SD:บทที่ 34 : ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ได้
บริษัท เซี่ยกรุ๊ป ที่ในที่สุดก็เป็นอย่างในทุกวันนี้ มีความแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก ทุกคนที่ทำงานกับเครือ เซี่ยกรุ๊ป ตั้งแต่ผู้บริหารขั้นอาวุโส ลามยันไปถึงพนักงานธรรมดา ๆ และแม่บ้าน ไม่มีใครมีใบหน้าที่ฉาบด้วยความเคร่งขรึมและความเครียดอย่างเคย อันที่จริง ใคร ๆ ต่างก็ล้วนดูแจ่มใสและเปล่งปลั่งทั้งสิ้น
มันเพิ่งเป็นเมื่อวานเท่านั้นเอง ที่ทุกคนยังคงกังวลเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทและตัวเองกันอยู่ ไม่ว่าใครต่างก็ล้วนกลุ้มใจกับความเป็นไปได้ที่ว่าในที่สุดแล้ว ไม่ว่า เซี่ยกรุ๊ป จะเคยทรงพลังเพียงใด แต่ ณ ขณะนี้ บริษัทคงต้องเริ่มปลดพนักงานออกแล้วเพื่อความอยู่รอด ซึ่งพวกเขาคงต้องได้รับผลกระทบเป็นแน่
เซี่ย หรงหรง มีความสามารถมากจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการฟื้นฟูบริษัทที่ชะตากรรมแขวนอยู่บนเส้นด้ายและจวนเจียนใกล้จะล้มสลายเอาอยู่แล้ว เธอลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อไร้เงินลงทุนแล้ว คณะบริหารภายในบริษัทก็เริ่มวุ่นวายกันขึ้นมา
แต่ใครจะรู้เล่า เพียงหนึ่งคืนที่หมดไปกับการความพยายามอย่างกหนัก อุตสาหกรรมและธุรกิจวงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้เครือ เซี่ยกรุ๊ป ที่เคยวิตกกังวลว่าจะตายแหล่มิตายแหล่ จะฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้ง โดยไม่ใช่แค่กลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต แต่ยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นไป
ความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงทั้งหมดนี้มีความหมายอย่างไม่ต้องสงสัย…เซี่ย กรุ๊ป จะยังคงอยู่ต่อไป!
ดังนั้น พนักงานและลูกจ้างทุกคนที่ยังคงหลงเหลือ ต่างก็ล้วนดีใจเป็นล้นพ้นที่พวกเขาตัดสินใจอยู่ แทนที่จะทิ้งบริษัทไปในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เรื่องดี ๆ สุดท้ายก็มาเยือนพวกเขาแล้ว
หลังจากที่ หลิว โม่ และ ชาง เหวินหู่ เข้ามาในอาคารแล้ว พวกเขามุ่งตรงไปที่ชั้นแปด ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าวป่าวประกาศการกลับมาอีกครั้งของวงการอุตสาหกรรมภาพยนต์ของ เซี่ยกรุ๊ป ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาพยนต์ทั้งห้าเรื่องนั้นจะถูกประกาศขึ้น ณ ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงขั้นแปดแล้ว พวกเขาก็ต้องตกตะลึง
สถานที่จัดงานอัดแน่นไปด้วยผู้คน สื่อทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกระแสหลักหรือนอกกระแส ส่วนใหญ่ก็มาปรากฎตัวที่งาน ผู้คนจำนวนมากกำลังสนทนาหรือเคลื่อนที่ไปมา ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น
อาจจะเป็นเพราะพวกเขามาถึงช้าและงานแถลงข่าวได้เริ่มไปนานแล้ว เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่คนสำคัญอะไรนัก จึงไม่มีใครจับจองที่นั่งไว้ให้ ทั้งสองจึงต้องยีนที่มุมหนึ่งของห้อง แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ หลิว โม่ ก็ปลาบปลื้มเหลือล้นแล้ว ราวกับว่าความฝันสูงสุดของเธอจะมีโอกาสเป็นจริงสักที
“เห็นผู้ชายใส่แว่นบนเวทีนั่นมั้ย เขาคือ หลี่ จงไห่ ที่เคยเล่าให้เธอฟังแล้วไง จากการฟื้นตัวของวงการอุตสาหกรรมในเครือ เซี่ยกรุ๊ป แล้ว เขาจะต้องรวยเละแน่ ๆ” ชาง เหวินหู่ เองก็รู้สึกภูมิใจ เขาชี้นิ้วไปทางผู้ชายบนเวที่แล้วอธิบายให้แฟนของเขาฟัง เธอชำเลืองมองดูเขาอย่างรวดเร็ว หัวใจของเธอพลันเต้นเร็วขึ้น่
หลี่ จงไห่ ดูจะมีอายุอานามพอ ๆ กับ ชาง เหวินหู่ แต่ในสายตาของเธอ พวกเขาแตกต่างกันอย่างชัดเจน เดิมที เธอวางแผนจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศของงานอีกสักนิด แต่แผนนั้นเป็นอันต้องไป
ชาง เหวินหู่ แทบจะพุ่งไปหา หลี่ จงไห่ ด้วยความกระตือรือร้น
“ไอ้พี่จงไห่ ดูเหมือนว่าคราวนี้จะได้เลื่อนขั้น คงเพิ่มเงินเดือนซะสูงเลยซิท่า”
ชาง เหวินหู่ คว้าแขนของ หลี่ จงไห่ ทันทีที่อยู่ในระยะเอื้อมถึง และพูดกับเขาอย่างสนิทสนม
หลี่ จงไห่ พึงพอใจกับตนเองมาก ในตอนแรก เขาเตรียมหางานกับบริษัทอื่นได้แล้ว ถึงกับวางแผนว่าจะเปลี่ยนงานในอีกสองงาน แต่อย่างไม่คาดคิด บริษัท เซี่ยกรุ๊ป กลับผงาดขึ้นมาอีกครา ทำให้เขาปลาบปลี้มเป็นอย่างมาก การจัดงานแถลงข่าว ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของเขาเท่านั้น
“เลื่อนคงเลื่อนขั้นอะไรล่ะ ก็แค่งานนั่นแหละ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ภายในใจเขาแทบจะกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว
“เออนี่ เซี่ยกรุ๊ป พึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสินะ” ชาง เหวินหู่ หันไปมองรอบข้างแล้วเอ่ยถามเพื่อนด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ หลี่ จงไห่ จึงจริงจังขึ้นมา แล้วตอบเขาด้วยเสียงอันเบา “ใช่ รู้สึกว่าหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเครือจะได้รับการโอนให้อีกกลุ่มพรรคหนึ่ง แต่ฉันได้ยินมาว่าที่จริงแล้ว ไอ้กลุ่มนั้นน่ะ ประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
นั่นทำให้ทั้ง ชาง เหวินหู่ และ หลิว โม่ ประหลาดใจ กลุ่ม เซี่ยกรุ๊ป เป็นเครือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ หากมีหุ้นถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว…คน ๆ นั้นต้องมีอำนาจมากเป็นแน่
“รู้มั้ยว่าคนนั้นเป็นใคร เขาจะมาจากเมืองดงไห่รึเปล่า” ชาง เหวินหู่ ถามด้วยเสียงกระซิบ เนื่องจากเขาเกรงว่ามันอาจจะเป็นความลับก็ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน ประธานเซี่ยเองก็ยังไม่ได้เปิดเผยอะไร แต่ผู้ถือหุ้นคนใหม่จะมาถึงวันนี้ พอถึงเวลาประชุมแล้ว ก็มีแต่ผู้รับผิดชอบจากแต่ละฝ่ายที่เข้าร่วม เพราะงั้นฉันก็คงเข้าไม่ได้…”
เมื่อพูดจบ หลี่ จงไห่ กลับรู้สึกเศร้าขึ้นมา ถึงเขาจะได้รับการนับถือค่าหน้าค่าตาว่าเป็นผู้นำ แต่ก็ยังมีช่องว่างที่เขาข้ามไปไม่ได้ระหว่างตัวเขาเองและฝ่ายคณะกรรมการบริหารหลักของบริษัท เซี่ยกรุ๊ป
“เฮ้ย อย่าพึ่งท้อแท้ไป ในเมื่อตอนนี้บริษัท เซี่ยกรุ๊ป กลับมาเติบโตอีกครั้ง ตอนนี้แกแค่ต้องเติบโตไปพร้อมกับมัน”
ชาง เหวินหู่ เข้าใจดีว่าเหตุใด หลี่ จงไห่ ถึงผิดหวัง จึงรีบปลอบประโลมเขา จากนั้น ชาง เหวินหู่ จึงแนะนำตัว หลิว โม่ ที่ยืนรออยู่ข้างเขาอย่างใจจดใจจ่อ
หญิงสาวเป็นคนที่สวยอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่คิดจะเข้าสู่วงการบันเทิงแต่แรกหรอก เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเธอแล้ว ดวงตาของ หลี่ จงไห่ เปล่งประกาย ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มให้ ชาง เหวินหู่ อย่างมีเลศนัย
หลิว โม่ เห็นรอยยิ้มของชายคนนั้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่สบายใจกับการที่ ชาง เหวินหู่ กำลังกดดันเธอให้เข้าหาผู้ชายคนอื่น แต่ที่เธอทำได้ก็มีเพียงแต่ยอมรับมัน สำหรับเธอแล้ว มันก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงทนอยู่กับพวกเขาคนไหนก็ได้ ไม่แตกต่างเท่าไรนักหรอก
ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้นและคุยกันแบบสบาย ๆ หนึ่งจงใจแกล้งทำเป็นว่าตัวเองโง่ ในขณะที่อีกสองยังคงชื่นชมและอวยกันและกัน สถานการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริง
ทันใดนั้น ชาง เหวินหู่ หันไปมองรอบ ๆ และสังเกตเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กอันเป็นเครื่องแบบของคนขับแท็กซี่ที่ทางออกของสถานที่จัดงาน ชายคนนั้นมองเข้าไปข้างในราวกับว่ากำลังมองหาใครสักคนอยู่ ชาง เหวินหู่ หัวเราะเยาะเย้ย พลางที่เขามีความคิดบรรเจิดขึ้นมา
“นี่ จงไห่ ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่มันยังไงเนี่ย ถ้าใครคิดจะโผล่หัวเข้ามา มันก็เข้ามาได้หมดเรอะ นั่นมันคนขับรถแท็กซี่มาหาผู้โดยสารรึยังไง”
เขาหันไปมองหน้า หลี่ จงไห่ แล้วชี้ไปทางประตูอย่างมีเจตนา ก่อนจะปรารภบ่นขึ้น หลิว โม่ และ หลี่ จงไห่ จ้องมองไปตามทิศที่ชายอีกคนชี้
เมื่อเห็นว่าชายประหลาดดังกล่าวคือ ซู ฉิวไป่ ตัว หลิว โม่ ก็เข้าใจแผนการของ ชาง เหวินหู่ ในทันที แต่เธอก็ยั้งปากไว้ ก็ในเมื่อ ซู ฉิวไป่ ตั้งใจเมินเธอก่อนหน้านี้ งั้นก็ปล่อยให้เขาต้องทรมานไป ให้เขารู้เสียทีว่าเขากับคนที่นี่มันอยู่คนละระดับกัน
แน่นอน เมื่อ หลี่ จงไห่ เห็น ซู ฉิวไป่ แล้ว เขาก็เดินอาด ๆ ตรงไปที่ทางออกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง หลิว โม่ และ ซาง เหวินหู่ รีบตามไป
ยังมีคนอีกมากที่สถานที่จัดงานในขณะนี้ แต่สื่อทั้งหลายและและศิลปินต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยจากไปอย่างช้า ๆ และหากจะกล่าวตามตรงแล้ว เสื้อกั๊กของ ซู ฉิวไป่ นั้นก็เด่นเหลือเกิน อย่างไรก็ดี เขาไม่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งที่คนอื่นคิด ชายคนขับรถถูกคนอื่นหลอกให้มาที่นี่ชัด ๆ !
เมื่อเข้าไปในอาคารสำนักงาน เขาพยายามสอบถามคนอื่นหาห้องทำงานของหรงหรง แต่ทุกคนต่างไล่เขาให้ขึ้นไปชั้นบน แม้เขาจะถามหาความแน่ชัดอีกครั้งที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่ทุกคนต่างล้วนเมินเขาทันที ชายหนุ่มอับอายเหลือล้น เขาคิดจะโทรหา เซี่ย หรงหรง แต่ก็กังวลขึ้นมาว่าเขาคงรบกวนเธอด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังจากที่ลังเลเสียนาน คนขับรถตัดสินใจเดินหาห้องทำงานเธอเองเลย อย่างไรเขาก็ยังมีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ไล่ตามหาหรงหรง โดยเริ่มขึ้นจากชั้นแรก เกือบทุกคนที่เจอมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามหลังจากที่ค้นพบว่าเขากำลังตามหา เซี่ย หรงหรง ท้ายที่สุดแล้ว ในจำนวนคนน้อยนิดที่ยังอุตส่าห์ตอบเขา กลับบอกทางไม่ตรงกันอีก บ้างบอกว่าเขาต้องย้อนกลับไป บ้างบอกซ้าย บ้างบอกขวา และยังมีอีกมากที่อ้างว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นเลย!
โถ่เว้ย…พวกนี้มันเล่นตลกอะไรกัน*!*
สุดท้าย เขาก็คิดได้ว่าการถามหาทางจากคนพวกนี้ดูจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย เขาจึงต้องเดินไปเรื่อยเปื่อย จนมาถึงชั้นแปด เขาจึงเห็นว่าชั้นนี้มีคนแออัดมากกว่าปกติ และได้ยินว่าจะมีงานแถลงข่าวจัดขึ้นในหอประชุม เพราะฉะนั้น เขาจึงเดาเอาเองว่า เซี่ย หรงหรง คงยังอยู่ในหอประชุมนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงวิ่งไปดู
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปดูจริง ๆ ชายคนขับรถก็พบว่ามันเปล่าประโยชน์ ผู้คนมีเยอะมากเกินไปจนเขามองไม่เห็น เซี่ย หรงหรง เลย ในระหว่างที่ความกระวนกระวายกำลังก่อตัว เขาดันไปเห็นคนที่เขาไม่ได้ต้องการจะเห็นเลยอย่าง ชาง เหวินหู่ และ หลิว โม่
“ไอ้เวรนี่ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้าโผล่มา ออกไปเดี๋ยวนี่ ก่อนที่รปภ.จะมาลากแกออกไป”
ชาง เหวินหู่ กล่าวดูถูกก่อนที่จะเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ ส่วนนัยน์ตาของ หลิว โม่ แสดงการเยาะเย้ยอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองทำถูกแล้วที่เธอทิ้ง ซู ฉิวไป่ ไป
ซู ฉิวไป่ เครียดพอแล้วกับการที่เขาหา เซี่ย หรงหรง ไม่พบ การที่เขาต้องมาทนฟัง ชาง เหวินหู่ ล้อเลียนเขาอีก ทำให้คนขับรถโกรธจัด
บ้าอะไรเนี่ย นี่ฉันขี้เกียจเกินจะมายุ่งกับแกนะ แต่ยังเอาแต่ตามตื้ออยู่ได้*!*
“จะไปไหนก็ไป!”
ซู ฉิวไป่ ไม่สนใจที่จะหันกลับไปมองเขาด้วยซ้ำ คนขับรถนึกด่าพวกนั้นในใจ พลางเฝ้ามองหา เซี่ย หรงหรง รอบสถานที่จัดงาน
ชาง เหวินหู่ ตะลึงงันกับคำพูดของ ซู ฉิวไป่ เขาต้องใช้เวลาเสียนานในการตระหนักว่า ซู ฉิวไป่ กล้าพูดหยาบคาบใส่เขา เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกล้อเลียน ทำให้เหวินหู่ทำตัวเกรี้ยวกราดขึ้นมา
“เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ ลองพูดอีกทีซิ!”
น้ำเสียงของ ชาง เหวินหู่ ดังขึ้นจากความโกรธ ผู้คนทั้งหลายเริ่มหันมามองพวกเขาแล้ว
“ช่างหัวแกสิ ก็บอกว่าจะไปไหนก็ไป แค่พูดครั้งเดียวก็ยังไม่พอ ถึงกับต้องให้ฉันพูดซ้ำเลยเหรอ!” บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังจากการด่าว่าเหล่าพลทหารจากการเดินทางข้ามเวลาคราวที่แล้วยังไม่หมดจากเมื่อคืนความโกรธของคนขับรถตอนนี้จึงพุ่งทะยานสูงเกินควบคุม
“แก…แก…!” ชาง เหวินหู่ โมโหจนพูดไม่ออก หลี่ จงไห่ จึงสานตาเจตนารมณ์ของเพื่อน
“นี่ใครอนุญาตให้แกเข้ามา ไม่รู้รึอย่างไรว่า เซี่ยกรุ๊ป กำลังจัดงานแถลงข่าว ออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าให้ภาพลักษณ์ของเราต้องแปดเปื้อน”
เมื่อ หลี่ จงไห่ ได้กล่าวถ้อยคำพวกนี้แล้ว เขาพลันรู้สึกได้ว่าตัวเองอยู่สูงกว่าอีกครั้ง
“ซู ฉิวไป่ นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ นี่คือผู้นำของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบริษัท เซี่ยกรุ๊ป ผู้กำกับหลี่เชียวนะ รีบขอโทษเขาเร็วเข้าสิ” หลิว โม่ ชายตามองมาที่ ซู ฉิวไป่ เมื่อได้ยินคำพูดของ หลี่ จงไห่
ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากของ ซู ฉิวไป่
นี่คนพวกนี้ผิดปกติเหรอไงเนี่ย แค่ฉันตามหาคน กลับต้องมาฟังพวกบ้านี่อวดสถานะตัวเองต่อหน้าฉันด้วย
ณ จังหวะ ที่เขากำลังจากด่าพวกนั้นอีกครั้ง กลับมีความวุ่นวายดังมาจากอีกฟากของฝูงชน
“ประธานเซี่ย อรุณสวัสดิ์ครับ”
“ประธานเซี่ยคะ…”
……
มุมที่ ซู ฉิวไป่ และ หลี่ จงไห่ กำลังยืนอยู่นั้นถูกเปิดเผย และไม่นานเกินรอ คนขับรถก็พลันเห็น เซี่ย หรงหรง ทันทีที่เขาหันไป
เซี่ย หรงหรง บัดนี้ดูแตกต่างจากตอนที่เธอชมวิวกับเขามาก ดวงตาของเธอสงบ บรรยากาศรอบตัวเธอดูเยือกเย็น ในแบบที่ทุกคนที่มองเธอต่างก็รู้สึกได้เลยว่าตนเองนั้นด้อยกว่า
หลิว โม่ เองก็รู้สึกเช่นนั้น หญิงสาวรู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นคนโง่เขลาเพียงใด เพียงเหลือบตามองเธอก็เข้าใจได้ว่าสุภาพสตรีตรงหน้าเธอคือ เซี่ย หรงหรง ผู้เป็นตำนานคนนั้น หญิงสาวผู้แข็งแกร่งเสียจนไม่มีใครในเมืองชิงเจียงที่กล้าเอ่ยว่าตนเองเหนือกว่าเธอ
หลิว โม่ ตื่นตระหนก ฝ่ามือของเธอชื้นจากเหงื่อ
ชาง เหวินหู่ และ หลี่ จงไห่ เอง ก็มีลักษณะไม่ต่างกัน โดยเฉพาะ หลี่ จงไห่ ความเหนือกว่าที่เขาเคยรู้สึกตอนคุยกับ ซู ฉิวไป่ บัดนี้มลายหายไปสิ้น เขาเพียงโค้งหัวให้และเดินเข้าไปหาเธอย่างรวดเร็ว
“ประธานเซี่ย นี่ท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใดกัน งานแถลงข่าวจบไปแล้วนะครับ
หลี่ จงไห่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจของเขาราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ
แต่แล้วก็มีบางสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้น เซี่ย หรงหรง ยังคงจ้องมองไปยังทิศทางที่เขาจากมาอย่างประหลาด ครู่หนึ่งทุกคนต่างจ้องมองไปยังตำแหน่งที่ประธานเซี่ยกำลังมองอยู่
ชาง เหวินหู่ และ หลิว โม่ รู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาจะกระโดดออกมาจากอก!
นี่ เซี่ย หรงหรง กำลังมองมาที่ฉันเหรอ บ้าน่า พระเจ้า…เธอกำลังเดินมา*!*
ทุกคนลืมหายใจไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเมื่อ เซี่ย หรงหรง เดินผ่านพวกเขา ไม่มีใครเข้าใจว่าเธอต้องการทำอะไรกันแน่ หลี่ จงไห่ นั้นสับสนยิ่งว่าใคร
แล้วเธอก็หยุดลงตรงหน้า ซู ฉิวไป่ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นราวกับทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “คุณมาที่นี่ทำไมกันคะ”