ตอนที่ 172-2 ฝึกฝนต่อ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

องค์ชายรองซีเหลียงวิ่งหนีกลับไปในสภาพจนตรอก คนทุกระดับชั้นในซีเหลียงอกสั่นขวัญหาย พ่ายแพ้ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน แม้ว่าจะแพ้เหมือนกัน แต่ความเสียหายครั้งก่อนก็ไม่มากนัก แต่ครั้งนี้ แค่ทหารและม้าก็เสียไปเป็นหมื่นแล้ว ซ้ำยังเสียเสบียงและวัตถุดิบต่างๆ อีกด้วย 

 

 

องค์ชายรองพ่ายศึกทั้งยังบาดเจ็บที่ขา รู้สึกเสียหน้า บวกกับที่เขาตบอกรับปากเสด็จพ่อไว้ว่าจะทำหน้าที่ให้สำเร็จตามคำสั่งเพื่อที่จะกุมอำนาจทหาร นึกถึงสายตาที่เย็นชาและผิดหวังของเสด็จพ่อ นึกถึงพี่ใหญ่และน้องสี่ที่จ้องมองตาเป็นมัน องค์ชายรองก็นั่งไม่ติดแล้ว 

 

 

ไม่ได้ ยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้! เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ องค์ชายรองจึงประกาศเกินจริงว่าทหารชายแดนต้ายงกล้าหาญร้ายกาจอย่างไร ราวกับขุนพลจากสวรรค์ลงมาบนโลกมนุษย์ มิน่าเล่าครั้งก่อนพี่ใหญ่ถึงถูกลอบทำร้าย ตอนนี้เขาได้รับบทเรียนแล้ว แสร้งวิ่งไปเยี่ยมเยี่ยมพี่ใหญ่เขาที่จวนเที่ยวหนึ่ง 

 

 

หากไม่ใช่ว่าตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายรองมีอำนาจมากอย่างยิ่ง ประมุขซีเหลียงก็คงมีความคิดที่จะตัดขาดลูกชายคนนี้แล้ว เขามีบุตรชายที่โง่เขลาเพียงนี้ได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังเป็นบุตรที่คลานออกมาจากท้องราชินีอีกด้วย มอบดินแดนไว้ในมือเขาตนจะวางใจได้อย่างไร ต้องโทษราชินีคนเดียวเลย ตอนเด็กบุตรคนรองฉลาดอย่างยิ่ง แต่ถูกราชินีตามใจจนเขาเสียคน 

 

 

องค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงที่สำนึกผิดอยู่ในจวนรู้ความคิดของพ่อเขา ต้องประณามเขาแน่นอนเหอๆ เห็นได้ชัดว่าเขาวางอำนาจไม่ลง เล่นอุบายถ่วงดุลหนึ่งตา ทั้งยังพาลใส่ผู้อื่น ช่าง… หลี่หยวนเผิงทำได้เพียงใช้เสียงหัวเราะเหอๆ ตอบสนอง 

 

 

มีเพียงองค์ชายรองคนโง่ผู้นั้นที่มองสถานการณ์ไม่ออก ยังคิดว่าเสด็จพ่อชื่นชมเขาอยู่ หารู้ไม่ว่าเสด็จพ่อนั่งมองพวกเราสามพี่น้องขึ้นสังเวียนกันอยู่ 

 

 

“องค์ชายใหญ่ นี่เป็นโอกาสดีของท่านแล้ว!” กุนซือชาวฮั่นลูบหนวด บนใบหน้ามีสีหน้ายินดี 

 

 

ก่อนหน้านี้องค์ชายรองนำทัพออกรบเขายังเป็นกังวล กลัวว่าองค์ชายรองจะมีจุดยืนมั่นคงในกองทัพ เช่นนั้นนายท่านก็คงจะทุ่มแรงเพื่อพวกเขาโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลยจริงๆ 

 

 

ตอนนี้ดีแล้ว องค์ชายรองพ่ายแพ้กลับมา อำนาจทหารก็กลับมาอยู่ในมือของนายท่านอีกครั้งมิใช่หรือ 

 

 

ทว่าองค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงกลับไม่รีบไม่ร้อน “รออีกหน่อย” เขาไม่รีบ เขาไม่รีบแม้แต่นิดเดียว มีสิทธิ์อะไร เขาเป็นคน ไม่ใช่สุนัขที่รู้จักแต่เนื้อแต่กระดูกเสียหน่อย 

 

 

เสิ่นเวยเก็บตัวอยู่ในห้องอุ่นๆ เล่นหมากล้อมกับสวีโย่ว ห้องของนางผ่านการปรับเปลี่ยนเป็นพิเศษ ในชั้นที่สองของผนังรอบด้านต่างก็ก่อกำแพงไฟไว้ บนพื้นปูพรมหนาๆ หนึ่งชั้น อุ่นยิ่งนัก! นางสวมเสื้อสองชั้นอยู่ในห้องก็ไม่รู้สึกหนาว 

 

 

เถาฮวาหอบฟูกผ้าห่มมาไว้ในห้องนางแล้ว เห็นอยู่ว่ามีเตียงแต่นางก็ไม่นอน ชอบนอนบนพรม เหมือนสุนัขพันธุ์ปั๊ก เสิ่นเวยเห็นแล้วก็อยากกระโดดโลดเต้นกับนางบนพรม 

 

 

“สองวันนี้ยุ่งอะไรอยู่หรือ” สวีโย่ววางหมากไปพลางถามไปพลาง 

 

 

ตั้งแต่ที่นำกองทหารเด็กกลับมาจากป่า เด็กน้อยก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ออกมา กินข้าวก็ให้ 

 

 

เถาฮวายกเข้าไปให้ แปลกยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าวางแผนอะไรอีก 

 

 

ถึงแม้เด็กน้อยจะวางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ได้สนใจ ช่วงเวลาสำคัญนางฆ่าคนเขาก็เต็มใจจะยื่นดาบอยู่ข้างๆ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้จะไม่ยอมเจอแม้แต่เขา กลายเป็นว่าได้ทรัพย์สินส่วนตัวไปแล้วก็ถีบหัวส่งเขาเลยหรือ เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง 

 

 

เสิ่นเวยหาว “ข้าจะยุ่งอะไรได้ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องนั้น” ทนมาสองคืนแล้ว เสิ่นเวยง่วงอย่างยิ่ง แต่คุณชายใหญ่สวีคนโรคจิตผู้นี้ก็ยืนกรานจะเล่นหมากล้อมกับนางให้ได้ 

 

 

วางหมากหาย่าเจ้าสิ! ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนโบราณจะชอบกิจกรรมนี้อะไรขนาดนี้ เปลืองเซลล์สมองจริงๆ ฆ่าเวลาอย่างไรล่ะ ยังคงเป็นสวีโย่วที่ใช้ความผ่อนคลายสบายใจเป็นมาตรฐานหลัก 

 

 

เสิ่นเวยวางหมากดีอย่างยิ่ง ทว่าแต่ไหนแต่ไรนางไม่ชอบกิจกรรมนี้ แต่หลังจากนี้นางยังมีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากสวีโย่ว จึงทำได้เพียงฝืนเล่นเป็นเพื่อนเขาพักหนึ่ง 

 

 

มือที่คีบหมากของสวีโย่วหยุดชะงัก เรื่องเล็กน้อยเรื่องนั้นงั้นหรือ ใครจะรู้ว่าที่นางพูดหมายเรื่องอะไร อย่างไรเสียเรื่องเล็กน้อยของนางก็มีเยอะ เขาไม่ได้มีความคิดจิตใจเชื่อมถึงกันเสียหน่อย 

 

 

“เฮ้อ แพ้แล้วๆ ไม่เล่นแล้ว ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว ขอนอนก่อน” เสิ่นเวยหยิบหมากขึ้นชนปากกระบอกปืนของสวีโย่ว ฮะฮ่า ชั่วขณะก็บาดเจ็บล้มตายเป็นวงกว้าง เสิ่นเวยยอมแพ้อย่างมีความสุข มือเล็กๆ วางลง ขาดแค่หยิบผ้าเช็ดหน้าก็สามารถส่งสวีโย่วออกไปด้วยความดีใจได้แล้ว 

 

 

สวีโย่วเห็นความกลัดกลุ้มในแววตาของเสิ่นเวย ยังคงสงสัยอยู่จริงๆ “เจ้าทำอะไรกันแน่” เหตุใดถึงทำให้ตัวเหนื่อยล้าเช่นนี้ 

 

 

“ท่านดูเองเถอะ อ่านเสร็จแล้วก็ปิดประตูห้องข้าด้วย” เสิ่นเวยหาวพลางเดินไปที่เตียงเตาผิง นางเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังสวีโย่วจริงๆ อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วเขาก็ต้องรู้ เพียงแต่ตอนนี้นางง่วงเกินไป เช่นนั้นก็ให้เขาไปอ่านเองเถอะ 

 

 

สวีโย่วหยิบกระดาษหลายแผ่นบนโต๊ะขึ้นมา ในกระดาษเขียนเต็มไปด้วยอักษรตัวเล็กแน่นขนัด อีกทั้งยังวาดรูปไว้อีกด้วย เมื่อเขาอ่านจบ สายตาที่มองไปบนเตียงเตาผิงก็ซับซ้อน 

 

 

ที่แท้แล้วเรื่องเล็กน้อยที่นางวางแผนก็คือการฝึกซ้อมต่อของกองทหารเด็กนี่เอง! แผนฉบับนี้วางได้อย่างละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าสมองเล็ก ๆ นั่นของนางคิดออกมาได้อย่างไร เขาเองก็ควรลอกไปฝึกทหารลับในภายหลังด้วยดีหรือไม่ 

 

 

เสิ่นเวยนอนเต็มอิ่มแล้วก็มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ส่วนการทดสอบครั้งที่สองของกองทหารเด็กก็ได้เอ่ยถึงกำหนดการแล้ว คราวนี้ระดับความยากเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่หลังจากที่เสิ่นเวยบอกเนื้อหาและเงื่อนไขในรายละเอียดแล้ว กองทหารเด็กต่างก็โห่ร้องดีใจขึ้นมา 

 

 

ดียิ่งนัก อิจฉาทหารชายแดนที่สามารถลงสนามรบฆ่าศัตรูได้มานานแล้ว ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดคุณชายสี่ก็อนุญาตให้พวกเขาได้เห็นเลือดสักหน่อยแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่เลือดของทหารซีเหลียง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เห็นเลย! 

 

 

เสิ่นเวยตกตะลึงกับการตอบสนองของกองทหารเด็ก อายุยังน้อยก็กระหายการฆ่าฟันเช่นนี้แล้ว ไม่ชอบความสงบสุขเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าในสายเลือดของบุรุษล้วนมีส่วนประกอบของความเ**้ยมโหดอยู่ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็ตาม 

 

 

ใช่แล้ว ถูกต้อง แผนการการทดสอบที่เสิ่นเวยคิดมาตลอดหลายคืนก็คือการปราบโจร 

 

 

โจรภูเขาละแวกเมืองชายแดนล้วนถูกเสิ่นเวยนำคนไปทำลายหมดแล้ว ไม่มีทางก็ทำได้เพียงค้นหาในที่ไกลๆ ผ่านการสืบค้นของทหารลับ บนเขาลูกหนึ่งที่ห่างจากเมืองชายแดนสองร้อยลี้มีรังโจรอยู่หนึ่งแห่ง โจรค่อนข้างเยอะ ประมาณแปดร้อยคน หน้าที่ของกองทหารเด็กคือปราบโจรรังนี้เสีย 

 

 

ดูสิ ระดับความยากเพิ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่ อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นมากอย่างยิ่ง 

 

 

อันดับแรก โจรภูเขารังนี้ไม่อยู่ภายในขอบเขตอำนาจของท่านเสิ่นโหว กองทหารเด็กข้ามเขตปราบโจรต้องก่อให้เกิดความไม่พอใจจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ การปราบโจรครั้งนี้จะนำมาซึ่งปัญหาแน่นอน 

 

 

ตามเจตนาของเสิ่นเวย ‘ให้พวกเขาไปเงียบๆ กลับมาเงียบๆ พยายามไม่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มอำนาจอื่นๆ’ 

 

 

แต่จะทำให้ได้เช่นนี้ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น พวกเขาสามร้อยกว่าคน ไม่ใช่คนเดียว ไหนเลยจะไม่ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้ อีกทั้ง จะปราบโจรก็จำต้องฆ่าฟันมิใช่หรือ จะไม่เกิดการเคลื่อนไหวเลยได้อย่างไร 

 

 

ข้อสอง จากเมืองชายแดนไปยังรังโจรเป็นระยะทางสองร้อยกว่าลี้ การเคลื่อนพลเป็นปัญหาใหญ่ ออกเดินทางเมื่อไร จัดเส้นทางเดินอย่างไร จะหลีกเลี่ยงความสนใจจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ อย่างไร เรื่องเหล่านี้ต้องตรึกตรองให้ได้ 

 

 

สุดท้ายก็เป็นข้อที่กดดันที่สุด โจรมีแปดร้อยคน กองทหารเด็กมีไม่ถึงสี่ร้อยคนด้วยซ้ำ จำนวนคนเป็นครึ่งหนึ่งของพวกเขา โจรล้วนแต่เป็นชายร่างใหญ่กำยำที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว กองทหารเด็กยังเป็นเด็กที่โตไม่เต็มวัยอยู่เลย ต่อสู้กับพวกเขาแล้วจะชนะหรือ จะถูกคนอื่นปราบกลับมากกว่ากระมัง 

 

 

“ตั้งแต่การกำหนดเส้นทางการเคลื่อนทัพ ไปจนถึงหน้าที่ปราบโจรให้สำเร็จด้วยวิธีที่ยอดเยี่ยม และกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งหมดให้พวกเจ้าคิดกันเอง นับแต่นี้ไปข้าจะดูอย่างเดียว ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเข้มงวด “ให้เวลาพวกเจ้าปรึกษาครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามให้หลังพวกเราออกเดินทางตรงเวลา จำไว้ พวกเจ้าเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นกลุ่มเดียวกัน!” แขนของเสิ่นเวยวาดอยู่กลางอากาศอย่างหนักแน่น ความจริงแล้วกำลังเตือนสติพวกเขาอยู่ ‘ในสนามรบ แต่ไหนแต่ไรวีรบุรุษไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการรวมพลังสู้ศึก’ 

 

 

เสิ่นเวยยังคงใช้กลยุทธ์ทหารลับเปิดทางและคุ้มกันเส้นทาง นางพาทหารลับไปทั้งหมดยี่สิบคน บวกกับอีกยี่สิบคนที่นางยืมตัวมาจากท่านปู่ จึงมีทั้งหมดสี่สิบคน 

 

 

คนสี่สิบคนจะดูแลคนสามร้อยกว่าคนหมดได้อย่างไร นางยังหวังว่าจะปกป้องชีวิตของกองทหารเด็กไว้ได้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าจะสอบตก นางก็ยังหวังว่าพวกเขายังมีชีวิตกลับไปหาพ่อแม่ได้ เช่นนี้แล้วจะไม่ยืมกำลังคนจากสวีโย่วได้อย่างไร พบครั้งแรกแปลกหน้าพบอีกครั้งก็คุ้นเคย อย่างไรเสียนางก็ยืมจนชินแล้ว 

 

 

เสิ่นเวยคิด หากการทดสอบปราบโจรครั้งนี้พวกเขาสามารถผ่านด่านทั้งหมดได้ เช่นนั้นศึกครั้งหน้าพวกเขาก็มีคุณสมบัติเข้าร่วมแล้ว มีเพียงผู้ที่มีชีวิตรอดจากบททดสอบที่ดุเดือดรุนแรงในสนามรบจึงจะเป็นยอดฝีมือ! 

 

 

เผชิญหน้ากับหน้าที่ที่ลำบากเช่นนี้ กองทหารเด็กไม่มีใครถอยหลังแม้แต่คนเดียว พวกเขาขมวดคิ้วมุ่น แบ่งกลุ่มสามถึงห้าคนรวมหัวศึกษาข้อมูลที่มีจำกัด หัวหน้าแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างรวดเร็ว ร่วมแรงกันกำหนดแผนการที่พอจะเป็นไปได้ พวกเขาเข้าใจคำพูดของคุณชายสี่เป็นอย่างดี คำพูดประโยคนี้ติดตามอยู่ในขั้นตอนการฝึกซ้อมทั้งหมดของพวกเขา ‘พวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เข้าจวนโหวพวกเขาก็คือกลุ่มเดียวกัน’ 

 

 

หนึ่งคนร่วงทุกคนล่ม หนึ่งคนโรจน์ทุกคนรุ่ง