ตอนที่ 387 ละครสนุกที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง + ตอนที่ 388 การเพ้อฝันอย่างหนึ่งของเด็กโง่

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 387 ละครสนุกที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง + ตอนที่ 388 การเพ้อฝันอย่างหนึ่งของเด็กโง่ โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 387 ละครสนุกที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง

อู่เจิ้งซือมีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปมาก คำพูดของอู่เหมยได้เตือนสติเขาไว้ คืนวันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไปเยอะมาก สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เหมือนกับตอนปกติ ทำให้เขาไม่ได้ระวังอะไรมาก น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้ก็ดังเสียยิ่งกว่าตอนปกติ

ตอนนี้ความเป็นไปได้ก็คงจะเป็นเพราะเพื่อนข้างบ้านที่อยู่ตรงระเบียงได้ยินเข้า จากนั้นก็กระจายข่าวต่อๆ ไป ขนาดรอบนอกของโรงเรียนยังรู้เรื่องนี้

อู่เจิ้งซือส่ายหน้าไปมาอย่างอารมณ์เสีย อุบัติเหตุจากการดื่มเหล้า!

เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ต้องการฟังคำพูดของอู่เหมย เธอมั่นใจแน่วแน่มากว่าต้องเป็นยัยเด็กบ้านี่ที่เอาเรื่องไปบอกคนอื่น เธอจะต้องระบายอารมณ์กับยายเด็กนี่แทนอู่เยวี่ย เธอยกไม้ขนไก่ขึ้นและวิ่งไล่ตีอู่เหมย

“หนูบอกแล้วว่าไม่ใช่หนู ทำไมถึงยังจะตีหนูอีก? ตอนที่พี่ขโมยของทำไมหนูไม่เห็นแม่จะตีพี่เลย?”

อู่เหมยเปิดประตูออกในทันที และมุดออกจากประตูไป เธอตะโกนร้องเสียงหลง จนเป็นที่สะดุดตาของหลายๆ คนที่อยู่บริเวณระเบียง ทำให้ทุกคนต่างทำกับข้าวไปด้วยและได้ดูละครสนุกๆ ไปด้วย ช่วงนี้ตระกูลอู่ถือว่ามีละครสนุกๆ ที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง!

อีกทั้งยังได้ยินมาว่าวันนี้ลูกสาวคนโตของตระกูลอู่ ได้ทำเรื่องขายหน้าไว้ที่โรงเรียนด้วย นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนได้?

จิ๊ๆ อู่เยวี่ยในตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลยจริงๆ

ลูกสาวทั้งสองคนของตรระกูลนี่ช่างน่าสนใจเสียจริง ราวกับพวกเธอได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่คนโตเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ส่วนคนเล็กกลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เปรียบเสมือนว่าทั้งสองคนได้สลับกันไปหมด

อู่เจิ้งซือที่เห็นว่าอู่เหมยวิ่งหนีออกไปด้านนอกก็รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ไม่ดี และรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก ในตอนนี้ลูกสาวคนเล็กดีพร้อมทุกอย่าง แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นข้อบกพร่องคือการชอบเอาเรื่องในบ้านออกไปพูดหรือประจาน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาโกรธ

“เหมยเหมยกลับมา!” อู่เจิ้งซือใช้เสียงต่ำพูดเตือน

แน่นอนว่าอู่เหมยไม่มีทางเชื่อฟังง่ายๆ และน้ำเสียงก็ไม่มีทางลดต่ำลง “ไม่ค่ะ ถ้ากลับไปแม่ต้องตีหนูแน่ หนูจะยืนอยู่ข้างนอก”

พูดจบเธอก็ได้หันหน้าไปทางอาจารย์แม่จางที่กำลังเป็นห่วงเธออยู่ และได้ขยิบตาส่งให้ อาจารย์แม่จางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากที่เป็นห่วงเธอก็ต้องโล่งใจ ตอนนี้ยายตัวแสบไม่ได้มีนิสัยอ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก

อาจารย์แม่จางได้ยกกับข้าวเข้าบ้านไป ในเมื่อยายแสบไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เธอก็เบื่อที่จะต้องคอยดูละครฉากยักษ์นี้ ดูทุกวันจนรู้สึกเบื่อแล้ว

ในบ้านของตระกูลจางมีลูกชายคนรองจางเฟิงที่ตอนนี้ท่าทีไม่เป็นปกติ เขาเองก็เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนทดลอง แต่เขาอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม คืนนั้นคนที่อยู่ตรงระเบียงแล้วได้ยินก็คือเขา และคนที่พูดเรื่องนี้ออกไปก็คือเขา

อันที่จริงเขาแค่พูดให้เพื่อนฟังก็เท่านั้น และยังบอกเพื่อนคนนี้ว่าอย่าเอาไปพูดต่อ แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนของเขาจะเป็นพวกปากไม่มีหูรูด แค่หันหลังให้แวบเดียวก็เอาไปเล่าต่อแล้ว จากหนึ่งคนเป็นสิบคน จากสิบคนเป็นร้อยคน และจากร้อยคนเล่าต่อเป็นพันคน และตอนนี้ก็กระจายไปถึงโรงเรียนแล้วด้วย

และยิ่งเรื่องเล่ากระจายต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไม่มีที่สิ้นสุด

อู่เยวี่ยทะเลาะวิวาท อู่เหมยถูกตี ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่สิ หากพูดให้ถูกต้องคือเรื่องทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวกับตัวเขา

เขายังดีกว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มในเหตุการณ์ซาราเยโว[1]ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่ใช้ปืนแค่กระบอกเดียวในสงคราม

จางเฟิงรู้สึกผิดต่ออู่เหมย เขาเอาแต่ภาวนากับตัวเองเพื่ออู่เหมย หวังว่าเธอจะรอดพ้นจากการถูกเหอปี้อวิ๋นตี ไม่เช่นนั้นในใจของเขาต้องไม่สบายใจมากแน่

จางเฟิงที่รู้สึกไม่สบายใจมากจึงลุกเดินออกไปยังระเบียง หากว่าอู่เหมยทนไม่ไหวแล้ว เขาจะเข้าไปหาอู่เจิ้งซือเพื่อสารภาพความจริงทุกอย่าง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถยอมให้อู่เหมยเป็นแพะรับบาปแทนเขา

อู่เหมยไม่ได้สังเกตเห็นจางเฟิง อู่เจิ้งซือได้เรียกให้เธอเข้าบ้านไป เหอปี้อวิ๋นเองก็ถูกเขาด่าไปด้วย เธอจึงเดินกลับเข้าบ้านไป

จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือตั้งใจว่าจะทานข้าวให้เสร็จ แล้วค่อยจัดการเรื่องของลูกสาวทั้งสอง ลูกสาวคนโตเป็นเป้าหมายหลัก ลักษณะท่าทางของเธอในช่วงนี้แย่เอามากๆ ส่วนทางลูกสาวคนเล็กเองก็ต้องให้การอบรม เพื่อให้เธอแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องที่มักจะเอาเรื่องในบ้านออกไปพูด

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้สั่งสอนหรือตักเตือนใดๆ กลับได้รับสายจากคุณปู่อู่เรียกไปหาเพื่อสั่งสอนอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าท่าทางที่กลับมาแทบดูไม่ได้ และเขาเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาอบรมสั่งสอนลูกๆ อีก

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 388 การเพ้อฝันอย่างหนึ่งของเด็กโง่

ในเวลานี้ตระกูลเหยียนเองก็ไม่สงบ เพราะคุณย่าหยางเอาแต่ด่าว่าเหยียนหมิงต๋าเหมือนหมา คุณปู่เหยียนก็ได้สั่งสอนเขาโดยการให้ยืนทำท่าสควอช และบนหัวก็ให้วางชามที่ใส่น้ำไว้ เพื่อเป็นการสั่งสอนให้เขาหลาบจำ

การกระทำของเหยีนหมิงต๋าที่โรงเรียนนั้นเป็นดั่งชายผู้กล้าช่วยวารี เหยียนหมิงซุ่นรู้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นสยงมู่มู่เองที่ตั้งใจมาเจอกับเหยียนหมิงซุ่นตอนเลิกเรียน และได้เล่าเรื่องราวของเจ้าโง่นี่อย่างละเอียดชัดเจน

เหยียนหมิงซุ่นหมดคำพูดกับน้องชายโง่ๆ ของตัวเองแล้ว โง่เขลาจนไม่มียารักษาได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องโกรธคือกล้าที่จะมองคำพูดของเขาเป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านไป!

เหยียนหมิงซุ่นที่โกรธมากแต่กลับไม่ได้คิดที่จะลงโทษน้องชายโง่ๆ ด้วยตัวเอง แค่กลับมาที่บ้านเพื่อคุยกับคุณปู่และคุณย่า จากนั้นเติมน้ำมันและจุดไฟเพิ่มสักหน่อย แบบนั้นคนแก่ทั้งสองก็จะโกรธจนไฟลุกลามไปหลายวา

ผู้หญิงอย่างอู่เยวี่ยเป็นคนที่มีนิสัยใจคอเราะร้าย เจ้าแสบหมิงต๋านี่ก็เหมือนกันผู้หญิงดีๆ ก็ไม่ไปชอบ แต่ยังคิดจะชอบผู้หญิงไร้มนุษยธรรมอย่างอู่เยวี่ย?

แถมยังจะออกหน้าปกป้องผู้หญิงคนนี้อีก น่าโมโหนัก!

ดังนั้นจึงต้องทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเหยียนหมิงต๋า!

ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งอยู่ในบ้านอุ่นๆ และทานอาหารกลิ่นหอมฟุ้ง มีเพียงเขาที่ต้องอยู่ในสวนด้วยบรรยากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งยังต้องทำท่าสควอชและบนหัวยังต้องแบกชามที่ใส่น้ำไว้อีกด้วย หากน้ำกระเด็นออกมาแม้แต่น้อยก็จะเพิ่มระยะเวลาเข้าไปอีก

เหยียนหมิงซุ่นยกชามข้าวเดินเข้าไปยังสวน โดยในชามใบนั้นมีกระดูกหมูที่เหยียนหมิงต๋าชอบกินอยู่ เหยียหมิงต๋าดวงตาแพรวพราวมองกระดุกหมูอย่างน่าสงสาร เขากลืนน้ำลายไม่หยุด

“อยากกิน?”

เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้นเบาๆ อีกทั้งยังคีบกระดูกหมูชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเหยียนหมิงต๋าแล้วแกว่งไปมา เหยียนหมิงต๋าถูกดึงดูดด้วยความหิวโหยและน่าสงสาร แต่ภายใต้จิตสำนึกจึงทำให้เขาพยักหน้า จากนั้นก็

“เคร้ง”

ชามใบนั้นหล่นลงมา น้ำกระเซ็นออกมาจนหมด ขอบจานหมุนกระทบเป็นวงอยู่บนพื้นหลายรอบ และหมุนกลิ้งกลับไปยังเท้าของเหยียนหมิงต๋า

“ปู่ครับ หมิงต๋าทำน้ำกระเซ็นออกไปหมดแล้ว” เหยียนหมิงซุ่นตะโกนเข้าไปในบ้าน

คุณตาจึงทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ “คุกเข่าต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง!”

เหยียนหมิงต๋าเป็นดั่งเด็กตาดำๆ น่าสงสาร พระเจ้า! เขาคุกเข่าไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว หากต้องคุกเข่าต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงเขาคงได้ตายพอดี!

เขาจ้องมองผู้ร้ายตรงหน้าอย่างโกรธเคือง ในสายตามีแต่คำถามว่า เขาไม่ควรจะใช้วิธีคัดค้านต่อพี่น้องอยู่อีกหรือ?

เหยียนหมิงซุ่นได้ทำภารกิจอันเป็นเกียรติเสร็จสิ้นก็คีบเอากระดูกหมูยัดใส่ปาก เคี้ยวไปไม่กี่ครั้งก็เหลือแต่กระดูกแล้วคายกระดูกที่เกลี้ยงเกาออกมา พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และพูดขึ้น “ฝีมือการตุ๋นกระดูกหมูของย่านี่นับวันยิ่งอร่อย รสชาติดีจริงๆ”

เหยียนหมิงต๋าโกรธจนหายใจฟืดฟาด ต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน แต่ตอนนี้เขารู้ดีว่าพี่ชายกำลังจัดการเขาอยู่!

“นายความอดทนสูงไม่ใช่เหรอ? ผิดชอบชั่วดีก็คงไม่ต้องแยกแยะแล้วล่ะ ถ้างั้นนายก็ยืนต่อไปนะ ยืนจนกว่าจะคิดได้!” เหยียนหมิงซุ่นพูดด้วยเสียงเย็นชา

เหยียนหมิงต๋าตะโกนออกไปอย่างไม่พอใจ “เยวี่ยเยวี่ยเธอไม่ได้ขโมยของตั้งแต่แรก ทำไมผมถึงจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีล่ะ? เป็นเพราะพวกพี่ไม่แยกแยะเองต่างหาก!”

“คุณปู่ หมิงต๋าบอกว่าตัวเขาไม่ผิด แล้วก็ไม่พอใจด้วย!” เหยียนหมิงซุ่นตะโกนกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“ไม่พอใจก็คุกเข่าต่อไป พอใจเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้าบ้าน เหอะ!” คุณปู่ตะโกนด่าอย่างโมโห หากไม่ใช่เพราะคุณย่าหยางดึงเขาเอาไว้ เขาคงได้ออกไปตีสั่งสอนคน

ตอนแรกเหยียนหมิงซุ่นแค่ตั้งใจจะทำให้เหยียนหมิงต๋าทรมานเล็กน้อย ต่อไปเขาจะได้ตีตัวออกห่างจากอู่เยวี่ยบ้าง แต่เขาประมาทความลุ่มหลงของน้อชายโง่ๆ ที่มีต่ออู่เยวี่ยเกินไป และเขาเองก็ประมาทความดื้อรั้นของเหยียนหมิงต๋าเกินไป

เจ้าตัวเล็กนี่เริ่มต่อต้านพวกเขาขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีขาวซีดแล้วแต่ยังไม่ยอมรับออกมาว่าตัวเขาเองทำผิด เหยียนหมิงซุ่นจึงทำได้แค่ต่อยเขาจนสลบไป

หากต้องทรมานให้ไอ้เด็กนี่ยืนต่อไป ขาของเขาต้องพิการและใช้การไม่ได้แน่

ในใจของเหยียนหมิงซุ่นมีความเป็นห่วงเขาอยู่ ความรู้สึกที่หมิงต๋ามีต่ออู่เยวี่ยนั้นลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้ ต่อไปก็เกรงว่าจะได้มีแต่เรื่องทะเลาะวิวาท!

…………………………………………………………………………………………..

[1] เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันแห่งออสเตรีย