ภาคที่ 4 บทที่ 101 ต้นสายปลายเหตุ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 101 ต้นสายปลายเหตุ

ใครสั่งให้กองทัพกำลังสวรรค์โจมตีกัน ?

นี่เป็นคำถามที่ซูเฉินครุ่นคิดมานานหลายวัน

หลายพันปีที่ปราการลุ่มน้ำทองตั้งอยู่ พวกเขาไม่ค่อยส่งกำลังออกไปโจมตีเท่าไรนัก ความรับผิดชอบหลักของพวกเขาคือการป้องกัน แต่หากโจมตีขึ้นมา กลยุทธ์หลักย่อมเป็นการโต้กลับด้วยกำลังคนจำนวนมากเพื่อชิงเอาดินแดนที่เสียไปคืน ไม่ใช่ส่งกองพันหนึ่งออกมาสู้เช่นนี้

กระนั้นก็เป็นทหารหนึ่งกองพันที่มีหน้าที่ป้องกันเผ่าคนเถื่อนที่ถูกส่งออกไปยังทุ่งหญ้าฮาเหวย ไม่ว่าซูเฉินคิดอย่างไรก็แปลก

เขาจึงมาหาเซียวเฟยหนาน ไม่ใช่เพื่อขอกำลังเสริม แต่เพื่อถามเรื่องที่เกิดขึ้นต่างหาก

เซียวเฟยหนานเจอคำถามซูเฉินไปก็นิ่งเงียบอยู่นาน “รองผู้บัญชาการหลินเหวินจวิ้นเป็นคนเสนอและผู้บัญชาการตอบตกลง”

“รองผู้บัญชาการหลินเหวินจวิ้น ?” ซูเฉินอึ้งไป “ไม่ใช่ว่าแม่ทัพหลงพั่วจวินเป็นรองผู้บัญชาการของกองกำลังกวาดล้างเผ่าคนเถื่อนหรอกหรือ ?”

หลงพั่วจวินเป็นอีกหนึ่งคนที่พิเศษ

เขาเองก็ไร้สายเลือดเหมือนซูเฉิน

หลงพั่วจวินได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมามากมายแม้ไร้สายเลือด ในช่วงการสอบระดับภาค เขาโผล่มาจากไหนไม่อาจรู้ กวาดเอาคะแนนจากคนอื่น ๆ ไปหมดจนได้อันดับหนึ่งมา เป็นเพราะยามโจมตีจะมีควันดำคลุ้งโขมงไปทั่วฟ้า ทำให้ได้สมญานาม ‘ตะวันมืด’ มา ชื่อเสียงขจรไกลทั่วอาณาจักรหลงซาง ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เข้าเรียนที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นและเอาชนะใครก็ตามที่ท้าทายเขาได้เรื่อย ๆ เขาดูราวกับไม่อาจโค่นได้ ไม่นานก็จบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นด้วยลำดับต้น ด้วยผลงานและรางวัลที่สั่งสมมาเหนือกว่าซูเฉินมาก เพราะอย่างไรชายหนุ่มก็ได้เพียงลำดับที่ห้าในการสอบมณฑลสามเทือกเขา ทั้งยังไม่ได้มีลำดับอะไรโดดเด่นยามอยู่ในสถาบัน เพียงแต่แสดงความสามารถเล็กน้อยยามเดินทางเข้าซากโบราณลุ่มน้ำทอง ทว่าที่เอาชนะมาได้ก็เพราะมันสมองไม่ใช่กำลัง

หลังจบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น หลงพั่วจวินถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ และดำเนินสู่หนทางอันรุ่งโรจน์ในฐานะคนไร้สายเลือดต่อไป เขานำทหารเข้าปะทะเผ่าคนเถื่อน เอาชนะมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ทัพจะไร้ปราการสูงช่วยยามต่อสู้ แต่เขาก็ชนะครั้งแล้วครั้งเล่า หากแต่กระทั่งหลงพั่วจวินก็เอาชนะได้เพียงในการต่อสู้เท่านั้น หลังจากต่อสู้ชนะแล้วก็จะไล่ศัตรูไปไม่เท่าไหร่จากนั้นก็ถอยออกมา ไม่เคยบุกล้ำเข้าอาณาเขตศัตรูมาก่อน

เมื่อเจอคำถามของซูเฉิน เซียวเฟยหนานก็ถอนใจอีก “2 ปีก่อน รองผู้บัญชาการหลงถูกลอบโจมตีระหว่างไล่ล่าคนเถื่อน จากนั้นก็หายตัวไป จากนั้นไม่นาน รองผู้บัญชาการหลินผู้นี้ก็รับตำแหน่งของเขาในทัพกวาดล้างคนเถื่อนต่อ”

“หลินเหวินจวิ้น…… แซ่หลินหรือ ?” ซูเฉินมุ่นคิ้ว

ต้วนเจียงซานว่า “องค์รัชทายาท”

ซูเฉินชะงักไป “องค์รัชทายาทเป็นรองผู้บัญชาการ ?”

เขาพลันเข้าใจ

เจ็ดอาณาจักรมีธรรมเนียมในการตั้งรัชทายาทผู้คุมทัพเพื่อสอนวิธีปกป้องชายแดน หากแต่ผู้คุมทัพนั้นไร้อำนาจจริงใด ๆ สามารถเพียงเสนอแนะเท่านั้น

หากแต่สถานการณ์ในตอนนี้พิเศษอยู่บ้าง

รองผู้บัญชาการคนก่อนหายตัวไปยามถูกลอบโจมตี องค์รัชทายาทจึงเลื่อนขั้นจากผู้คุมทัพไปเป็นรองผู้บัญชาการ แม้ฐานะจะต่ำไปหน่อย แต่อำนาจในมือเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

ต้วนเจียงซานอธิบายครั้งนี้ทำให้ซูเฉินเข้าใจเรื่องราว

เซียวเฟยหนานถอนใจอีกครา “เรื่องที่องค์รัชทายาทกลายเป็นรองผู้บัญชาการถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลี่ยงการโจมตีโดยด่วนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วและระงับคำนินทา”

“เขาเลยส่งกองทัพกำลังสวรรค์ไปตีป้อมเล่อกู่ ? ไม่เคยตรองเลยหรือว่าป้อมเล่อกู่ฐานที่มั่นแนวหน้าต่อกรกับปราการลุ่มน้ำทองได้เพราะเหตุใด ? เขาคิดหรือว่าจะตีได้ง่ายดาย ? ไม่คิดเลยหรือว่าตีได้มาแล้วจะคุ้มกันมันอย่างไร ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น

เซียวเฟยหนาน ตอบ “ย่อมคิดแล้ว ทว่าการป้องกันของป้อมเล่อกู่และจำนวนทหารประจำการนั้นด้อยกว่าเรามาก เมื่อนับรวมกับการที่เผ่าหมาป่าแดงพ่ายแพ้และเสียขวัญกำลังใจไป พวกนั้นอาจคุ้มกันไม่ได้ รองผู้บัญชาการจึงวางทฤษฎีซุ่มโจมตีไว้ว่าไม่น่ายากเย็นนัก แม้แต่พวกข้าในตอนนั้นก็คิดว่ามันอาจเป็นไปได้”

ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น “ตีป้อมเล่อกู่อาจไม่ยากเพราะเผ่าคนเถื่อนต้านการโจมตีเราไม่ไหว นับพันปีมา เผ่าคนเถื่อนเป็นฝ่ายรุก อาณาจักรหลงซางเป็นฝ่ายรับมาตลอด พวกเขาไม่กลัวที่จะรุดหน้าออกมา แต่กลัวว่าเราจะไม่ออกไปเลยต่างหาก จึงแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่วางกำลังป้องกันไว้ในป้อมเล่อกู่มากมาย หากเราโจมตีที่นั่นก็นับว่าตกหลุมพรางมัน เพราะการตั้งรับในสถานที่เช่นนั้นยากกว่าตั้งรับที่ปราการลุ่มน้ำทองหลายเท่า”

เซียวเฟยหนานพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เราไม่คิดจะคุ้มกันป้อมนั่นนาน เพียงแต่อยากฉวยโอกาสปล้นสะดมเท่านั้น แค่ป้องกันไว้ชั่วคราว ไม่คิดจะรั้งไว้นาน เป็นแผนที่เป็นไปได้”

ซูเฉินครางฮึ่ม “แผนการที่นำมาซึ่งหายนะทั้งหลายก็ฟังดูดีทั้งนั้นจนกระทั่งเรื่องมันกลับตาลปัตรขึ้นมา”

“ก็ใช่” เซียวเฟยหนาน ถอนใจแล้วยกมือกุมหน้าผาก “เราเองก็ไม่คิดว่าพอตีป้อมเล่อกู่ได้แล้ว ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดจะพลันปรากฏตัว บางทีพวกมันอาจซุ่มรอเวลามาแล้วก็เป็นได้ รอให้กองทัพกำลังสวรรค์ยึดป้อมเล่อกู่ได้ กองทัพกำลังสวรรค์กัดฟันสู้เพื่อป้อม ไม่ทันรู้ว่าตนเองหลดเข้าตาข่ายดักปลาไปแล้ว”

“หลังจากนั้นเล่า ?”

“ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดทำการซุ่มโจมตีตลอดทางไปปราการลุ่มน้ำทอง กองทัพกำลังสวรรค์รับมือไม่ได้ ถูกบีบให้เดินหน้าลึกเข้าทุ่งหญ้าไป หนีจากวงล้อมได้หวุดหวิด หากแต่ก็ถูกบีบเข้าเขตแดนศัตรู ไม่เหลือทางหนีแล้ว ไม่มีใครรู้สถานการณ์ด้านนั้นเลย”

“แล้วองค์รัชทายาท ? รองผู้บัญชาการหลินเล่า ?” ซูเฉินถาม

“เขาหรือ ?” เซียวเฟยหนานหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก “เขาคิดว่ามันสมองเขาหาใครเทียม มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง มั่นใจเป็นหนักหนา แต่พอปัญหาผุดขึ้นมาก็ลนลาน เขาเป็นคนที่ปฏิเสธไม่ให้ส่งทหารสักคนจากปราการลุ่มน้ำทองไปเสริมทัพ”

“กระทั่งผู้บัญชาการยังขัดไม่ได้ ?”

“เขาเป็นองค์รัชทายาทนะ !” เซียวเฟยหนานเอ่ยเสียงทุ้ม

ซูเฉินเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทผู้นี้มาบ้าง

แท้จริงก็ไม่ใช่คนโง่เสียทีเดียว มีสมองอยู่บ้าง ความสำเร็จสองสามครั้งสร้างคลื่นลมเล็ก ๆ ได้บ้าง

ทว่าคนโง่จริง ๆ นั้นไม่น่ากลัวนัก เพราะพวกนั้นหลอกง่าย ทั้งยังมีความทะเยอทะยานไม่มากมาย ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกที่ฉลาดอยู่บ้างแต่เชื่อว่าตัวเองฉลาดเกินจริง ทั้งยังมีความใฝ่สูงมากมาย

คนเช่นนี้มักประเมินความสามารถตนสูงเกินไป ยิ่งควบกับฐานะและความทะเยอทะยานสูงส่งแล้วด้วย ยิ่งเกิดเรื่องผิดพลาดได้บ้าง แต่ได้บ้างของเขานั่นล่ะมักกลายเป็นความพินาศ

หลินเหวินจวิ้นนั้นมุ่งจะพิสูจน์ตนเองมากเกินไป

เขาจึงเร่งกระตุ้นให้กองทัพกำลังสวรรค์โจมตี จากนั้นก็ทำตัวขลาดอยู่ที่แนวหน้า ไม่กล้ารับผิดชอบกับผลที่ตามมา ดังนั้นจึงประกาศออกไปว่ากองทัพกำลังสวรรค์ลงมือทำเอง คนคนนี้และวิถีการทำสิ่งต่าง ๆ ของเขาน่าชังไม่น้อยเชียว

ทว่าก็ไม่แน่ว่าคนที่คิดตัดสินใจเป็นเขาคนเดียวหรือไม่ อาจมีมือมืดหลังม่านชักใยหมายทำร้ายฉือไคฮวงอยู่เบื้องหลังหรือไรยังไม่อาจรู้ได้

ซูเฉินไม่รู้ แต่หลังจากรู้ว่าหลินเหวินจวิ้นคือต้นสายปลายเหตุแล้ว เขาก็รู้แล้วว่าตนเองควรทำอะไร

ในตอนนี้ จุดมุ่งหมายหลักของเขาคือการช่วยกองทัพกำลังสวรรค์

ระหว่างครุ่นคิด ซูเฉินเอ่ยกับเซียวเฟยหนานขึ้นว่า “นอกจากหาคนสั่งการแล้ว ข้ายังมีกิจที่อยากคุยกับแม่ทัพเซียว ท่านสนใจหรือไม่ ?”