สำหรับเครื่องรางหยกเหล่านี้แล้ว ราคา 150,000 หยวน ถือว่าไม่ต่ำเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนกับอวี๋เหล่าป่านเกิดกรณีพิพาทแล้ว ในตลาดมืดนี้ อย่างมากก็สามารถซื้อได้ในราคาสองหรือสามหมื่นหยวนเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเมื่อเถ้าแก่อวี๋เปิดราคาดังกล่าวออกมาแล้ว ผู้ที่เข้ามายุ่งในระหว่างนั้น ก็ลดธงลงทันที เขาแค่ต้องการซื้อและทำกำไรเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าราคาสูงมากแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมอีกต่อไป
“อวี๋เหล่าป่านเสนอราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนครั้งที่หนึ่ง มีเถ้าแก่ทานใดที่ยังต้องการเสนอราคาต่อไปหรือไม่?หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน ครั้งที่สอง”
สำหรับมุมมองของผู้ขายทอดตลาดแล้ว หยกเซ่นไหว้เหล่านี้ ราคาสูงสุดของมันก็คงเท่านี้แหละ และถ้าอวี๋คู่ขายออกไป จะได้กำไรหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง
ดังนั้นผู้ดำเนินการประมูลจึงต้องการเห็นว่าคนอื่นจะไม่ประมูลอีกต่อไป เวลาพูดมักจะพูดอย่างรวดเร็ว ส่วนค้อนก็ชูไว้สูงๆ
“หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ฉันให้ หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ”
แต่ทว่าเมื่อผู้จัดประมูลกำลังจะวางค้อน เสียงของเยี่ยเทียนดังขึ้นอีกครั้งและเขาไม่ได้เพิ่มราคาเท่าไหร่ เพิ่มเพียงหนึ่งหมื่นหยวน แต่มันก็ทำให้อวี๋คู่รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนไม่ได้ตื่นตระหนกกับเงิน ถ้าเขาสามารถประหยัดได้เพียงเล็กน้อยเขาก็จะประหยัด เขาตั้งใจและตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอวี่คู่จะเสนอราคาเท่าใดก็ตาม ตราบใดที่ไม่เกินหนึ่งล้านเยี่ยเทียนจะเพิ่มทีละหมื่น
ถ้าอวี่คู่ต้องการแข่งขันราคาจริงๆ และเสนอราคาหยกเหล่านี้เกินหนึ่งล้าน ทั้งสองคนจะกลายเป็นศัตรูกัน และเยี่ยเทียนก็จะไม่เสนอราคาต่อ แต่จะใช้วิธีการทางยุทธภพเพื่อแก้ปัญหานี้
“หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคาที่ หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ไม่ทราบว่าเถ้าแก่อวี๋จะเสนอราคาอีกครั้งหรือไม่?”
การเสนอราคาของเยี่ยเทียนทำให้ผู้จัดตกใจเล็กน้อย แต่ก็มีเจตนาไม่ดีโดยการดึงความเกลียดชังและการสู้ราคาไปให้กับอวี่คู่แทน เขาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ หากเป็นการประมูลอย่างเป็นทางการ
“หนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน !”
เดิมที อวี่คู่ ไม่ได้วางแผนที่จะเสนอราคาเพิ่มอีก เพราะในใจของเขาหยกเหล่านี้สามารถซื้อได้สูงสุดที่ราคา หนึ่งแสนหกห้าหยวนถึงราคาหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน หรือมากสุดที่ราคา หนึ่งแสนแปดหมื่นหยวนเท่านั้น เพราะราคานี้มันก็ซื้อขายอย่างขาดทุนแล้ว
อย่างไรก็ตามคำพูดของผู้จัดประมูลเป็นแรงกระตุ้นให้กับเถ้าแก่อวี่ และก่อนนั้นก็คุยโม้ต่อหน้าเพื่อน ๆในวงการเดียวกันไปแล้ว ฉนั้นแม้หัวชนฝาแล้วก็ต้องเพิ่มราคาประมูลอีก สองหมื่นหยวน
“ฉันให้หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน !”เยี่ยเทียนไม่ลังเลที่จะเรียกราคาใหม่ แต่เสียงของเขายังอยู่ในระดับปานกลางเขาไม่ต้องการที่จะกระตุ้นให้เถ้าแก่อวี๋ประมูลแข่งกับตัวเอง นั่นคือท่าทีของผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเขาทำกัน
“สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคา หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ดูเหมือนว่าเขาชื่นชอบชิ้นหยกโบราณเหล่านี้มาก หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่หนึ่ง!
ผู้ดำเนินการประมูลสูญเสียน้ำลายของเขา ในขณะที่มองไปที่เถ้าแก่อวี่ที่สีหน้าแดงเล็กน้อย ได้กระตุ้นเขาเพียงครู่เดียว และสามารถดึงราคาขึ้นหลายหมื่น ค่าคอมมิชชั่นของผู้จัดประมูลนั้นก็จะสูงขึ้นมากเช่นกัน
“แม่งเอ่ย มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเรียก!”
เถ้าแก่อวี่ทำทีว่าไม่เห็นสายตาของผู้ดำเนินการประมูล สมองของเขาก็ไม่ได้ป่วยนะ ถ้าเยี่ยเทียนสู้ราคาต่อไปอีก แม้ว่าจะขายกลับไป คาดว่าจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเขาในภายหลัง
“หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่สอง หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่ … “ผู้จัดประมูลรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นว่าเถ้าแก่อวี่เหมือนเต่าหัวหด แต่การประมูลยังดำเนินต่อไปและเขากำลังจะจบการประมูลด้วยค้อนในมือ
อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอ เมื่อค้อนของผู้จัดประมูลกำลังจะวางลง ก็มีเสียงดังขึ้นว่า
“สองแสนหยวน!”
ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะไม่ดังแต่มันก็แน่วแน่มาก และมันถึงหูผู้ฟังทุกคนอย่างชัดเจน
การตอบสนองของผู้จัดประมูลนั้นค่อนข้างรวดเร็ว ทันใดที่ยิน แขนของเขาก็เลี้ยวออกไปตามขอบโต๊ะ เพื่อปกปิดการทำอะไรไม่ถูก เขาไม่แม้แต่จะเห็นหน้าผู้ประมูล ก็ตะโกนว่า ” สองแสนหยวน!นี่ … สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคาสองแสนหยวน!”
“ใครเป็นผู้เสนอราคา?”
“หยกชิ้นนี้มีมูลค่ามากขนาดนี้เลยหรือ?นี่เป็นเพียงหยกเมล็ดพืชไม่กี่อันไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสิ หรือราคาของตลาดหยกจะสูงขึ้น? แต่ก็ไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ?”
ไม่เพียงแต่ผู้จัดประมูลตกตะลึง เกือบทุกคนในนั้นยังสงสัยในเรื่องของราคา บ้างกระซิบขณะที่มองหาผู้ประมูลในฝูงชน บ้างมองหาผู้ที่เสนอราคานั้น
“เขานั่นเอง?เด็กคนนี้จะมาทำให้เหตุการณ์ตื่นเต้นอีกทำไมกัน?”
หูของเยี่ยเทียนนั้นดีมาก เพียงแค่เขาได้ยินเสียงประโยคแรกของผู้นั้น ก็สามารถจดจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร แม้ว่าคน ๆ นั้นจะพูดเพียงสองคำว่า “สองแสนหยวน” เยี่ยเทียนยังจำได้ถึงตัวตนของเขาคนนั้น
บุคคลนี้คือ”โจวเซี่ยวเทียน” คนที่ขายโคมไฟนกกระจอกให้กับเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินและรู้ว่าเป็นเขา เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะราคาที่โจวเซี่ยวเทียนกล่าวมานั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะรู้แล้วว่าหยกเหล่านี้คืออะไร
“สามแสนหยวน !”
ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้เพิ่มทีละหมื่นแล้ว เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ถึงคุณค่าของสิ่งนี้ เขาจะใช้เงินจนหมดกระเป๋าของเขาแน่นอน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเปิดราคาเป็น สามแสนหยวนทันที
“เด็กคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ? หยกเหล่านี้ไม่คุ้มกับราคานี้เลยนะ!”
“จริงอยู่ว่ามันเป็นหยกโบราณ แต่ราคาของมันก็ไม่น่าสูงขนาดนี้นะ?”
“หรือว่าหยกนี้มีค่าจริงๆ? มีบางอย่างที่เราไม่เข้าใจใช่ไหม?”
“เอาสิ ยิ่งเสนอราคามากเท่าไหร่ก็ยิ่งจ่ายมากขึ้น เยี่ยตงผิงเป็นคนฉลาดคนนึงเลยนะ แต่ทำไมให้กำเนิดลูกชายที่โง่เช่นนี้?”
หลังจากเยี่ยเทียนได้เสนอราคาไปแล้ว ทุกคนในนั้นต่างก็แสดงความคิดที่หลากหลาย บ้างก็ไม่เข้าใจเหตุผล และมีผู้ที่ยินดีปรีดากับความโชคร้ายของคนอื่นอย่างอวี๋คู่
และยังมีบางคนที่จ้องมองหยกเหล่านั้น ขมวดคิ้วเพื่อดูความพิเศษของมันบางอย่าง เมื่อพวกเขาเข้าไปในนี้แล้วไม่มีใครโง่และไม่มีใครจะนำเงินมาผลาญเล่นแน่
“สามแสนห้าหมื่นหยวน !”
โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนยิ้มอย่างขอโทษแก่เยี่ยเทียน แต่ราคาที่อยากเสนอก็ยังคงถูกเสนออกไป เป็นไปอย่างที่เยี่ยเทียนคิด ว่าเขาเห็นความพิเศษของหยกเหล่านี้
พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ไม่ใช่โจวเซี่ยวเทียนมองออก แต่เป็นเข็มทิศในปลอกแขนของเขาที่ชักนำให้รู้
ข้อพิพาทระหว่าง เยี่ยเทียนและอวี่คู่ ก็ถูกมองเห็นโดยโจวเซี่ยวเทียนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ในความอยากรู้อยากเห็น หลังจากรอให้ทั้งสองออกไปเขาก็ไปที่บูธของชายชราเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
โจวเซี่ยวเทียนเองไม่มีความสามารถในการสื่อสารเรื่องพลังชี่ดั้งเดิม และเขาไม่สามารถรู้ถึงความวุ่นวายของพลัง แต่เมื่อเขาหยิบหยกเหล่านั้นขึ้นมา ตัวชี้เข็มทิศในปลอกมือก็หมุนไปมาอย่างดุเดือด
ถ้าพูดในทางวิทยาศาสตร์ เข็มทิศเป็นเครื่องมือที่ใช้เข็มแม่เหล็กเพื่อกำหนดตำแหน่งแม่เหล็ก แต่ว่าในสายตาของหมอดูฮวงจุ้ย เข็มทิศเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความชั่วร้าย และการชี้เข็มแม่เหล็กนั้นแทนความหมายต่าง ๆ
ในความเป็นจริงโจวเซี่ยวเทียนรู้มานานว่าโคมไฟทองแดงที่เขาขายเป็นวัตถุที่มีพลังพิฆาต ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขายอมพูดหลังจากที่เยี่ยเทียนถามชื่อของเขา
แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะมีความเชี่ยวชาญภูมิลักษณ์ฮวงจุ้ยพยากรณ์ แต่ด้วยเหตุผลต่างๆทำให้เขาไม่ทำอาชีพนี้ แต่กลับไปทำด้านการโจรกรรมสุสาน…
ด้านความคิดของโจวเซี่ยวเทียน หากเยี่ยเทียนประสบปัญหาในอนาคตเพราะโคมไฟนกกระจอกชาด จะต้องไปหาเขาผ่านจี่หรานแน่นอน ธุรกิจก็จะเพิ่มมากขึ้น บวกกับความต้องการเงินด่วนของเขา ทำให้เขาตกลงขายโคมไฟนกกระจอกชาดในราคา สามหมื่นหยวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นของขลังหยกเหล่านี้แล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็รู้เลยว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนธรรมดา สามารถแยกความแตกต่างของหยินและหยางของหยกเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วจะไม่รู้จักอาวุธสังหารของเขาได้หรือ?
“สามแสนห้า สุภาพบุรุษคนนี้เสนอราคาสามแสนห้าหมื่น มิตรสหายท่านนั้นคุณยังต้องการเสนอราคาเพิ่มมั้ยครับ?”
เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนสองคนกำลังแย่งกันประมูลสิ่งของเหล่านี้ แม้ว่าผู้ดำเนินการประมูลจะรู้สึกงุนงงกับการประมูลครั้งนี้แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป
“ฉันประมูลห้าแสนหยวน !”
เยี่ยเทียนก็เริ่มกดดัน ทีแรกเขาคิดว่าจ่ายสองแสนหยวนก็จะได้ของเหล่านี้มาแล้ว แต่เมื่อถึงครึ่งทางแล้วกลับเจอคู่แข่งตัวตัวฉกาจ และเขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จะหยุดที่หนึ่งล้านได้หรือไม่ เยี่ยเทียนเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนไม่คาดคิดก็คือ หลังจากที่เขาเสนอราคา ห้าแสนหยวน โจวเซี่ยวเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ได้ ของเหล่านั้นเป็นของคุณแล้ว!”
“คุณไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้วเหรอ?” เยี่ยเทียนได้ฟังแล้วก็ตกตะลึง เพราะในความคิดของเขานั้นสิ่งของเหล่านี้ ถ้าต้องประมูลจนถึงที่สิบล้านหยวนก็จะออมมือไม่ได้เลย
แต่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถประมูลถึงสิบล้านได้เหมือนกัน เหตุผลหลักที่ทำให้โจวเซี่ยวเทียนยอมแพ้การประมูลราคาก็คือเขาไม่มีเงินแล้ว
โจวเซี่ยวเทียนไม่มีความสามารถแม้แต่จะแย่งชิงได้ถึง สามแสนห้าหมื่นหยวน แต่ที่เขากล้าที่จะประมูลเพราะเขาสามารถยืม สามแสนหยวนจากจี่หรัน รวมกับที่ตนสามารถควักเองอีก สามหมื่นหยวน ฉนั้นเขาสามารถมารวมกันได้มากเพียงนี้
อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจของขลังนี้
แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะรู้สึกถึงความพิเศษของหินหยกเหล่านี้ แต่เขาเองก็เป็นผู้ดูฮวงจุ้ยให้ผู้คนในชนบท และเขาก็ยังไม่ได้รับการเชื่อถือ ระดับการติดต่อไม่เพียงพอ และเขาก็ไม่ทราบถึงคุณค่าที่แท้จริงของหินหยกเหล่านี้
เช่นเดียวกับเยี่ยเทียน หากไม่ใช่เพราะเมื่อครั้งแรกที่เขาไปขายของขลังแล้วได้พบกับถังเหวินหยวน ของขลังชิ้นแรกของเขาก็น่าจะขายได้เพียงแสนกว่าๆเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนจะไม่มั่นใจในการเสนอราคาสำหรับวัตถุเหล่านี้ในตอนนี้
“ห้าแสนหยวน !สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคา ห้าแสนหยวน ฉันคิดว่า นี่เป็นการประมูลที่ไม่คาดคิดมากที่สุดในวันนี้ เชื่อว่าไม่มีใครจะประมูลอีกแล้ว ห้าแสนหยวน ราคาสุดท้าย เชิญทั้งสองท่านเข้าไปข้างในเพื่อแลกเปลี่ยน!”
การขายครั้งนี้ทำให้ดำเนินการผู้ประมูลไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนไม่ประมูลอีก เขาได้ลัดขั้นตอนการสอบถามสองครั้งด้วยซ้ำ และจัดการกับค้อนโดยตรง
แม้ว่ากระบวนการประมูลจะลัดขั้นตอน แต่เยี่ยเทียนก็ยังมีความสุขมากที่ได้วัตถุเหล่านี้มา อย่างน้อยของที่ต้องใช้ในค่ายกลเรือนสี่ประสานก็ไม่ขาดหายไป อย่าว่าแต่ห้าแสนหยวนเลย หนึ่งล้านเยี่ยเทียนก็ยินดีจ่าย
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนไม่รู้สึกไม่โกรธกับเรื่องนี้ เพราะเปลี่ยนเป็นเขาถ้าเห็นสิ่งของเหล่านี้แล้ว เขาเองก็จะอดไม่ได้ที่จะแย่งชิง
หลังจากผู้ดำเนินการประมูลประกาศราคาสุดท้ายและสิ้นสุดการประมูล เยี่ยเทียนไม่ได้ไปที่ห้องโดยตรง แต่เดินไปตรงหน้าโจวเซี่ยวเทียน และมอบนามบัตรของพ่อให้เขาแล้วพูดว่า ” พี่โจว นี่เป็นนามบัตรของพ่อผม หวังว่าคุณจะติดต่อกับผม”
นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเริ่มเดินสายนี้ นอกเหนือจากหนึ่งในแก๊งโจรกรรมสุสานที่มีความรู้ความสามารถในวิชาแล้ว นี่เป็นคนแรกที่เขาได้พบว่าเป็นผู้รู้ของขลังฮวงจุ้ย ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงอยากพูดคุยกับเขาด้วย
“ได้สิ แน่นอน!” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้ากับโอกาสทอง
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกมือ แล้วเดินไปที่ห้องด้านหลังกับตาแก่ที่ถือหยก แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินสดเลย เขากำลังคิดว่าจะโน้มน้าวให้ชายชรายอมรับการโอนได้อย่างไร