล้ว เดี๋ยวพวกนายตามหัวหน้าไป๋ไปทำเอกสารเข้าทำงาน เริ่มทำงานตั้งแต่วันนี้ มีเงินเดือนให้ ถือตามพนักงานฝึกงาน” แม้จะเป็นการฝึกงาน แต่บริษัทของพวกเขาจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก เพราะจัดว่าเป็นบริษัทระดับแนวหน้า

 

 

หูปิงกับเสี่ยวเฟิงชี้มาที่ตัวเอง “งั้นหัวหน้า เราสองคนล่ะ ให้เราทำอะไรครับ” ดูเหมือนจะไม่ได้จัดงานให้พวกเขา หรือลืมไปแล้ว?

 

 

 

 

ตอนที่ 305 นายสองคนกลับไปเรียนต่อ

 

 

อีลั่วเสวี่ยมองดูสองคนนี้ เลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้ม “นายสองคน? นายสองคนกลับไปเรียนต่อ”

 

 

พอเธอพูดเช่นนี้ ทั้งสองต่างงุนงง แล้วพูดขึ้นพร้อมกัน “เพราะอะไร?”

 

 

เสี่ยวเฟิงเบ้ปาก “หัวหน้า ผมเรียนจบแล้วนะ หัวหน้าให้พี่ปิงไปเรียนต่อก็พอครับ”

 

 

“เรียนจบแล้ว? อีลั่วเสวี่ยหรี่ตาลง จะหลอกเธองั้นหรือ เสี่ยวเฟิงเพิ่งอายุสิบเก้า อ่อนกว่าเธอหลายปี ยังเรียนในมหาวิทายาลัยไม่จบ จะบอกว่าเรียนจบได้หรือ

 

 

เสี่ยวเฟิงไม่กล้าสบตากับอีลั่วเสวี่ย เขากลืนน้ำลาย แล้วพูดหน้าตาย “ผม…ผมจบมัธยมปลายแล้วครับ”

 

 

“งั้นก็ถูกแล้ว ไปเรียนให้จบมหาวิทยาลัยก่อน แล้วค่อยว่า บริษัทของเจ๊ต้อนรับนายกลับมาเสมอ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ส่วนนาย หูปิง นายจะเริ่มต้นจากนักศึกษาปีสองไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?”

 

 

คำพูดของอีลั่วเสวี่ยทำให้หูปิงละอายใจ เขาลูบศีรษะตัวเอง แล้วพูด “หัวหน้า ฟังผมอธิบายก่อน ผมมีเหตุผลครับ” การเป็นนักศึกษาเป็นวิธีอำพรางตัวเองของหูปิง ส่วนการเรียนไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไร เพราะเขาแทบจะไม่ไปเรียนเลย

 

 

“ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง ทำตามนี้แหละ ถ้าถือว่าฉันเป็นหัวหน้า ก็ทำตามที่ฉันจัดการ” สุดท้ายทั้งคู่ก็เบ้ปาก ไม่พูดอะไรอีก

 

 

ไป๋อิ๋นนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ พอเห็นเช่นนี้จึงพูดขึ้น “ท่านประธาน งั้นตอนนี้ผมจะพาพวกเขาไปทำเอกสารจ้างงาน ไปจัดงานให้พวกเขาเลยครับ”

 

 

อีลั่วเสวี่ยสั่นศีรษะ “ไม่ต้องรีบร้อน จัดการเรื่องน้องสาวคุณก่อนแล้วค่อยว่า”

 

 

ไป๋อิ๋นได้ฟังเช่นนี้ก็หน้าซีดเผือดทันที เขากลืนน้ำลายด้วยความเครียด แล้วจับเน็กไทอย่างไม่รู้ตัว “ท่านประธาน ผมกำลังจะรายงานเรื่องนี้กับท่านพอดี น้องสาวผม…”

 

 

“ฉันไม่อยากฟังคำอธิบาย และไม่อยากรู้สาเหตุด้วย จำที่ฉันพูดกับพวกคุณวันแรกได้ไหม ฉันไม่รังเกียจที่พวกคุณจะมีญาติพี่น้องทำงานในบริษัทเดียวกันแผนกเดียวกัน แต่ต้องทำให้ได้ถึงขั้นซื่อตรงเต็มที่ คุณบอกฉันหน่อยว่าจำได้ไหม”

 

 

ไป๋อิ๋นหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าหนักๆ “จำได้ครับ”

 

 

“งั้นคุณก็คงจำได้ว่าฉันพูดอะไร บริษัทหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของหมู่คณะ นิสัยใจคอและการอบรม” อีลั่วเสวี่ยพูดช้ามาก สายตามองที่ไป๋อิ๋นตลอดเวลา

 

 

ไป๋อิ๋นพูด “รวมทั้งท่าทีต่อคนและต่อการงาน ความคิดต้องยืดหยุ่น สายตาต้องยาวไกล” นี่เป็นเป้าหมายที่พนักงานอาวุโสเอ่ยถึงบ่อยๆ ในที่ประชุม ต้องมีวัฒนธรรมของบริษัทที่ดี จึงจะกระตุ้นให้พวกเขาเติบโตได้

 

 

อีลั่วเสวี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ “คุณทำได้แล้ว แล้วคนอื่นล่ะ อย่างเช่นน้องสาวคุณ”

 

 

“ผม….ท่านประธาน ผมเข้าใจแล้ว ผมย่อมต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ครับ” เขาไม่รู้ว่าน้องสาวตนทำอะไรไป แต่เขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนอื่นๆ

 

 

“คุณต้องรับผิดชอบ แต่อย่าลืมหลักการของบริษัทเรา ที่ว่าใครทำคนนั้นต้องรับผิดชอบ  ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์” ที่ต้องรับผิดชอบเพราะหวังว่าทุกคนจะช่วยเหลือกัน ร่วมมือกัน มีจิตใจที่คำนึงถึงหมู่คณะ

 

 

ไป๋อิ๋นชะงัก แล้วพยักหน้า “ครับ ท่านประธาน”

 

 

“พอแล้ว ไปเถอะ จัดการงานเสร็จแล้วค่อยมาพบฉัน”

 

 

จากนั้นไป๋อิ๋นก็พาอาหม่านกับพวกออกไป เหลือเพียงหูปิงกับเสี่ยวเฟิงที่อยู่ต่อ

 

 

เสี่ยวเฟิงวิ่งมาหา เบ้ปากอย่างเป็นทุกข์ ท่าทางน่าสงสาร “หัวหน้าครับ เรียนหนังสือไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เรียนได้ไหมครับ ทิ้งเรื่องเรียนมาสองปีแล้ว ตอนนี้คงตามไม่ทัน อย่าเสียเงินเปล่าเลยครับ”

 

 

อีลั่วเสวี่ยย้อนถาม “ไม่อยากไปเรียน นายเตรียมไปเป็นขอทานหรือ?” แม้คำพูดนี้จะเคร่งครัดไปบ้าง แต่การเรียนรู้อะไรบ้างย่อมมีผลดี

 

 

อีกประการหนึ่งโลกนี้ล้วนต้องการหลักฐานรับรองสักใบ ทั้งเสี่ยวเฟิงก็ยังอายุน้อย ถ้าเรียนจบได้จะมีประโยชน์ต่ออนาคตของเขา ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เรียนมากหน่อยก็จะลดการทางคดเคี้ยวลงได้บ้าง