บทที่ 100 เซียวเฟยหนาน
โทเทมโลหิตสลายอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถใช้งานได้ที่สุดของซูเฉินแล้ว
ประโยชน์สูงสุดของมันคือการเพิ่มความแกร่งได้โดยตรงด้วยวิธีการเรียบง่าย หากแต่ข้อเสียใหญ่คือเมื่อใช้แล้วจะปรับปรุงไม่ได้อีก เมื่อกำลังของผู้ใช้เพิ่มขึ้นแล้ว สุดท้ายโทเทมโลหิตสลายก็จะถูกโยนทิ้งไป ดังนั้นจึงใช้กับผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงไม่เคยใช้โทเทมโลหิตสลายเอง แต่ใช้มันเป็นพื้นฐานในการสร้างเครื่องมือนำพลัง เช่น ถุงมือเพลิงเงา
กระนั้นมันยังคงเป็นวิธีที่ใช้ยกระดับความแข็งแกร่งได้จริง ประเด็นสำคัญคือมันราคาถูกและทำง่ายอย่างเหลือเชื่อ
ราคาถูกหมายความว่าซูเฉินสามารถผลิตมันได้ในปริมาณมาก
ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ การใช้ได้จริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หากสามารถเพิ่มความแกร่งให้ผู้เชี่ยวชาญพลังระดับล่างได้พร้อมกันราวสองถึงสิบส่วนเล่า ?
แน่นอนกว่ากวาดล้างศัตรูได้ราบคาบเป็นแน่
หากแต่อารามนิรันดร์คงอยากได้มันน้อยที่สุดในสามอย่าง
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะพวกเขาไม่มีกองทัพ
ไม่มีองค์กรใต้ดินใดที่สามารถรวบรวมผู้ติดตามจำนวนมากเท่านั้นได้ และการที่ขาดคนย่อมหมายความว่าความสามารถของโทเทมโลหิตสลายจะไม่ถูกนำมาใช้เต็มที่ ให้เป็นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดหรืออาวุธวิญญาณยังดีกว่า
โชคร้ายที่ซูเฉินไม่เต็มใจมอบทั้งสองให้ เพราะทั้งสองเป็นการเพิ่มพลังเพียงรายคน
ที่ซูเฉินเต็มใจให้โทเทมโลหิตสลายเป็นเพราะมันไม่กระทบความแกร่งของคนเพียงคนเดียว แต่จะมีผลกระทบสำคัญต่อทั้งเผ่ามนุษย์
โทเทมโลหิตสลายเดิมทีพัฒนาขึ้นที่ซากโบราณลุ่มน้ำทอง เมื่อตอนเผ่าคนเถื่อนต่อสู้กับเขา ตอนนี้มันกำลังจะถูกนำไปใช้ในแดนเผ่าคนเถื่อนอีกครา หรือก็คือทำอย่างไรก็กลับมาที่เดิมจริง ๆ
เขาเอ่ย “ข้าไม่เพียงมอบให้เฉย ๆ แต่ยังจะประกาศในแดนฝันด้วย”
“แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร ?” ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงขุ่น
หากทุกคนมีกันหมด ก็เหมือนกับไม่มีใครเป็นเจ้าของน่ะสิ
“มีโทเทมโลหิตสลายอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือใช้วิชาต้นกำเนิดได้ ส่วนอีกประเภทใช้สสารต้นกำเนิดได้ ข้อต่างสำคัญคืออย่างแรกพัฒนาต่อไม่ได้ แต่อย่างหลังทำได้” ซูเฉินกล่าว
ไร้หนทางใดจะเพิ่มพลังโทเทมโลหิตสลายได้อีก แต่พลังจากสสารต้นกำเนิดสามารถขยายและนำมาใช้กับวิชาใหม่ ๆ ได้
ข้ารับใช้เงาเมื่อก่อนหน้ามีแค่สสารเงา มีวิชากรงเล็บเงาซึ่งเป็นประโยชน์หนึ่งของสสารเงาแล้ว
ซูเฉินจะปล่อยวิชาโทเทมโลหิตสลายออกมา แต่จะเก็บวิธีสกัดสสารต้นกำเนิดเป็นความลับ
“ข้าจะสอนวิธีสกัดสสารต้นกำเนิดให้” ซูเฉินเอ่ย
“ว่าไงนะ ?”
“ปลามังกร ?”
ฉือหมิงเฟิงคิดครู่หนึ่ง “หมายถึงวิชาที่ใช้เอาชนะพวกโจรสลัดเมื่อครานั้นหรือ ?”
“ถูกต้อง”
“มันใช้ต่อสู้ในน้ำดี แต่ไม่ดีเท่าเมื่อใช้บนบก เอามาให้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ?”
“ตรงกันข้ามเลย มันจะมีประโยชน์มาก” ซูเฉินตอบ “ทำไมอารามนิรันดร์ต้องสู้กันบนบกด้วยเล่า ? นี่ท่ายังคิดก่อเรื่องให้อาณาจักรหลงซางอีกหรือ ? ในฐานกลุ่มใต้ดินเช่นพวกท่าน การเอาตัวรอดคือสิ่งสำคัญที่สุดสิ ? สสารต้นกำเนิดปลามังกรจะทำให้พวกท่านเป็นดั่งปลาในน้ำได้ ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นก็คล้ายกับสวนหย่อมให้เดินเล่น ทวีปนี้มีที่ใดขาดน้ำบ้าง ? หากมีท้องน้ำจะไปที่ใดย่อมได้ แม้จะไม่ได้แกร่งขึ้น แต่ก็จะทำให้พวกท่านปลอดภัยขึ้นแน่ !”
“เช่นนั้นมอบสสารเงาไม่มีเหตุผลกว่าหรือ แบบนั้นน่าจะปลอดภัยมากกว่า”
“แต่นั่นก็ใช้สังหารได้ ข้ามอบสิ่งที่พวกท่านเอาไปใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคนไม่ได้ให้ยังดีกว่า เมื่อครั้งเนินกลบวิญญาณก็เช่นกัน และตอนนี้ก็จะยังเหมือนเดิม”
“ชีวิตเจ้าตกอยู่ในอันตราย ยังมาห่วงเรื่องเหล่านี้อยู่อีก ?”
“แล้วไม่จำเป็นได้หรือ ? ถึงจะอยู่ใจกลางแดนศัตรู ข้าก็จะยังยึดถือเช่นนี้ แค่จะออกเดินทางเท่านี้ไม่เท่าไหร่หรอก เช่นนี้เรียกว่าหลักการ หากข้ายอมแพ้ไปง่าย ๆ จะเป็นไปด้วยเหตุผลอะไรกัน ?”
ฉือหมิงเฟิงได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก “อย่างไรก็เถอะ ท่านเสนอให้เราน้อยเกินไป การแลกเปลี่ยนนี้ ฝ่ายพวกข้านับว่าเสียเปรียบเกินเหตุ”
“หากเป็นเพลิงทมิฬคงจะไม่พูดเช่นนี้”
“เพลิงทมิฬหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงอึ้งไป
เพลิงทมิฬคือกลุ่มผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่าที่ตั้งอยู่ในเขตแดนเผ่าท้องสมุทร เห็นได้ชัดว่าเป็นแดนที่เต็มไปด้วยท้องน้ำ น่าเสียดายที่เผ่าอาร์คาน่ากลุ่มนั้น กว่าจะเอาตัวรอดในเผ่าท้องสมุทรช่างยากลำบากนัก ดังนั้นจึงมักอาศัยอยู่บนเกาะ ในหมู่ห้ากลุ่มที่กระจายตัวไปตามห้าเผ่าใหญ่แล้ว พวกเขาลำบากที่สุด ตอนนี้จุดมุ่งหมายหลักของพวกเขาไม่ใช่การฟื้นฟูความรุ่งเรืองของเผ่าอาร์คาน่าแล้ว แต่เป็นการอยู่รอดต่างหาก
เป็นกลุ่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดล้วน ๆ
หากพวกเขาได้ครองวิชาที่ทำให้สามารถหายใจและเคลื่อนไหวใต้น้ำได้อย่างอิสระละก็……
ฉือหมิงเฟิงจินตนาการได้เลยว่าอีกฝ่ายจะยอมจ่ายหนักเพียงไหน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้อารามนิรันดร์นำไปมอบให้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องมาถามซูเฉินเองเท่านั้น
แม้ในแดนเผ่าท้องสมุทรจะมีชีวิตลำบาก แต่ในท้องสมุทรก็มีสมบัติอยู่ไม่ใช่น้อย
คิดแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็ถอนใจ “คุณชายซู ท่านนี่โน้มน้าวเก่ง แต่คิดจะมอบโทเทมโลหิตสลายให้เช่นนั้นเลยหรือ ?”
“ที่ข้าคิดมันขึ้นมาตั้งแต่แรกก็เพื่อเสริมความแกร่งให้เผ่ามนุษย์อยู่แล้ว เท่ากับว่าช่วยคลายความกังวลของข้าลงได้บ้าง”
“เท่านั้นหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงไม่เชื่อ
“แล้วก็ช่วงนี้ข้าใช้เงินเยอะ”
“…”
“เช่นนั้นก็ได้” ฉือหมิงเฟิงว่า
แล้วเรื่องก็จบลงเช่นนั้น
ซูเฉินจึงเดินออกจากห้องไป ตรงไปยังกองทัพหมอกสวรรค์
ค่ายหลักกองทัพหมอกสวรรค์อยู่ทางใต้ของเมือง เมื่อมาถึง ซูเฉินก็มองทหารเฝ้ายามแล้วเอ่ยคำ “ซูเฉินมาทักทายต้วนเจียงซานกับต้วนชวีฉาง”
เซียวเฟยหนานเป็นผู้บัญชาการกองทัพหมอกสวรรค์ มีตำแหน่งค่อนข้างสูง ไม่ใช่ใครก็เข้าพบได้ ดังนั้นซูเฉินถึงต้องหาตัวต้วนเจียงซาน
เขารู้ว่าต้วนเจียงซานเป็นที่โปรดปรานของเซียวเฟยหนาน ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้ากอง นำทหารสามร้อยนาย นับว่าเลื่อนขั้นรวดเร็วไม่น้อย
ระหว่างพูด ซูเฉินก็ยัดหินพลังใส่มือเขาไปหลายก้อน
ทหารผู้นั้นวิ่งฉิวไปทำงานให้ซูเฉินอย่างมีความสุขเนื่องจากได้รับผลประโยชน์จับต้องได้ ไม่นานต้วนเจียงซานก็โผล่มา
ทัศนคติที่ไร้กังวลของเขาในตอนนั้นก็เหมือนเดิม เมื่อเห็นซูเฉินจากไกล ๆ ก็ตะโกนนำมาก่อน “ตอนได้ยินว่าซูเฉินน้อยมาหาข้า ข้าก็ไม่เชื่อหรอก แต่ดูเจ้าเข้าสิ ! เจ้ามาจริง ๆ ด้วย ลมอะไรหอบมากัน ?”
“ลมพายุคลั่ง” ซูเฉินตอบ “พายุคลั่งที่มาจากทางเหนือ”
ต้วนเจียงซานชะงักไปเล็กน้อยก่อนเข้าใจ “ฉือไคฮวง ?”
ซูเฉินพยักหน้า
ต้วนเจียงซานเอามือคล้องคอซูเฉิน “ตามข้ากลับค่ายก่อน ข้าบอกอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องไปหาแม่ทัพเซียว แม่ทัพเซียวประทับใจเจ้านัก ยังพูดถึงเจ้าเป็นบางครั้ง ตอนรั้งเจ้าไม่อยู่ก็เสียใจไม่น้อย เจ้ามานี่เขาต้องดีใจแน่”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูเฉินก็ได้ทักทายเซียวเฟยหนานในค่ายทหาร
เซียวเฟยหนานเพิ่งกลับจากการออกสำรวจ ร่องรอยความล้ายังระบายทั่วหน้า เมื่อเห็นซูเฉินก็พยักหน้าทัก “ข้ารู้สาเหตุที่เจ้ามาแล้ว น่าเสียดายที่ช่วยเจ้าไม่ได้ เมื่อตอนกองทัพกำลังสวรรค์หายไปคราแรก ข้าขอให้ส่งทัพเสริมไปช่วยหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธทุกครา……”
ซูเฉินตอบ “แม่ทัพเซียวเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาขอให้ท่านส่งทัพให้ข้า ข้ารู้ว่าการที่ปราการลุ่มน้ำทองจะส่งกำลังเสริมไปช่วยในเวลาเช่นนี้มันยากลำบากมาก”
“อ้อ ? เช่นนั้นมาทำไมเล่า ?” เซียวเฟยหนานชะงักไปเล็กน้อย
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าใครสั่งให้กองทัพกำลังสวรรค์โจมตี”