SD:บทที่ 33 : คำด่าว่า

ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่าคนขับรถนามว่า ซู ฉิวไป่ วางแผนจะทำอะไรต่อไปกันแน่ แม้แต่ กวน อู เอง ก็หลงลืมความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นภายนอกค่ายไปชั่วขณะ ชายผู้เป็นถึงแม่ทัพได้แต่สงสัย เพราะเขาได้เห็นด้วยตนเองแล้วว่า ซู ฉิวไป่ มีความสามารถที่ประหลาดเหลือ

โดยที่ไม่ได้นัดหมาย ทุกคนตัดสินใจตามชายหนุ่มออกไปข้างนอกกระโจม แม้ฟ้าจะเริ่มมืด แต่ทั่วทั้งค่ายทหารกลับสว่างไสวด้วยแสงไฟ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงของการต่อล้อต่อเถียงมาจากทิศตะวันตก

กวน อู ได้มอบหมายให้พลทหารของเขาบางนาย เฝ้าอารักขายานพาหนะหน้าตาพิสดารของ ซู ฉิวไป่ เอาไว้ แม้ตัวเขาเองจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ยานพาหนะของชายหนุ่มถูกจอดทิ้งไว้ในที่โล่งตั้งแต่ช่วงกลางวัน

ซู ฉิวไป่ ที่ยังคงถือกุญแจรถของเขาไว้ในมือ ก็ได้เดินอาด ๆ เข้าไปหารถแท็กซี่ เปิดประตูรถ และลองทดสอบบีบแตรงรถ ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะติดเครื่องรถ ท่ามกลางความสับสนของ กวน อู และคนอื่น ๆ

“พวกนั้นอยู่ทางทิศตะวันตกใช่มั้ย” ซู ฉิวไป่ ยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างรถ แล้วเอ่ยถาม

“นี่ น้องชาย เจ้าคิดจะทำ…” กวน อู ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และตอบคำถามของ ซู ฉิวไป่ ด้วยอีกคำถามหนึ่ง ใบหน้าของท่านแม่ทัพดูสับสน

“ท่านแม่ทัพกวน ไม่ต้องห่วงครับ แค่รอเฉย ๆ แล้วทิ้งเรื่องที่เหลือให้ผมจัดการเอง!” คนขับรถเอ่ยเช่นนั้นแล้วขับรถไปทางทิศตะวันตก

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกของค่าย กองทหารสู่ ได้ทำการติดตั้งป้ายแสดงสัญลักษณ์สงบศึกไปทั่วบริเวณดังกล่าว แต่กองทหารเฉายังปฏิเสธที่จะถอยทัพไปเสีย

“เจ้าคนสามัญ กวน อู นี่เจ้ามิกล้าพอที่ออกมาและสู้กับข้าหรอกหรือ”

“อย่างแกนี่เป็นวีรบุรุษเช่นไรกัน มัวแต่หลบหัวซ่อนอยู่ในค่าย ออกมาสิหากเจ้ากล้าพอ!”

“พวกทหารสู่นี่ช่างขึ้ขลาดเสียจริง หากหนีไปเสียแต่ตอนนี้ บางที่ข้าอาจจะเมตตาชีวิตของพวกเจ้าก็เป็นได้…”

เมื่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ซู ฉิวไป่ พลันได้ยินการโจมตีด้วยคำดูแคลนจากฝ่ายตรงข้าม กองทัพเฉาถึงกับไม่อาจกลั้นหัวเราะจากความขบขันได้

ปากของ ซู ฉิวไป่ เบี้ยวไปเล็กน้อยจากความหงุดหงิด เขาหยุดรถที่ระยะอีกไม่กี่เมตรก่อนจะถึงประตูค่าย โดยมี กวน อู และ ฮัว โต๋ คอยเฝ้าดูจากห่าง ๆ ด้วยความกังวล เมื่อพวกเขาเห็นยานพาหนะของชายหนุ่มหยุดลงตรงหน้าพวกศัตรูเช่นนี้ พวกเขาก็ได้แต่ครุ่นคิดว่า ซู ฉิวไป่ จะทำเช่นไรต่อไป

ณ ช่วงเวลานั้นเอง กองทหารเฉาจึงสังเกตเห็นกล่องเหล็กประหลาดมีล้อกำลังเคลื่อนที่ตรงมาหาพวกเขา เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเงียบลงฉับพลัน

ซู ฉิวไป่ ขำเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดไฟหน้ารถ แล้วเปลี่ยนเป็นโหมดไฟสูงสาดเข้าใส่เหล่าพลทหาร เสียงร้องระงมของม้าดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม รวมถึงทุกคนตรงหน้าเขาก็ต่างกระเสือกกระสนเป็นอย่างมากถึงจะลืมตาสู้แสงไฟเจิดจ้าได้

“กวน อู ไอ้สารเลว นี่มันคืออะไรกัน!”

“ถอยทัพก่อน…ทุกคนถอยทัพ…”

……

คนขับรถไม่เสียเวลาใส่ใจความเดือดร้อนของกองทหารเฉา แล้วหยิบเครื่องกระจายเสียงขึ้น

“เฮ้ย…เฮ้ย! ได้ยินเสียงฉันมั้ย!”

แม่ทัพของกองทหารเฉาที่หวาดหวั่นอยู่แล้ว ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงที่ดังลั่นเช่นนี้ เขาพยายามทำให้นายทหารที่เหลือใจเย็นลง แม้ว่าทุกคนจะยังไม่สามารถลืมตาได้

“ไอ้คนสามัญ กวน อู ข้าขอท้าอีกครั้ง โผล่หัวมาเสียทีหากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่…”

“แกสิคนสามัญ! ทั้งครอบครัวของแกก็คงเป็นคนชั้นต่ำและหยาบกระด้างไม่ต่างกัน! รีบทำความสะอาดโคลนโสมมจากปากแกเร็วเข้า ป่านนี้แม่แกคงกำลังรอเรียกแกกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านแล้ว…ไอ้งั่งเหม็นตุเอ้ย…!”

เหล่านายทหารจากทั้งสองฝ่ายไม่เคยแม้แต่จะนึกว่าเหล่ากองทหารเฉาจะถูกขัดด้วยเสียงที่ดังกึกก้องเช่นนั้น จากนั้น เสียงนั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่ทุกคนได้แต่จ้องมองด้วยสายตาที่งงงวย คราวนี้ เสียงนั่นก่นด่าพวกเขาอย่างควบคุมไม่ได้

“นี่รู้แต่การดูถูกคนอื่น แต่นี่แกมีความเคารพบ้างมั้ย! ดูเหมือนจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับพูดดี ๆ ไม่เป็น? สำหรับคนเช่นแกนี่ ได้มาเป็นถึงแม่ทัพ คงต้องยัดเงินใต้โต๊ะใส่พวกยศสูงใช่มั้ยล่ะ! หรือว่าจะมีเส้นสาย! น่าเศร้าจริง ๆ นี่คิดว่าจะสามารถไต่เต้าไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีสกปรกเช่นนั้นเหรอ!”

……

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทหารจากทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึงไม่แพ้กัน! แม่ทัพทั้งสามของกองทัพเฉาต่างตกใจแทบสิ้นสต การด่าว่าเป็นชุด ๆ ของ ซู ฉิวไป่ ได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวโดยสมบูรณ์ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือ…

หลายปีต่อมา หนึ่งในเหล่าแม่ทัพยังคงตัวสั่นขวัญหายเมื่อเขาเล่าเรื่องราวนี้ ราวกับว่ามันเป็นตำนานหนึ่งไปเสียแล้ว เรื่องเล่านั้นดำเนินไปเช่นนี้ “สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ ณ อีกฝาก ตะโกนว่ากล่าวในลักษณะเช่นเดียวกับปืนยาว เสียงของมันดังลั่นกว่าเสียงของทั้งกองพลทหาร และมันเอาแต่เอ่ยถ้อยคำที่พิสดารยิ่งนักไม่หยุดยั้ง อย่างไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน พวกข้าทั้งหลายไม่อาจทำความเข้าใจคำพูดของเขาได้ แต่ต่างก็รู้ดีว่ามันกำลังสบถก่นด่าพวกข้าเป็นแน่…”

ซู ฉิวไป่ เองก็ไม่อาจทราบว่ากองทัพเฉาคิดเช่นไรกับเขา ชายหนุ่มเพียงแค่วางเครื่องขยายเสียงลงเมื่อ กวน อู มาหาเขาเพื่อบอกว่ากองทัพเฉาได้ถอยทัพไปกันหมดแล้ว

ชายคนขับรถตอนนี้มีอาการเจ็บคออย่างมากที่สุดในชีวิต น้ำเสียงของเขาแหบแห้งอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาลงจากรถแล้วดื่มน้ำไปเสียหลายถ้วยก่อนที่จะพอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อเงยหน้า เขาพลันสังเกตเห็นว่าทุกคนต่างจ้องเขาราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด เขาจึงตระหนักได้ว่าการกระทำของเขาคงทำให้พวกเขาประหลาดใจไม่น้อย

ซู ฉิวไป่ กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างเหลือล้น พร้อมกับอธิบายว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนสุภาพ เขาทำได้แต่เกาหัวตัวเองด้วยความอับอาย แต่ก็นั่นแหละ…ยากที่จะมีใครเชื่อเขาหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดไป

ภายหลังจากที่ปัญหาทั้งหลายของ กวน อู ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ฮัว โต๋ ก็กล่าวขึ้นว่าเขายังไม่มีความประสงค์ที่จะกลับเจียงตง ณ ขณะนี้ เหตุจากที่เขายังต้องการจะไปพบกับสหายเก่า ซู ฉิวไป่ จึงวางแผนที่จะกล่าวลาเสียที

เขาลังเลสักพักก่อนที่จะตัดสินใจกลับ ในตอนท้าย เขาบอก ฮัว โต๋ ว่าอย่าพยายามรักษาโจโฉไม่ว่าจะมีเหตุใดก็ตาม เมื่อท่านหมอเห็นว่า ซู ฉิวไป่ มุ่งมั่นมากแค่ไหนแล้ว ฮัว โต๋ ก็พยักหน้ารับด้วยความประหลาดใจ

ซู ฉิวไป่ ยังกล่าวกับ กวน อู อีกว่าให้กลับเมืองจิงโจวให้รวดเร็วที่สุด เนื่องจากพระเจ้าซุนกวนแอบปรารถนาที่จะฆ่าท่านแม่ทัพ!

เขายังคงจำเรื่องราวจากนิยายได้ดี เมื่อถึงคราวที่ โจ โฉ ล้มป่วย  มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง และได้เชิญ ฮัว โต๋ มารักษา ท่านหมอได้บอกกับโจโฉว่าต้องผ่าศีรษะรักษาจึงจะหาย แต่ โจ โฉ กลับโกรธหาว่า ฮัว โต๋ สมรู้ร่วมคิดกับ กวน อู คิดฆ่าตน จึงให้นำตัวไปขังไว้จนเสียชีวิตในคุก นอกจากนี้ ซุน กวน เองก็เป็นสาเหตุการตายของกวนอู โดย ซุน กวน ได้ออกอุบายทำให้จับกวนอูได้

กวน อู เชื่อมั่นในตัว ซู ฉิวไป่ อย่างมาก เขาจึงตอบตกลง ชายหนุ่มจึงยินยอมที่จะจากไปเสียที

เมื่อคนขับรถออกจากช่องทางข้ามเวลาสำเร็จ ซู ฉิวไป่ ก็ จอดรถแท็กซี่ของเขาในที่จอดรถใต้อพาร์ตเมนต์ของเขานั่นเอง เป็นคืนที่วุ่นวายทีเดียว ตอนนี้คอของเขาบวมจนเขาต้องกินยาแก้ปวดไปอีกสองเม็ดก่อนที่เขาจะเข้าบ้าน

เขาหลับสนิทเสียจนเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เขาได้แต่คิดบ่นในใจ นี่ก็ไม่ได้หลับพักผ่อนจริง ๆ มาตั้งนานแล้ว ดูเหมือนว่าตั้งแต่ไอ้ระบบการนำทางดันเกิดทรงพลังอย่างงี้ขึ้นมา ฉันก็ต้องเหนื่อยมากขึ้นทุก ๆ วัน

เขาทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้นหลังจากที่ลุกจากเตียงได้แล้ว

เซี่ย หรงหรง เคยบอกก่อนหน้านี้ว่าให้เขาแวะไปที่บริษัท เซี่ยกรุ๊ป เพื่อไปเซ้นสัญญาอะไรสักอย่าง เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ยังจำมันได้อยู่ ชายหนุ่มออกจากบ้านไปหลังจากที่ให้อาหารสุนัขทั้งหมดเรียบร้อย ซู ฉิวไป่ เดินลงไปชั้นล่าง เข้าไปใรถตัวเอง แล้วมุ่งหน้าไปยังบริษัท

ในเมืองชิงเจียง ทุกคนต่างรู้ดีว่าบริษัท เซี่ยกรุ๊ป ตั้งอยู่ ณ ที่ใด เพราะแต่ไหนแต่ไร คนจำนวนมากต่างก็มองว่าอาคารดังกล่าวกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชิงเจียงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าใครต่างก็คงจินตนาการออกว่าตระกูลนี้มีอิทธิพบเพียงใด

เมื่อมาถึงอาคารสำนักงานของบริษัทแล้ว ซู ฉิวไป่ จึงจอดรถ เขากำลังจะลงจากรถ แต่เขาพลันสังเกตเห็นคู่ชายหญิงคู่หนึ่ง ลงจากรถยนต์แลนด์โรเวอร์พอดิบพอดี

……

วันนี้ดูจะเป็นวันที่ดะสำหรับ หลิว โม่  เธอต้องลำบากกับการพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ ชาง เหวินหู่ พอใจมาเป็นเดือนแล้ว เพียงเพื่อจะให้เธอหวังพึ่งเส้นสายของเขาสำหรับอนาคตในการเป็นนักแสดงของเธอ มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดผู้หญิงที่ยังสวยและอ่อนเยาว์แบบเธอจะสนใจการเป็นแฟนของผู้ชายอายุสี่สิบกว่าอย่าง ชาง เหวินหู่ ทำไมเล่า

หากจะพูดให้ดูเลวร้ายหน่อยแล้ว เธอคงดูแล ชาง เหวินหู่ ดีกว่าดูแลพ่อแม่ของเธอเองเป็นพันเท่าด้วยซ้ำไป

เมื่อเช้านี้เอง ชาง เหวินหู่ พึ่งจะบอกกับเธอว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบริษัท เซี่ยกรุ๊ป ที่เคยจวนเจียนว่าจะต้องปิดไป ตอนนี้ได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และตอนนี้เขาก็กำลังวางแผนว่าจะผลิตภาพยนต์ถึงห้าเรื่อง พร้อมกับที่เขาบังเอิญจะรู้จักมักคุ้นกับหนึ่งในผู้บังคับบัญชาของบริษัทพอดี ดังนั้นเขาอาจจะขอท่านผู้ใหญ่คนนั้นให้เธอได้เล่นบทใหญ่ในภาพยนต์นั้นนั่นเอง

เมื่อได้ยินข่าวดีเช่นนี้ หลิว โม่  ก็ดีใจเหลือล้น เธอถึงขั้นใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเพื่อจะเตรียมตนเองก่อนจะออกมาพร้อมกับ ชาง เหวินหู่

ในรถ ชาง เหวินหู่ ได้กล่าวกับเธอว่ามันเป็นโอกาสที่หายากเนื่องจากมีนักแสดงหลายคนเล็งบทนี้ไว้ จะอย่างไรก็ตาม แต่พวกเขาต่างก็ต้องการเป็นตัวแทนของการกลับมาอีกครั้งของอุตสาหกรรมภาพยนต์ตระกูลเซี่ย

เธอจึงปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้ หากเธอพลาด ก็คงไม่มีวันได้เจอโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกแล้ว นอกจากความตื่นเต้น หลิว โม่  ก็ยังรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อยเลย เธอถึงขึ้นเตรียมใจว่าอาจจะต้องเสียสละร่างกายตัวเองนิดหน่อยหากถึงคราวจำเป็น

เมื่อมาถึงบริษัท หญิงสาวคล้องแขนกับ ชาง เหวินหู่ เมื่อลงจากรถ เธอกำลังจะเดินเข้าอาคารนั้นไปแล้ว หากแต่ว่าเธอสังเกตเห็นรถแท็กซี่ที่เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลก ๆ จอดอยู่ไม่ไกล ที่สำคัญ คนขับรถคนนั้น คือ… ซู ฉิวไป่!

เธอไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ใครมันจะบังเอิญเจอแฟนเก่าในตอนที่เธอควงแฟนใหม่และอนาคตของเธอกำลังสดใสแบบนี้กันล่ะ หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ถ้าเธอตัดสินใจยังคบกับเขาอยู่ ป่านนี้ทั้งสองคงแต่งงานกันไปแล้วก็เป็นได้ แต่เธอไม่ยอมแน่ เพราะ ซู ฉิวไป่ น่ะจน เขาไม่มีวันจะให้สิ่งที่เธอต้องการได้ หญิงสาวฝันอยากจะเป็นดาราหนัง ไม่ใช่ต้องทนติดแหงกอยู่กับคนขับรถแท็กซี่ไปชั่วชีวิต

“นี่เธอมองอะไรอยู่” ชาง เหวินหู่ เอ่ยถามเมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาวอกแวกของเธอ

“เพื่อนเก่านะ”

หลิว โม่  ยิ้มหวาน ก่อนจะกอดรัดแขนของ ชาง เหวินหู่ แน่นขึ้น เธอถูหน้าอกของเธอเบา ๆ กับเขา ชายที่แก่กว่ายิ้ม และจับหน้าอกเธอด้วยมือของเขาเอง ทำให้เธอหัวเราะคิกคัก

ณ ขณะนี้ ซู ฉิวไป่ ได้ล็อครถเรียบร้อย และกำลังเดินทอดน่องมาทางพวกเขา ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เจอ หลิว โม่  เช่นนี้ เขาเคยรักผู้หญิงคนนั้นมาก่อน แต่เมื่อตัดสินใจลาจากเขาไป เขาจะทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากปล่อยความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ไปเสีย

การเห็นเธอกะหนุงกะหนิงกับแฟนใหม่ต่อหน้าเขาแบบนี้ ซู ฉิวไป่ กลับรู้สึกสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ อย่างอื่นเลย

“ซู ฉิวไป่ นี่มารับใครล่ะคะเนี่ย ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง รู้สึกว่านายจะดังอยู่ในเน็ตพอตัวเชียวนะ”

หลิว โม่  เหลือบเห็นการจ้องมองอย่างเฉยชาจาก ซู ฉิวไป่ เมื่อเขาเดินเข้ามาทางเธอ เธอไม่คิดที่จะรั้งคำดูถูกของเธอไว้แม้แต่นิดเดียว แต่ชายคนขับรถก็เอาแต่ยิ้มให้เมื่อเขามองมาที่เธอและ ชาง เหวินหู่ เขายังคงเงียบและมุ่งกับการเดินต่อไป

“นี่นายล้มละลายจากการจ่ายหนี้ค่ารถที่นายทุบไปรึยัง ก็บอกแล้วว่าอย่าพยายามเลย แค่ขับรถแท็กซี่ต่อไปเหอะ แต่ก็นะ นายคิดอยากจะทำตามฝันที่ว่าจะซื้อบ้านแล้วพาพ่อแม่มาอยู่ ออกจากบ้านนอกน่ะสิ แต่เอาแค่ตัวเองให้รอด ไม่หาเรื่องเดือดร้อน ก็ดูท่าจะยากแล้วอ่ะนะ”

ความโกรธของ หลิว โม่  พลุ่งหล่าน ในขณะที่ ซู ฉิวไป่ ยังคงใจเย็นได้อีก เธอไม่เข้าใจว่าทำไม่เขาถึงยังทำตัวสงบเสงี่ยมได้อีก หญิงสาวจึงไม่อาจต้านทานที่จะเปิดเผยความฝันที่เขาเคยบอกเธอสมัยที่พวกเขายังเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัย

และแน่นอน คำพูดของเธอทำให้เขาชะงักงัน

อีกด้านหนึ่ง ชาง เหวินหู่ ได้แต่สงสัยว่าเพื่อนเก่าของ หลิว โม่  เป็นใครกัน แต่เมื่อเขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่คนขับรถแท็กซี่ นัยน์ตาของเขาแสดงความรังเกียจทันที เขาถึงกับโกรธด้วยซ้ำที่หมอนั่นเป็นแค่คนขับรถแท็กซี่แท้ ๆ แต่กลับกล้าเมินเขากับ หลิว โม่

“ก็แค่คนขับรถแท็กซี่ วางตัวซะเหมือนว่าเป็นซีอีโอของเซี่ยกรุ๊ป…”

แม้จะเป็นแค่เสียงกระซิบ แต่มันก็ดังพอให้ ซู ฉิวไป่ ได้ยิน

เขาหันหัวไปทางทั้งสองคนช้า ๆ แล้วมองพวกเขาด้วยสองตาของตัวเอง แต่หลังจากนั้น เขาทำแค่เพียงส่ายหัวอย่างเงียบเชียบ และเดินผ่านพวกเขา แล้วปรี่เข้าไปในอาคารสำนักงานแทน

“สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง! เป็นแค่คนจน ๆ แท้ นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! แม้จะพยายามทั้งชีวิต แต่อย่างแกก็คงทำเงินได้ไม่เท่าที่ฉันทำในหนึ่งวันหรอก!”

ชาง เหวินหู่ ถูกเมินอยู่ มันจะไม่ใช่ปัญหาเลยหากไอ้คนที่เมินเขามีฐานะสูงกว่า แต่มันดันเป็นแค่คนขับรถแท็กซี่! อย่างไรก็ตาม ซู ฉิวไป่ เดินไปไกลกว่าที่เขาจะได้เสียงคำดูถูกแล้ว กลับกัน ขณะนี้ผู้คนดันเอาแต่หันมามองทางเขาแทน

“พี่หู่ เราเข้าไปกันเหอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเสียเวลาโกรธคนแบบนั้นหรอก”

หลิว โม่  ลอบกระซิบเบา ๆ พลางดึงแขนของ ชาง เหวินหู่ เขาจึงได้สติ แม้จะยังหงุดหงิดคนที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนั้น แล้วทั้งสองก็ก้าวย่างเข้าไปในอาคาร…