ตอนที่ 173-1 เด็กน้อยผู้เจิดจรัส

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

กองทหารเด็กตั้งขบวนทัพเรียบร้อยออกจากประตูเมืองด้วยความเป็นระเบียบ มีทหารชายแดนที่เฝ้าประตูเมืองสะกิดเพื่อนทหารอย่างสงสัย “ทหารเด็กน้อยกลุ่มนี้จะไปไหนกัน”

 

 

“ทหารเด็กน้อยหรือ” เพื่อนทหารหันกลับไปมองอย่างดูถูก “อย่ามองว่าพวกเขาอายุน้อย นี่เป็นกลุ่มคนที่คุณชายสี่ฝึกฝนออกมากับมือ เก่งอย่างยิ่ง ไม่กี่วันก่อนออกประตูเมืองไปเที่ยวหนึ่ง ท่าทางเคร่งขรึมนั้น จุ๊ๆ แม้แต่ท่านโหวของพวกเรายังชื่นชมเลย”

 

 

“มีเรื่องอะไรๆ รีบพูดมา!” ทหารชายแดนตัวผอมๆ คนนี้รีบไต่ถามเพื่อนทหาร “พี่ชาย ข้าเพิ่งมารับหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ ไหนเลยจะรู้เรื่องนี้”

 

 

เพื่อนทหารจึงเล่าที่มาของกองทหารเด็กหนึ่งรอบด้วยความพอใจอย่างถึงที่สุด ไม่กี่วันก่อนออกจากเมืองไปทำอะไร ท้ายที่สุดก็กล่าวด้วยความอิจฉา “หากข้าได้ไปฝึกฝนใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่บ้างก็คงจะดี” เงินเดือนไม่ต้องพูดถึง สิ่งสำคัญก็คือสามารถปกป้องชีวิตได้! ไม่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่เหล่านั้นหรือ แต่ละคนดูแล้วก็ไม่ได้อายุมากไปกว่าเขา แต่พวกเขาเข้าๆ ออกๆ สนามรบโดยไม่เสียไปแม้แต่คนเดียว

 

 

นี่ก็คือความสามารถ ท่ามกลางวิกฤติที่ยากจะคาดเดาการมีความสามารถที่เก่งกล้าปกป้องชีวิตได้จึงจะถูกต้อง

 

 

เสิ่นเวยกับสวีโย่วนำคนไปยังสถานที่เป้าหมายก่อน ภูเขาที่ตั้งอยู่ในเขตเฮยผิงลูกนี้มีชื่อไพเราะ ชื่อว่าเขาเฟิ่งหวง เกิดจากเขาเล็กๆ เจ็ดลูกก่อตัวขึ้นมา ครองพื้นที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด ทอดยาวเกินร้อยลี้

 

 

สถานการณ์ของกองทหารเด็กส่งมาถึงมือเสิ่นเวยผ่านทหารลับอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เมื่อออกจากเขตเมืองชายแดนแล้วพวกเขาก็หมอบซุ่มทันที เปลี่ยนเป็นเข้าป่าพักผ่อนตอนกลางวัน เดินทางตอนกลางคืน เช้าวันที่สามพวกเขาก็ไปถึงที่ราบที่โอบล้อมด้วยภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากเขาเฟิ่งหวงประมาณห้าลี้แล้ว

 

 

เสิ่นเวยได้ยินทหารลับรายงานว่าพวกเขายังส่งกลุ่มเล็กสองกลุ่มปลอมตัวไปสืบสถานการณ์ นางก็ยิ้ม โอ้โห พวกเด็กน้อย มีแผนสกปรกไม่น้อยเลย! นางยิ่งตั้งตารอท่าทีต่อไปของพวกเขา

 

 

“หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าใหญ่ ตีนเขามีไก่อ่อนอยู่ตัวหนึ่ง” ลูกน้องชื่อโหวจื่อผู้หนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าดีใจทั้งใบหน้า

 

 

เซี่ยงอวิ๋นเทียนหัวหน้าใหญ่โจรภูเขาเฟิ่งหวงตื่นเต้นขึ้นมาในชั่วขณะ “รีบว่ามา” อากาศหนาวเหน็บ บวกกับซีเหลียงโจมตีชายแดน สามเดือนติดต่อกันอย่าว่าแต่กลุ่มพ่อค้า แม้แต่คนเดินถนนยังไม่เห็นแม้แต่เงา หากยังไม่เริ่มทำอะไรอีกก็คงจะต้องอดตาย

 

 

โหวจื่อรีบกล่าว “เป็นคุณชายลูกเศรษฐี อายุไม่มาก ผู้น้อยคิดว่าน่าจะประมาณสิบสี่สิบห้าปี พาบ่าวรับใช้มาด้วยสองคน คุณชายผู้นี้หนีออกจากบ้าน ผู้น้อยตามพวกเขามาตลอดทาง ได้ยินว่าเพราะไม่พอใจการสมรสที่ครอบครัวหมั้นหมาย และฟังว่าซีเจียงเกิดสงคราม ด้วยความอารมณ์ร้อนจึงวิ่งมาสมัครทหารที่ซีเจียง อยากสร้างคุณูปการทหารเพื่อให้คนในครอบครัวได้มองเขาใหม่ จุ๊ๆ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำจริงๆ ร่างเล็กๆ ที่อ่อนแอเปราะบางราวกับไก่อ่อนของเด็กน้อยผู้นั้น ยังกล้าคิดจะสร้างคุณูปการทหาร ไม่ถูกทหารซีเหลียงแทงตายก็น่าแปลก”

 

 

โหวจื่อเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด เขาตามนายบ่าวสามคนนี้ไปตลอดทาง เห็นพฤติกรรมกินดีอยู่ดีของคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นชัดเจน อยู่ชานเมืองกันดานนี้แล้วยังมีของให้กินก็ไม่เลวแล้ว แต่เด็กรับใช้ตรงหน้ายื่นหมั่นโถวสีขาวไปให้ คุณชายผู้นั้นก็กัดเพียงคำเดียวจากนั้นก็คายออกมา ตะโกนลั่นอยากกิน

 

 

สุ่ยจิงเกา[1] แม้เขาจะไม่รู้ว่าสุ่ยจิงเกาคืออะไร แต่ฟังจากชื่อก็พอจะทำให้เขาน้ำลายสอแล้ว

 

 

“หัวหน้าใหญ่ ท่านไม่เห็น เด็กคนนั้นสวมชุดผ้าไหมทั้งร่าง เพียงแค่จี้หยกชิ้นนั้นที่ห้อยอยู่บนเอวก็รู้แล้วว่าราคาเท่านี้” โหวจื่อยื่นมือบอกตัวเลข “ยังมีปิ่นหยกอันนั้นที่ปักอยู่บนศีรษะ แหวนหยกที่มือ ซ้ำบ่าวรับใช้ยังแบกห่อผ้าหนึ่งใบใหญ่ คาดว่าข้างในน่าจะมีเงินอยู่ไม่น้อย”

 

 

“จริงหรือ” ดวงตาของหัวหน้าใหญ่เป็นประกายสามส่วน เพียงแค่จี้หยกก็มีราคาถึงแปดร้อยตำลึงแล้ว ต่อให้ในห่อผ้าจะไม่มีของที่มีราคา ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี

 

 

โหวจื่อตบเข่าฉาดกล่าว “หัวหน้าใหญ่ไม่เชื่อสายตาโหวจื่อหรือ ผู้น้อยเคยดูผิดที่ไหนกัน”

 

 

“นั่นก็จริง” สายตาที่หัวหน้าใหญ่มองโหวจื่อยังคงเชื่อใจ ตอนที่ยังไม่ได้ขึ้นเขาโหวจื่อผู้นี้ก็ถวายตัวแลกเงิน สายตาเฉียบแหลม “ตอนนี้ไก่อ่อนนั่นอยู่ไหนแล้ว”

 

 

โหวจื่อครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว “คาดว่าตอนนี้น่าจะใกล้ถึงตีนเขาพวกเราแล้ว” อันที่จริงคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นทนทรมานอย่างยิ่ง เดินไปไม่ถึงครึ่งลี้ก็ร้องขอหยุดพัก พักครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาสองเค่อ ทั้งยังร้องตะโกนให้บ่าวรับใช้แบกเขาไม่หยุด สบายใจจริงๆ หากเขาเป็นบ่าวรับใช้คงจะโยนคุณชายผู้นั้นทิ้งแล้วขโมยเงินวิ่งหนีไปนานแล้ว

 

 

“ได้ เจ้ารีบนำคนไปเถอะ พาคนลงเขาให้มากกว่าสองคน” หัวหน้าใหญ่ออกคำสั่ง เขาคาดการณ์ว่าบ่าวรับใช้สองคนนั้นน่าจะเป็นยุทธ์ มิเช่นนั้นคงจะไม่อาจคุ้มกันคุณชายมาถึงที่นี่ได้

 

 

โหวจื่อนำคนเจ็ดแปดคนลงเขา ซ่อนอยู่ในที่อำพรางมองไปบนถนน เอ๋ บังเอิญจริงๆ นายบ่าวสามคนนั้นก่อนหน้านี้กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่บนหินข้างทางพอดี

 

 

คณชายลูกเศรษฐีที่สวมชุดหรูผู้นั้นกำลังกินเนื้อแห้งไปพลางต่อว่าบ่าวรับใช้ที่คุกเข่านวดเท้าให้เอยู่ไปพลาง “เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือไร แรงแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร โอ๊ย เจ้าออกแรงขนาดนี้ทำไม คิดจะบีบข้าให้ตายหรือ ไร้ประโยชน์จริงๆ แม้แต่นวดเท้ายังทำไมได้ หากรู้อย่างนี้ข้าคงเอาเอ้อร์โก่วจื่อมาแทน ไสหัวไปเสีย” เขาถีบบ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ออกไปข้างๆ

 

 

บ่าวรับใช้สองคนนี้มองดูแล้วท่าทางสิบเอ็ดสิบสองปี ถูกคุณชายถีบก็ไม่โกรธ ยังหัวเราะเจื่อน เมื่อมองดูก็รู้ว่าสมองไม่ค่อยปราดเปรียวนัก

 

 

ต่อมาเขาก็เริ่มด่าทอบ่าวรับใช้อีกคน “ข้านำเงินมามากมายเพียงนี้ แต่เจ้าให้ข้ากินแค่นี้หรือ นี่เรียกว่าเป็นเนื้อแห้งได้ด้วยหรือ กลิ่นเหม็นคาว ทั้งยังแข็งเหมือนหิน เจ้าคิดจะทำให้ฟันข้าหลุดหมดหรือไร เจ้าว่าข้าโชคร้ายเพียงนั้นได้อย่างไร บ่าวฉลาดๆ ทั้งจวนเหตุใดข้าถึงเลือกพวกเจ้าสองคนนี้ น่าโมโหจริงๆ”

 

 

“คุณชาย พวกเรามีเงินก็จริง แต่ป่าเขาชานเมืองเช่นนี้ บ่าวจะไปหาอาหารที่ไหนมาให้ท่านได้ คุณชายยอมผ่อนปรนสักหน่อยเถิด” บ่าวรับใช้กล่าวขอร้องด้วยใบหน้าขมขื่น “คุณชาย พวกเรากลับกันเถอะ! ตอนนี้นายท่านกับฮูหยินคงจะร้อนใจแย่แล้ว ฟังว่าทหารซีเหลียงโหดเ**้ยม คุณูปการทหารไหนเลยจะสร้างง่ายเพียงนั้น พวกเรากลับกันดีหรือไม่”

 

 

“บัดซบ!” คุณชายลูกเศรษฐีโมโหในชั่วพริบตา ยกมือตบบ่าวรับใช้ผู้นี้ทันที “ต่อให้ทหารซีเหลียงจะน่ากลัว คุณชายของเจ้าก็ร่ำเรียนทั้งบุ๋นทั้งบู๊จนชำนาญตั้งแต่เล็ก จะกลัวทหารซีเหลียงเล็กๆ ได้อย่างไร ท่านพ่อท่านแม่เอาแต่ยุ่งเรื่องนู้นเรื่องนี้ทั้งวันน่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว ยังคิดจะยกนางเสือตระกูลหลิวผู้นั้นให้ข้าอีก ไม่มีทางเสียหรอก!”

 

 

โหวจื่อกับและคนที่เขาพามาเห็นฉากๆ นี้ก็ถลึงตาโต ให้ตายเถอะ นี่มันคุณชายตระกูลใด เหตุใดถึงโง่เพียงนั้น เพียงแค่เดินทางยังต้องให้คนอื่นนวดเท้ายังมีหน้ามาพูดว่าชำนาญบุ๋นบู๊อีกหรือ หากเขาชำนาญบุ๋นบู๊ข้าก็คงเป็นเทวดาบนโลกมนุษย์แล้ว

 

 

กลิ่นหอมของเนื้อแห้งพัดเข้ามาในสายลม คนหลายคนกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ เนื้อแห้งสกปรกที่ถูกคุณชายลูกเศรษฐีโยนทิ้งชิ้นนั้น ในสายตาของพวกเขากลับเป็นอาหารรสเลิศที่หาได้ยาก มารดาเขาสิ ฤดูหนาวนี้หาผลกำไรได้ไม่ดี พวกเขาแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้ว

 

 

โหวจื่อและคนอื่นๆ ส่งสายเป็นนัย ไก่อ่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งเช่นนี้ ไม่อาจปล่อยไปได้

 

 

เผชิญหน้ากับโจรที่วิ่งออกมากะทันหัน บ่าวรับใช้ตกใจอย่างยิ่ง ก้าวขึ้นไปข้างหน้าจะปกป้องคุณชายของตนไว้ข้างหลัง ใครจะรู้คุณชายผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่กลัว ซ้ำยังมีสีหน้าดีใจทั้งใบหน้า “ไอหยาๆ โจรชั่วจากไหนกัน กินหมัดข้าดูสักตั้ง” เขาแกว่งหมัดวิ่งเข้าไปทันที

 

 

โจรหลายคนเห็นคุณชายผู้นี้ท่าทางโง่เขลา ในแววตาก็เต็มไปด้วยความสงสาร

 

 

“โอ๊ย เจ็บ!” เสียงร้องโอดครวญราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้นมา หมัดคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นยังไม่ทันต่อยออกไปก็ถูกโหวจื่อคว้าแขนไว้ ทั้งดึงทั้งบิด จับไว้ในมือราวกับลูกไก่ตัวเล็กๆ

 

 

“คุณชาย!” บ่าวรับใช้ตกใจหน้าถอดสี คิดจะตีแต่กลับเป็นห่วงคุณชายที่อยู่ในมือคนอื่น

 

 

“โอ๊ย โอ๊ย ข้าเจ็บนะ พวกเจ้าโจรชั่วเหล่านี้รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น…โอ๊ย…” คำขมขู่ยังไม่ทันจะออกจากปาก โหวจื่อก็ออกแรง คุณชายลูกเศรษฐีก็สั่นไปทั้งร่างร้องโอดครวญ

 

 

โจรคนอื่นวิ่งเข้ามาดึงจี้หยก แหวนหยกและเครื่องประดับมีค่าต่างๆ บนร่างคุณชายลูกเศรษฐีแล้ว แย่งห่อผ้าในอกบ่าวรับใช้มาแล้วเช่นกัน เป้าหมายังเบนไปอยู่ที่ชุดผ้าไหมที่อบอุ่นและสวยหรูของเขา คล้ายชั่วขณะก็จะเปลื้องผ้าเขาแล้ว

 

 

คุณชายลูกคุณเศรษฐีเห็นท่าไม่ดี นี่มันจังหวะถึงแก่ชีวิตแล้ว! รีบตะโกนกล่าว “พวกเจ้าแค่ต้องการเงินมิใช่หรือ ในบ้านข้ามีเงินเยอะ พวกเจ้าอย่าฆ่าข้า พ่อข้าจะนำเงินกำใหญ่มาให้พวกเจ้า ข้าเป็นลูกคนเดียวในบ้าน พ่อข้าจะต้องช่วยข้าแน่นอน”

 

 

โจรหลายคนดีใจในชั่วขณะ ลูกคนเดียวหรือ ลูกคนเดียวก็สิ! พวกเขาชอบลูกคนเดียวที่สุด เด็กคนนี้ยังเข้าใจสถานการณ์จริงๆ ดูจากเครื่องประดับและตั๋วเงินตำลึงกว่าพันใบในห่อผ้าของเขานี้ ที่บ้านจะต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน เรื่องเช่นการจับตัวเรียกค่าไถ่นี้ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำ ไปๆ พาขึ้นเขา

 

 

 

 

 

 

[1] สุ่ยจิงเกา เป็นของว่างที่มีลักษณะใสคล้ายวุ้น