ตอนที่ 173-2 เด็กน้อยผู้เจิดจรัส

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

โหวจื่อนำผลกำไรจากการปล้นมาพบหัวหน้าใหญ่แล้ว “หัวหน้าใหญ่ เด็กนั่นเป็นคนโง่ กลายเป็นเนื้อบนเขียงพวกเราแล้วยังกล้าโวยวาย ผู้น้อยโยนเขาไว้ในห้องเก็บฟืนแล้ว ให้เขาตั้งสติสักหน่อยจะได้รู้ถึงความน่ากลัวของพวกเรา”

 

 

เซี่ยงอวิ๋นเทียนหัวหน้าใหญ่มองเห็นตั๋วเงินก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด หยิบตั๋วเงินย่อยประมาณสามตำลึงหนึ่งใบในนั้นให้โหวจื่อ กล่าวชม “ทำได้ไม่เลว” เขาหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เด็กนั่นบอกหรือไม่ว่าบ้านอยู่ไหน ส่งคนสองคนไปส่งจดหมายที่บ้านเขา อืม เขาเป็นลูกคนเดียวใช่หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเรียกสักสามถึงห้าหมื่นตำลึงมิใช่หรือ”

 

 

โหวจื่อรับเงินมาในใจก็เบิกบาน เมื่อได้ยินอีกว่าจะได้เงินที่มากเพียงนี้ ดวงตาก็ตะลึงงัน “ขอรับๆ ผู้น้อยจะไปเตรียมการ”

 

 

ทว่าหัวหน้าใหญ่กลับเรียกให้เขาหยุด “หาห้องให้เด็กคนนั้น อย่าเอาไว้ในห้องเก็บฟืน นี่เป็นของล้ำค่า เสียหายอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มกัน”

 

 

โหวจื่อคิดตาม ก็จริง! เด็กนั่นอ่อนแอเปราะบางไม่แน่ว่าอาจจะตายเพราะลมหนาวได้ หากคนตายก็จะแลกเงินมาไม่ได้ “ยังคงเป็นท่านหัวหน้าใหญ่ที่ละเอียดรอบคอบ” เขาประจบหัวหน้าใหญ่เล็กน้อย

 

 

คุณชายลูกเศรษฐีที่ถูกเปลี่ยนจากห้องเก็บฟืนมายังห้องข้างยังคงมีสีหน้าเหยียดหยัน เอ่ยวาจาไม่พอใจ “เหตุใดเตียงถึงแข็งเพียงนี้ ข้าจะนอนได้อย่างไร ยังมีชาแก้วนี้ ถุยๆๆ นี่มันใบชาอะไรกัน ใบไม้แห้งน่ะสิไม่ว่า โอ๊ย เหตุใดเก้าอี้ถึงเย็นเพียงนี้ เบาะเล่า เหตุใดถึงไม่รู้จักวางเบาะ หัวหน้าใหญ่พวกเจ้าเล่า ข้าอยากพบเขา ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”

 

 

“คุณชายๆ” บ่าวรับใช้ทั้งสองของเขาสีหน้าเป็นทุกข์แทบจะร้องไห้แล้ว เจอเจ้านายที่ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเช่นนี้จะทำอย่างไรดี

 

 

บนใบหน้าโหวจื่อปรากฏความเหยียดหยาม “เจ้าเงียบหน่อย หวังว่าพ่อเจ้าจะเห็นความสำคัญเจ้าจริงๆ มิเช่นนั้นล่ะก็ หึๆ!” คนถูกเรียกค่าไถก็ต้องอยู่อย่างคนถูกเรียกค่าไถ ยังอยากพบหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาอีก ฝันไปเถอะ!

 

 

โหวจื่อกลับหลังหันเดินออกไปแล้ว สามคนในห้องสบตากับปราดหนึ่ง คุณชายลูกเศรษฐีด่าทอดูถูกเรื่องนี้เรื่องนั้นต่อ กระทั่งเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกลจึงหยุดลง

 

 

บ่าวรับใช้อายุน้อยเกาะประตูมองออกไปข้างนอกเงียบๆ เห็นว่าไม่มีคนจึงหันหลังกลับมาพยักหน้า ทั้งสามถอนหายใจพร้อมกัน ในที่สุดก็แฝงตัวขึ้นเขามาได้แล้ว

 

 

ถูกต้อง สามคนนี้ก็คือกองทหารเด็กที่ปลอมตัวมา คุณชายลูกเศรษฐีที่โง่เขลาย่อมต้องเป็น

 

 

ฟังจงหลี่ แม้ว่าเมืองชายแดนจะมีเงื่อนไขต่างกันเล็กน้อย แต่พ่อของเขาก็เป็นแม่ทัพ ซ้ำในครอบครัวเขาก็ยังเป็นลูกคนสุดท้อง การแสร้งเป็นคุณชายหยิ่งผยองเผด็จการและไม่รู้ประสายังคงเป็นเรื่องง่าย

 

 

บ่าวรับใช้สองคน คนหนึ่งคือหลี่จื้อ อีกคนหนึ่งชื่อเสี่ยวอู่ เดิมหลี่จื้อก็เป็นเด็กในครอบครัวยากจน แสดงเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ศิลปะการต่อสู้เล็กน้อยก็ไม่อาจทำให้คนสงสัยได้ เสี่ยวอู่ก็เป็นคนที่ซื่อเป็นแมวนอนหวด อย่าเห็นว่าเขามีหน้าตาไร้เดียงสา ความจริงแล้วปราดเปรียวอย่างยิ่ง

 

 

ฟังจงหลี่พยักหน้าให้ทั้งสอง หลังจากนั้นโจรสองคนที่คุ้มกันประตูเรือนก็ได้ยินเสียงดังในห้อง ตามมาด้วยบ่าวรับใช้ทั้งสองที่ร้องไห้หน้าเสียวิ่งออกมา เด็กน้อยผู้นั้นยังใช้มือกุมศีรษะ ดูก็รู้ว่าถูกตีมา

 

 

เมื่อเห็นโจรมอง หลี่จื้อก็กล่าวหน้าเศร้า “คุณชายข้าบอกว่าหงุดหงิด ไล่พวกข้าสองคนออกมา!”

 

 

โจรทั้งสองมองหน้ากันปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสาร เจอเจ้านายเช่นนี้ยังไม่สู้เป็นอิสระอย่างโจรเช่นพวกเขา

 

 

ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ โจรบนเขาเฟิ่งหวงก็รู้จักคุณชายโง่เขลาผู้ถูกจับมาบนเขาแล้ว บ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายผู้นั้นน่าสงสาร อากาศหนาวแล้วยังถูกไล่ออกมาตากลมข้างนอกอีก

 

 

การเห็นใจคนอ่อนแอเป็นหลักทำนองคลองธรรมของมนุษย์ โจรเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นคนทั้งสองที่น่าสงสารเดินเตร่ไม่มีที่จะไปก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ

 

 

หลี่จื้อกับเสี่ยวอู่ดูเหมือนเดินเตร่ไปเรื่อย ทว่าความจริงแล้วกลับตั้งใจ เร็วอย่างยิ่งก็หาด่านการป้องกันการรุกรานและที่ซ่อนตัวบนเขาเจอหลายแห่ง

 

 

ตกเย็น เพราะว่ากลางวันหาเงินมาได้มากมายเพียงนี้ กลุ่มโจรก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง บวกกับตอนบ่ายล่าสัตว์ในเขามาได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาจึงก่อกองไฟย่างเนื้อกินกลางลาน ดื่มสุราไปพลางกินเนื้อไปพลาง พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราแรงไปหรือเพราะอะไร โจรในลานแต่ละคนจึงง่วงงุนขึ้นมา ร่างกายโซเซจากนั้นก็ล้มนอนลงบนพื้น วินาทีก่อนที่จะล้มลงไปยังคิดว่า สุราคืนนี้เข้มถึงใจจริงๆ

 

 

ยังมีโจรจำนวนมากที่ล้มลงเช่นเดียวกัน รวมถึงหัวหน้าสามของเขาเฟิ่งหวง พวกเขาต่างก็ฟุบอยู่บนโต๊ะ นอนหลับสนิทยิ่งนัก!

 

 

ในเงามืดหลี่จื้อกับเสี่ยวอู่สบสายตากันเล็กน้อย แอบดีใจเงียบๆ ไม่คิดว่ายานอนหลับที่หมอหลิวให้มาจะมีประโยชน์จริงๆ

 

 

ถูกต้อง ยาที่วางโจรหลายร้อยคนบนเขาเฟิ่งหวงก็คือฝีมือของสองคนนี้ เขาทั้งสองวางยาสลบที่มีฤทธิ์แรงไว้ในบ่อน้ำ ห้องครัว และกองไฟ โดยเฉพาะในกองไฟ ควันสามารถลอยออกไปไกลตามลมได้ ขอเพียงแค่ดมก็อย่าหวังว่าจะรอด

 

 

โจรแปดร้อยคนย่อมไม่อาจถูกวางยาทั้งหมดได้ ที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นหรือว่าสัญญาณก็ส่งออกไปแล้ว ตั้งแต่ตีนเขาก็มีคบไฟสว่าง กองทหารเด็กชูคบไฟเริ่มล้อมเขาไว้เงียบแล้วๆ

 

 

มุ่งขึ้นเขาทีละก้าวๆ ประหนึ่งสางผม

 

 

โจรบนเขาที่ยังมีสติย่อมพบความผิดปกติแล้ว กว่าจะเข้าไปในห้องของหัวหน้าใหญ่ได้ก็พบว่าคุณชายโง่เขลาที่จับขึ้นมาตอนกลางวันผู้นั้นกำลังถือกริชแทงเข้าไปบนร่างหัวหน้าใหญ่ด้วยสีหน้าดุร้าย หัวหน้าใหญ่ที่น่าสงสารของพวกเขายังไม่ทันได้ร้องก็สิ้นชีพแล้ว ที่เสียชีวิตเหมือนกันยังมีหัวหน้ารองหัวหน้าสามที่ดื่มสุราอยู่กับหัวหน้าใหญ่

 

 

เมื่อฟังจงหลี่ได้รับสัญญาณก็วิ่งตรงมาหาหัวหน้าทั้งสาม จับโจรต้องจับหัวหน้า จัดการหัวหน้าสามคนนี้ก่อนจึงจะวางใจได้

 

 

โจรแปดร้อยคน อย่างน้อยก็ถูกวางยาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออยู่ กองทหารเด็กย่อมมีกำสังสู้ ยิ่งไปกว่านั้นยาสลบในกองไฟกระจายออกมา มักจะมีโจรสลบไปบ่อยครั้ง เจ้าถามว่าเหตุใดกองทหารเด็กถึงไม่เป็นไรงั้นหรือ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาใช้ยาถอนพิษล่วงหน้าอย่างไรเล่า

 

 

แสงไฟและเสียงฆ่าผสานเป็นผืนเดียวกัน กองทหารเด็กเห็นคุณค่าของโอกาสฝึกฝนครั้งนี้มากอย่างถึงที่สุด ทุกคนต่างก็แย่งชิงอยากฆ่าโจรให้ได้เยอะๆ ฝึกความกล้าหาญและประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับข้าศึก พวกเขานำทุกอย่างที่เรียนในช่วงนี้ออกมาใช้ทั้งหมด สงบอารมณ์ ต่อให้ในใจจะลนลานเพียงใดก็ต้องกัดฟันทน แม้ว่าจะหลับตาก็ต้องแทงดาบแทงกระบี่ในมือเข้าไปในอกโจร

 

 

แสงไฟตลอดทาง การเข่นฆ่าตลอดทาง

 

 

ตอนที่กองทหารเด็กขึ้นมาถึงบนเขา ฟังจงหลี่และคนทั้งสองก็กำลังถือดาบหั่นผักหั่นแตงอยู่ คนที่สลบไสลแต่ละคนนั้นจะต่างอะไรจากผักจากแตงกัน

 

 

กองทหารเด็กเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ต่างก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อเป็นคนที่มียุทธ์โดดเด่นที่สุดในกลุ่มพวกเขา แม้แต่เสี่ยวอู่ที่อายุน้อยคนนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในการฆ่า ‘คนตาย’ น่าอัดอั้นมิใช่หรือ

 

 

“ยิ้มอะไรกัน รีบมาช่วยเร็ว ที่เหลือก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว คุณชายขอพักเสียหน่อย” ฟังจงหลี่จะไม่อัดอั้นได้อย่างไร บอกว่าจะฆ่าฟันมิใช่หรือ บอกว่าเป็นศึกใหญ่มิใช่หรือ เหลือคนเป็นคนตายเกลื่อนพื้นให้เขาหมายความว่าอย่างไร แม้ว่าเขาจะสังหารหัวหน้าสามคน แต่ก็ยังคงแก้ไขความจริงที่เขาอัดอั้นอย่างยิ่งไม่ได้

 

 

กองทหารเด็กลูบจมูกเข้าสู่การหั่นผักหั่นแตง คนมากแรงเยอะ เร็วอย่างยิ่ง โจรบนเขาเฟิ่งหวงก็หมดลมหายใจแล้ว

 

 

ขั้นต่อไปควรทำอะไร กองทหารเด็กยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรโลหิต บ้างก็ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด บ้างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก บ้างก็หน้าขาวซีด แต่ทุกๆ คนล้วนแต่กำหมัดยืนหลังตรง

 

 

ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายสี่ถึงไม่อนุญาตให้พวกเขาลงสนามรบ เหตุใดคุณชายสี่มักจะเน้นย้ำว่าทหารที่ไม่เคยเห็นเลือดคนไม่ใช่ทหารที่แท้จริง! ฆ่าหมูกับฆ่าคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

“เผาให้หมดเถอะ!” มีคนเสนอ เผารังโจร เลี่ยงไม่ให้เกิดโจรขึ้นอีก

 

 

“ไม่ได้!” หลี่จื้อคัดค้านทันที “อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเรา เขาเฟิ่งหวงห่างจากเขตป้องกันเมืองเฮยผิงเพียงยี่สิบลี้ วางเพลิงเผาภูเขาจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้”

 

 

“ถูกต้อง วางเพลิงไม่ได้” ฟังจงหลี่เองก็เห็นด้วยกับความคิดของหลี่จื้อ “เขตป้องกันอยู่ใกล้เพียงนั้น โจรรังนี้บนเขาเฟิ่งหวงยังใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจเช่นนี้ จำนวนคนก็เยอะเพียงนี้ ที่นี่จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างกองทัพกับโจร พวกเรารีบถอยทัพจะดีกว่า”

 

 

ฐานะต่างกัน สายตาในการมองสถานการณ์ก็ต่างกัน หลี่จื้อคิดเพียงแค่ไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้อื่น แต่ฟังจงหลี่กลับคิดถึงกองทัพกับโจร กระทั่งการสมรู้ร่วมคิดของขุนนางกับโจร

 

 

ต่อให้หลี่จื้อจะฉลาด จะพยายามมากกว่านี้ ทว่ากลับถูกฐานะจำกัด เขาไม่ได้รับข้อมูลด้านนี้ ฟังจงหลี่ต่างออกไป เขาเกิดในตระกูลทหาร ตั้งแต่เล็กก็ได้ยินเรื่องในแวดวงขุนนางเหล่านี้อยู่เป็นประจำ

 

 

“หาคลังของพวกเขา เอาของที่ขนได้ไปให้หมด” เสี่ยวอู่กล่าว

 

 

คราวนี้กลับไม่มีคนคัดค้าน เพราะว่าคุณชายสี่สอนซ้ำๆ ว่า ‘การต่อสู้คือการสู้เพื่อเงิน เพื่อเสบียง ดังนั้นพวกเจ้าไปรบที่ใด สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือการแย่งวัตถุดิบ มีวัตถุดิบจึงจะมีรากฐานในการสู้รบต่อ’

 

 

แต่ของมากมายเพียงนี้จะขนกลับไปได้อย่างไร พวกเขาเร่งทัพเดินทาง ในมือไม่มีแม้แต่รถสักคัน รังโจรก็ไม่ได้มีรถเยอะเพียงนั้น ไม่อาจแบกกันไปคนละกระสอบได้กระมัง ดูท่าแล้วที่เตรียมมายังคงไม่พอ

 

 

ขณะที่กองทหารเด็กกำลังคิดทบทวน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยของคุณชายสี่ดังขึ้น ชั่วขณะทุกคนก็ประหลาดใจ เอ๋ คุณชายสี่มาแล้ว

 

 

“คุณชายสี่” หลังจากประหลาดใจแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกอับอายหลายส่วน เดิมคิดว่าตัวเองเก่งมากแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับต่อยหน้าพวกเขาอย่างแรง

 

 

เสิ่นเวยคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำหนึ่งตัว ปรากฏตัวให้เห็นความองอาจผ่าเผยมากเป็นพิเศษ นางมองกองทหารเด็กที่นางสร้างขึ้นมากับมือ กล่าวเสียงดังกังวาน “แม้ว่าจะไม่พอ แต่โดยภาพรวมก็ไม่เลวเลย พวกเจ้าคิดอย่างมีหลักการไม่ได้ทำอย่างบุ่มบ่าม ข้าชื่นชมยิ่งนัก สำหรับการขนส่งเสบียง” นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วกล่าว “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจ จางสง เฉียนเป้า ไปเถอะ”

 

 

หลังจากคำพูดของเสิ่นเวย ก็มีคนจำนวนมากก้าวออกมาจากไหนก็ไม่รู้ คนที่นำหน้าคืออาจารย์

 

 

จางสงกับอาจารย์เฉียนเป้ามิใช่หรือ ที่แท้แล้วลูกน้องของคุณชายสี่ก็มาช่วยด้วยเช่นกัน แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ดูท่าแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนยังมีอีกเยอะ

 

 

สายลมยามราตรีพัดผ่าน ความปีติยินดีในชัยชนะผ่านพ้นไป ในอกกองทหารเด็กแต่ละคนต่างก็เข้าใจกระจ่าง ชนะไม่เหลิง แพ้ไม่ถอดใจ! ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามไม่อาจถูกชัยชนะทำให้สติเลอะเลือนได้ โดยเฉพาะต้องถ่อมตัวรอบคอบ ไม่อาจหยิ่งผยองทะนงตนได้

 

 

คุณชายสี่ใช้ความเป็นจริงมาสอนบทเรียนชีวิตให้พวกเขาอีกหนึ่งบท

 

 

เสิ่นเวยเห็นกองทหารเด็กตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว มุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ ด้วยความชื่นชม จุดเด่นยังคงต้องกล่าวยอมรับ “ปราบโจรครั้งแรกทำได้ขนาดนี้ก็ไม่เลวมากแล้ว ที่เหลือพวกเจ้าก็แค่ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ในการรบจริง หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเติบโตไปเป็นชายหนุ่มที่ทำให้ข้าภูมิใจได้ ไม่ใช่เด็กน้อยที่หนีทหารขี้ขลาด!” เสียงของเสิ่นเวยกังวานมีพลัง

 

 

“ปฏิบัติตามคำสอนของคุณชายขอรับ” เสียงกังวานดังก้องท้องฟ้ายามราตรี ตอนนี้ ในใจของทุกคนต่างก็ห้าวหาญฮึกเหิม