ตอนที่ 306 การเลือกของเสี่ยวเฟิง / ตอนที่ 307 ผมยอมไม่รับเงินเดือน

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 306 การเลือกของเสี่ยวเฟิง 

 

 

“หัวหน้า อย่าเคร่งครัดนักเลย ผมก็แค่ไม่อยากกลับไปตอนนี้ ผม…ลืมความรู้ไปหมดแล้ว หัวหน้าคิดว่าผมจะทำอะไรได้ ผมเองก็จนปัญญาครับ” เสี่ยวเฟิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าทุกข์ร้อน 

 

 

ต้องบอกว่าเสี่ยวเฟิงแสดงสีหน้าได้เก่งเป็นพิเศษ จะหัวเราะจะตีโพยตีพาย ล้วนสามารถทำให้คุณเห็นเขาในรูปลักษณ์ต่างๆ กัน พูดได้ว่าเหมาะที่จะแสดงละคร 

 

 

“งั้นนายอยากทำอะไร ช่างเถอะ นายอยากเรียนด้านไหน ไปตามทิศทางนั้นก็ได้” ถ้าเสี่ยวเฟิงไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้องไปเรียน ขอเพียงไปลงชื่อเป็นนักศึกษาของที่ไหนสักแห่ง ถึงตอนนั้นให้มหาวิทยาลัยนั้นออกปริญญาบัตรให้ก็พอ 

 

 

เสี่ยวเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงคิดตรอง ทันใดนั้นดวงตาก็เจิดจ้าขึ้น “หัวหน้า นักแสดง ผมไปเป็นนักแสดงดีกว่า ตั้งแต่เด็กผมก็ฝันอยากเป็นดารา แฮ่แฮ่ น่าเสียดายที่ยังเป็นจริง” 

 

 

ดูเหมือนจะไม่มีความรู้ด้านนี้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งการจะบ่มเพาะนักแสดงคนหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เป็นดาวจรัสแสง ต้องใช้เงินทุนไม่น้อย 

 

 

อีลั่วเสวี่ยกลอกตารอบหนึ่ง แล้วยิ้ม “แน่ใจนะ?” ถ้าอยากยึดอาชีพนี้กลับเป็นเรื่องง่าย เธอนึกถึงใครคนหนึ่ง น่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ 

 

 

“แน่ใจครับ” เรื่องการแสดงเขาถนัดอยู่แล้ว เขาสามารถเรียนรู้บุคลิกต่างๆ กัน สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างกัน โดยไม่ต้องกดดันตัวเอง 

 

 

เสี่ยวเฟิงจัดว่าค่อนข้างผอม หน้าตาดี แต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย บุคลิกหน้าตาไม่เลวเลย ที่สำคัญคือลักษณะอ่อนโยนอบอุ่นของเขา เหมาะที่จะเป็นหนุ่มรูปหล่อ ถ้ามีฝีมือการแสดง ต้องมีสาวๆ เป็นแฟนคลับไม่น้อยแน่ 

 

 

“แต่หัวหน้าครับ ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง จะเป็นนักแสดงไม่ง่ายอย่างนั้น แต่ผมไม่กลัวความลำบากหรอก จะปลุกปั้นดาราคนหนึ่งขึ้นมา ต้องใช้เงินไม่น้อย บริษัทเราดูเหมือนจะเพิ่งก่อตั้งเพียงครึ่งปี ผมว่าช่างเถอะครับ ผมกลับไปคิดดูอีกทีว่าอาชีพไหนเหมาะกับผม” 

 

 

เสี่ยงเฟิงคิดทบทวนแล้ว จึงเปลี่ยนเรื่อง อีลั่วเสวี่ยเป็นหัวหน้าของพวกเขา ตามหลักแล้วพวกเขาเป็นลูกน้องควรจะทำงานให้เธอ จะให้เธอทำเพื่อพวกเขาได้อย่างไร 

 

 

“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา วิธีที่จะเข้าไปฉันก็หาได้ อีกอย่างการเป็นนักแสดงก็หาเงินได้ ฉันพอช่วยนายได้บ้าง ที่เหลือต้องดูว่านายมีความพยายามพอไหม แน่นอนว่าฉันยังมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง” อีลั่วเสวี่ยกลอกตา แววตามีความหมายลึกซึ้ง 

 

 

ไม่ใข่เธอตระหนี่ แต่เธอต้องการให้เสี่ยวเฟิงรู้ว่าแวดวงบันเทิงไม่ใช่ที่ที่สนุกอะไร ถ้าไม่มีฝีมือในการแสดง อาศัยแค่มีคนหนุนหลังและมีเงินทุนก็ไม่อาจโด่งดังได้ ถ้าไม่ใช่ดาราดังก็เปล่าประโยชน์ และเธอจะไม่ใช้จ่ายเงินเพื่อเรื่องนี้เกินความจำเป็น 

 

 

อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่รู้จักอดทนต่อความยากลำบาก จะให้แฟนๆ สนับสนุนและรักคุณได้อย่างไร 

 

 

“เงื่อนไขอะไรครับ ผมไม่กลัวลำบากเลย หัวหน้าพูดมาเลยครับ” 

 

 

“เงื่อนไขก็คือปีนี้ที่นายไปเป็นนักแสดง ต้องเรียนมหาวิทยาลัยให้จบด้วย” จะไปเรียนมหาวิทยาลัยไหน ปัญหานี้ไม่ยาก การจะมอบตำแหน่งให้ใครสักคนนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่เธอต้องการรู้ว่าเสี่ยวเฟิงควรค่าต่อการบ่มเพาะหรือไม่ 

 

 

ดวงตาเสี่ยวเฟิงเจิดจ้าขึ้นทันที “ไม่มีปัญหาครับ หัวหน้า ผมจะพยายามให้หัวหน้าเห็น” สามารถทำให้ความฝันเป็นจริงทั้งยังไม่ทิ้งการเรียนด้วย โอกาสดีอย่างนี้เขาจะพลาดได้อย่างไร 

 

 

เขาไม่อยากอยู่แค่เวทีคาราโอเกะในบาร์ แต่อยากให้คนมากกว่าได้เห็นเขา 

 

 

หูปิงเห็นเสี่ยวเฟิงเจอเป้าหมายของชีวิตแล้ว จึงตบไหล่เขาเบาๆ “สู้นะ!” 

 

 

“ผมสู้แน่ แต่พี่ปิง ผมใช้เวลาหนึ่งปีเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าพี่จะทำได้ไหม?” เสี่ยวเฟิงพูดเล่น พวกเขาล้วนรู้ว่าหูปิงซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว 

 

 

หูปิงสีหน้าไม่พอใจ “นี่ ฉันเคยทำอย่างนี้กับนายหรือ ยังเรียกว่าพี่น้องหรือ พูดเยาะเย้ยฉันแบบนี้” 

 

 

“พูดเยาะเย้ย ผมเยาะเย้ยเขาหรือ หัวหน้า ผมกระตุ้นเขาต่างหาก” เขาพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 307 ผมยอมไม่รับเงินเดือน 

 

 

“พอแล้ว ต่อไปนี้อยู่ที่บริษัทให้เรียกฉันว่าท่านประธาน เดี่ยวไปบอกอาหม่านกับพวกด้วย จริงสิ อย่าถือว่าเกี่ยวข้องกับฉันแล้วทำอะไรตามอำเภอใจ ส่วนเรื่องทางบาร์นั้น วันไหนนายไปรวบรวมพี่น้องที่เหลือมา ฉันจะจัดการเอง” 

 

 

หูปิงมีสีหน้าแปลกใจ “ครับ ท่านประธาน” 

 

 

“ท่านประธาน” ถึงตอนนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงของไป๋อิ๋น หูปิงและเสี่ยวเฟิงถอยกลับไปนั่งที่โซฟาด้านข้างทันที นั่งนิ่งไม่พูดอะไร 

 

 

จะให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาเหมือนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อท่านประธานไม่ได้ 

 

 

“เข้ามา” 

 

 

ขณะที่เปิดประตู ไป๋เสวี่ยซึ่งก่อนหน้านี้ท่าทางหยิ่งผยองตอนนี้ยืนก้มหน้า เหมือนอายที่จะพบผู้คน 

 

 

อีลั่วเสวี่ยมองมาที่หูปิงและเสี่ยวเฟิงที่โซฟา แล้วโบกมือ “พวกนายออกไปรอข้างนอกก่อน” 

 

 

“ครับ” ก่อนออกไปเสี่ยวเฟิงหันมามองไป๋เสวี่ยแวบหนึ่ง ทำให้ใบหน้าเธอแดงขึ้นทันที ไม่รู้ว่าโมโหหรืออาย 

 

 

ไป๋อิ๋นเอามือดันศอกไป๋เสวี่ย แล้วตัวเองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง “ท่านประธานครับ ผมไม่รู้ว่าไป๋เสวี่ยทำผิดร้ายแรงอย่างนี้ เป็นความรับผิดชอบของผม ผมยินดีลาออก เพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัทครับ” 

 

 

นี่ไม่ใช่การเอาเรื่งลาออกมาขู่อีลั่วเสวี่ย แต่เพราะบริษัทมีระเบียบ ถ้าไม่มีการลงโทษที่มีผลในแง่ปฏิบัติ เกรงว่าวันหน้าจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก 

 

 

ไป๋เสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที มองอีลั่วเสวี่ยด้วยแววตาวิงวอน “ไม่ ไม่นะ โทษพี่ไม่ได้หรอก…โทษหัวหน้าไป๋ไม่ได้ เป็นความผิดของฉันเองค่ะ ท่านประธานคะ ลงโทษฉันเถอะ จะลงโทษอย่างไรก็ได้ โปรดอย่าไล่ฉันหรือหัวหน้าไป๋ออกเลยค่ะ” 

 

 

ลำบากแทบแย่กว่าที่พี่ชายเธอจะได้งานดีอย่างนี้ เป็นเพราะเธออวดดีเอง ทำให้พี่ชายต้องเสี่ยงแบบนี้ ถ้าเธอทำให้พี่ชายตกงาน ถึงตอนนั้นอาการป่วยของย่า… 

 

 

เธอไม่กล้าจินตนาการ ใบหน้าไป๋เสวี่ยขาวซีดทันที แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย “ท่านประธานคะ เป็นความผิดของฉันเอง ลงโทษฉันเถอะค่ะ ฉันยอมรับการลงโทษทุกอย่าง อย่างนี้ดีไหมคะ ฉันจะไม่รับเงินเดือน อยู่ต่อในบริษัท จะให้ทำงานอะไรก็ได้ค่ะ” 

 

 

ไป๋อิ๋นขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นน้องสาวคุกเข่าลง แล้วออกแรงดึงเธอขึ้นมา “ไป๋เสวี่ย ทำผิดแล้วต้องรับผิดชอบ พี่บอกเธอมาตั้งแต่เล็ก การขอโทษไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้” 

 

 

อีลั่วเสวี่ยเอากุมหน้าผาก รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “ที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยังไงที่เธอพูดก็ถูก บริษัทไม่ได้เปิดรับพนักงาน” ที่ผิดแพราะเธอวางอำนาจ ไล่คนอย่างไร้เหตุผล ถ้าเกิดเป็นแขกที่เธอเชิญมา หรือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทอื่น ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ก็ส่งผลเสียต่อการร่วมมือและทำให้เสียชื่อเสียง เรื่องนี้ถือว่ารุนแรง 

 

 

“ฉันไม่รู้ว่าครึ่งเดือนมานี้เธอทำประโยชน์อะไรให้บริษัทบ้าง ดังนั้นจะอยู่หรือไปให้ทุกคนตัดสินก็แล้วกัน ก่อนมื้อเที่ยงเปิดประชุมเถอะ พวกคุณออกไปก่อน” 

 

 

ต้องบอกว่าไป๋อิ๋นดูแลงานในแผนกได้ดีมาก ปกติเฉวียนหมิงต้องการให้เธอบ่มเพาะคนของตนเองขึ้นมา ที่เขาพาคนระดับบริหารมาสองสามคนนั้น ที่จริงเพียงทำหน้าที่เสนอความเห็นและชี้แนะในเรื่องที่สำคัญเท่านั้น 

 

 

พูดตามตรงแล้วไป๋อิ๋นคือผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจของบริษัท หลังจากขอคำชี้แนะจากอีลั่วเสวี่ยแล้วเขาเป็นผู้นำนโยบายไปปฏิบัติและจัดงาน อีลั่วเสวี่ยจึงไม่อยากเสียบุคลากรอย่างเขาไป แต่ก็ไม่อาจเอาใจจนหยิ่งผยอง แล้ววางอำนาจในบริษัท 

 

 

แววตาไป๋อิ๋นมีความหวังขึ้น เขาเองก็ไม่อยากจากบริษัทนี้ไป แต่ก็ไม่อยากให้ในใจเถ้าแก่เกิดปมค้างคาใจเพราะเรื่องนี้  

 

 

“ครับ ท่านประธาน” เขาพูดแล้วพาไป๋เสวี่ยออกไป 

 

 

ไป๋เสวี่ยเห็นโอกาสที่เอาตัวรอดได้ก็เปลี่ยนจากเศร้าเป็นยิ้ม “ขอบคุณค่ะท่านประธาน ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” ขอบคุณที่ผู้ใหญ่ไม่นึกแค้นผู้น้อย ขณะนี้ในใจไป๋เสวี่ยทั้งซาบซึ้งและรู้สึกผิด 

 

 

เวลานี้เธอหวนคิดถึงความผิดที่ตนทำไป ถ้าเป็นบริษัทอื่น เธอคงถูกไล่ออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คงไม่จัดการเงียบๆ อย่างนี้เด็ดขาด