ตอนที่ 174-1 คว้าชัยกลับมา

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ในเขตป้องกันที่ห่างจากเขาเฟิ่งหวงยี่สิบลี้ 

 

 

มีทหารยศน้อยที่ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกบังเอิญเงยหน้าขึ้นเห็นว่าทางทิศเหนือคล้ายมีประกายไฟ เหมือนกับว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นที่ใดสักแห่ง ทหารยศน้อยคิดว่าตนตาฝาด ขยี้ตาดูอีกครั้ง ใช่แล้ว เป็นประกายไฟจริงๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่เหมือนไฟไหม้เท่าไรนัก 

 

 

ทหารยศน้อยไม่ได้ใส่ใจ ไม่ใช่เขตป้องกันที่เกิดไฟไหม้เสียหน่อย อากาศหนาวเหน็บมุดเข้าผ้าห่มให้สบายใจดีกว่า 

 

 

เสิ่นเวยนำกองทหารเด็กกับผู้ใต้บังคับบัญชาขนของในรังโจรเขาเฟิ่งหวงจนหมดเกลี้ยง แม้แต่เรือนก็ถูกรื้อ ไม้ก็ต้องใช้ไม่ใช่หรือ เอาไปด้วย คนหลายร้อยคนเรียงแถวเดินทางกลับตลอดทั้งคืน 

 

 

ขากลับนำของมากมายเพียงนั้นไปด้วยย่อมต้องไม่เร็วเหมือนขามา โชคดีที่ขามาเตรียมตัวมากพอ กองทหารเด็กซ่อนตัวยามกลางวันออกเดินทางยามกลางคืน คนที่เหลือก็ปลอมตัวเป็นกลุ่มพ่อค้าวางมาดเดินทางตอนกลางวัน ขอเพียงแค่เข้าไปในเขตเมืองชายแดนได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว 

 

 

ทหารยศน้อยหลายคนในเขตป้องกันกำลังถกเถียงเรื่องแปลกๆ เมื่อคืนอยู่ “เมื่อคืนตอนประมาณยามสาม ข้าตื่นเพราะหิว ว่าจะไปทำอะไรกินเสียหน่อย พวกเจ้าทายสิว่าข้าเห็นอะไร” คนผู้นี้กล่าวด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ 

 

 

คนหลายคนที่ล้อมเขาอยู่ต่างก็พากันเร่งรัดให้เขาพูด มีคนหยอกเล่น “คงไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นเหล่าหญิงงามหรอกนะ” 

 

 

“หากเห็นเหล่าหญิงงามจริงๆ ก็ดีน่ะสิ เจ้าคิดว่าข้าเหมือนเด็กๆ เช่นเจ้าหรือไร เงินทุกเดือนล้วนเข้ากระเป๋าหญิงนางโลม บ้านข้ามีภรรยา นี่ก็สองปีแล้วที่ไม่ได้กลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่านางดูแลไหวหรือไม่” คนผู้นั้นหลุดหัวเราะออกมา 

 

 

“บอกมาเร็วๆ เจ้าเห็นอะไรกันแน่” เมื่อเห็นว่าเขาจะเปลี่ยนประเด็น คนที่ใจร้อนก็กล่าวเร่งทันที 

 

 

คนผู้นั้นเองก็ขี้เกียจจะอ้อมค้อม “ข้าเห็นว่าทางเหนือคล้ายมีประกายไฟ เหมือนว่าเกิดไฟไหม้ที่ไหนสักแห่ง แต่จะบอกว่าไฟไหม้ก็ไม่เชิง ทางเหนือของพวกเราคือเขาเฟิ่งหวง หากเขาเฟิ่งหวงไฟไหม้ไม่ใช่ว่าต้องไหม้ลามมาถึงท้องฟ้าตอนเหนือแล้วหรือ” 

 

 

“ไม่ใช่ว่าเจ้ามองผิดแล้วหรือ” มีคนสงสัย “หากไฟไหม้พวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไร แม้ว่าตอนนั้นจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ก็ควรจะได้ข่าวแล้ว” 

 

 

“ไม่ ข้าไม่ได้มองผิดจริงๆ มีประกายไฟจริงๆ ข้ายังมองอยู่พักใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ” คนผู้นั้นยืนกรานว่าตนเห็น 

 

 

ทหารยศน้อยที่ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำเมื่อคืนผู้นั้นรีบกล่าว “จริงๆ ข้าเองก็เห็น ข้าตื่นมาเข้าห้องจึงเห็นวับๆ แวมๆ เป็นประกายไฟจริงๆ” 

 

 

“ไม่ใช่ว่าที่เขาเกิดเหตุหรอกนะ” มีคนเอ่ยขึ้น เขาเฟิ่งหวงใหญ่เพียงนั้น ไม่แน่ว่าข้างในอาจจะเกิดเหตุอะไร 

 

 

“อาจจะเป็นผีพุ่งไต้ก็ได้” มีคนเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป “พวกเจ้าคิดดู ทุกๆ ปีบนเขาเฟิ่งหวงมีคนตายเท่าไร จะต้องเป็นผีพุ่งไต้แน่นอน” 

 

 

ผ่านการวิเคราะห์ของคนผู้นี้ คนที่เหลือต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “ว่ากันว่าเขาเฟิ่งหวงนั้นผิดแปลก เห็นชัดๆ ว่ามีทางเดิน แต่เดินอยู่ครึ่งวันจึงพบว่ายังคงเดินวนอยู่ที่เดิม” 

 

 

“ก็เพราะว่าเจอผีบังตาอย่างไรเล่า ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ น้องชายของลุงรองตระกูลข้าก็เคยเจอเรื่องเช่นนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากลับบ้านตอนกลางคืน พระจันทร์ดวงโตส่องทาง สว่างยิ่งนัก เดินผ่านสุสานแห่งหนึ่ง เห็นชัดๆ ว่ามีทาง แต่เดินอยู่ครึ่งคืนแล้วก็ยังไม่ถึงบ้าน น้องชายลุงรองผู้นั้นของข้าก็กล้าหาญ ไม่เดินต่อ นอนหลับอยู่ข้างทางเสียเลย พอฟ้าสาง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ก็นอนอยู่บนหลุมศพน่ะสิ ทำเอาน้องชายลุงรองผู้นั้นของข้าหวาดกลัว กลับบ้านไปป่วยหนัก ไม่กล้าเดินทางตอนกลางคืนอีกเลย” 

 

 

“ไอหยา เลิกพูดได้แล้ว น่ากลัวจะตายชัก” 

 

 

“ดูเจ้าขี้ขลาดไร้อนาคตสิ ผียังกลัวปีศาจ พวกเราเป็นทหาร กล้าหาญองอาจ ไม่กลัวหรอก” 

 

 

คนหลายคนแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ หนึ่งคนในนั้นขี้ประจบประแจงก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยฟัง ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยไม่ใช่ทหารยศน้อยที่ด้อยประสบการณ์ รู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติอย่างยิ่งทันที เขาไม่กล้าเมินเฉย รายงานเรื่องนี้ให้ใต้เท้าผู้บังคับกองพันฟังทันที 

 

 

“ใต้เท้า ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาเฟิ่งหวงจะเกิดเรื่อง” ในใจใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยพะว้าพะวงเล็กน้อย 

 

 

ดวงตาของใต้เท้าผู้บังคับกองพันหรี่ลง ไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าว “เป็นไปไม่ได้กระมัง หลายปีเพียงนี้ก็สงบนิ่งปลอดภัย จะเกิดเรื่องได้อย่างไร” 

 

 

“แต่เมื่อคืนประกายไฟนั้นไม่ใช่แค่คนสองคนที่เห็น สว่างกว่าครึ่งคืน” ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยยังคงไม่สบายใจ คนอื่นไม่รู้ แต่เขากับใต้เท้าผู้บังคับกองพันรู้ดีอยู่แก่ใจ เหตุใดโจรเขาเฟิ่งหวงถึงมีอำนาจมากเพียงนี้มาจนถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะการปล่อยปะละเลยของพวกเขาหรือไร ทุกคนที่ไปปราบโจรก็เพียงแค่เสแสร้งรายงานเบื้องบน ความจริงแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยงอวิ๋นเทียน มิเช่นนั้น หากไม่มีของแสดงความเคารพจากเซี่ยงอวิ๋นเทียน พวกเขาจะใช้ชีวิตในสถานที่กันดารแห่งนี้ด้วยความสบายใจเพียงนี้ได้อย่างไร 

 

 

“เซี่ยงอวิ๋นเทียนเป็นคนชอบคบค้าสมาคม หากมีเรื่องจริงๆ เขาจะไม่ส่งคนมาขอความช่วยเหลือหรือ” ใต้เท้าผู้บังคับกองพันยังคงไม่เชื่อว่าเขาเฟิ่งหวงเกิดเรื่อง เซี่ยงอวิ๋นเทียนเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทุกปีเขาจ่ายเงินกองโตทำให้ตัวเองสบายใจเป็นอิสระเช่นนี้ได้มิใช่หรือ 

 

 

ผ่านการพูดของใต้เท้าผู้บังคับกองพันเช่นนี้ ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยก็ลังเลแล้ว แต่ว่าในใจเขามักจะรู้สึกไม่สบายใจ คิดครู่หนึ่งยังคงกล่าว “หรือว่าจะไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ อย่างไรเสียก็ไม่ไกล” 

 

 

ใต้เท้าผู้บังคับกองพันคิดเล็กน้อย ตอบตกลง 

 

 

บอกว่าไปก็ไป คนทั้งสองขี่ม้าตัวใหญ่นำทหารคนสนิทไม่กี่คนมุ่งหน้าไปยังเขาเฟิ่งหวงโดยอ้างว่าไปลาดตระเวน 

 

 

ถึงล่างเขาแล้วทุกอย่างก็ยังคงปกติ ใต้เท้าผู้บังคับกองพันยังหยอกล้อใต้เท้ากองร้อยที่หวาดระแวง แต่ยิ่งขึ้นไปบนเขาก็ยิ่งผิดปกติ ในที่สุดพวกเขาก็เห็นศพหลายศพแล้ว ดูจากเสื้อผ้าบนร่างก็รู้ว่าเป็นโจรเขาเฟิ่งหวง 

 

 

แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย ใต้เท้าผู้บังคับกองพันกับใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยสบตากับปราดหนึ่ง ไม่กล้าขึ้นเขาต่อแล้ว คนที่พวกเขานำมามีน้อยเกินไป หากบนเขาเกิดเรื่อง ไม่ใช่ว่าเป็นการส่งตัวเองไปตายหรอกหรือ 

 

 

“ถอย! กลับเขตป้องกัน” ใต้เท้าผู้บังคับกองพันออกคำสั่ง คนหลายคนก็วิ่งกลับเขตป้องกันประหนึ่งถูกผีไล่ตาม กลับไปถึงเขตป้องกันแล้วจึงระดมพลทหารทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง 

 

 

ตั้งแต่ท้องเขา แทบจะทุกๆ ก้าวก็สามารถพบเห็นศพของโจรได้ ตอนที่ขึ้นไปถึงยอดเขาพวกเขาก็ยิ่งตกใจ บ้านเรือนพังทลาย ศพ ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่เป็นศพ เป็นศพของโจรทั้งสิ้น 

 

 

ศพล้วนแต่แข็งทื่อแล้ว โลหิตบนพื้นก็เกาะตัวแล้ว แต่ปลายจมูกของใต้เท้าผู้บังคับกองพันกับใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้น 

 

 

ใครกัน ใครมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ ทำลายโจรกลุ่มนี้ของเซี่ยงอวิ๋นเทียนอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ดูจากฝีมือ จะต้องเป็นกองทัพแน่นอน แต่ในเขตเฮยผิงทั้งหมดไม่มีกองทัพที่เก่งกาจทั้งยังจิตใจโหดเ**้ยมเช่นนี้เลย หรือว่าเบื้องบนจะ… 

 

 

ใต้เท้าผู้บังคับกองพันไม่กล้าคิดต่อแล้ว หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เกิดปัญหาแล้ว ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าการค้าขายที่ทำร่วมกับเซี่ยงอวิ๋นเทียนมีเพียงผู้บังคับกองร้อยคนเดียวที่รู้ เขากับตนลงเรือลำเดียวกัน ย่อมไปกล้าพูดออกไป แม้ว่าคนอื่นจะคาดเดา แต่ไม่มีหลักฐานก็เอาผิดพวกเขาไม่ได้ 

 

 

ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยตกใจไม่หยุด แต่สมองเขาไว ครู่หนึ่งก็คิดอะไรได้ “ใต้เท้าผู้บังคับกองพัน นี่เป็นคุณูปการใหญ่หลวง! หรือพวกเราควรจะ…?” นิ้วมือของเขาชี้ขึ้นข้างบน 

 

 

ความหมายในคำพูดเขาเข้าใจดีอย่างยิ่ง ก็แค่ยึดครองคุณงามความดีนี้ไว้มิใช่หรือ โจรแปดร้อยคนถูกสังหารทั้งหมด นี่เป็นคุณูปการใหญ่หลวงอย่างยิ่ง ด้วยคุณูปการนี้เขาก็สามารถเลื่อนขั้นได้แล้ว ไม่ต้องสงสัย ใต้เท้าผู้บังคับกองพันก็สนใจอย่างถึงที่สุด 

 

 

ทว่าเขายังคงส่ายหน้า สบสายตาที่สงสัยของผู้บังคับกองร้อย เขาชี้อักษรตัวใหญ่หนึ่งบรรทัดข้างบนกำแพงข้างหน้า “เจ้าว่านั่นคืออะไร” 

 

 

ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพียงกำแพงใช้เลือดเขียนไว้ว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง’ ไอสังหารคุกรุ่น น่าสยดสยอง ใต้เท้าผู้บังคับกองร้อยหวาดผวาอยู่ในใจ คนที่เขียนคำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงมานานแล้วเป็นแน่ ตอนนี้เขาไหนเลยจะกล้ามีความคิดครอบครองคุณูปการนี้อีก หวังแต่ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดไว้เงียบๆ 

 

 

ความคิดของใต้เท้าผู้บังคับกองพันก็เหมือนกัน ปิดเรื่องนี้เอาไว้เงียบๆ จึงจะดีที่สุด เพียงแต่เสียดายเซี่ยงอวิ๋นเทียน อย่างไรเสียก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ แต่กลับถูกคนแทงซ้ำๆ ตายอย่างอัดอั้นเพียงนั้น 

 

 

ใต้เท้าผู้บังคับกองพันนำคนมาแล้ว จากนั้นก็ไปแล้ว หลังจากวันนี้ไปเขาเฟิ่งหวงประหนึ่งกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้นอีก อย่าว่าแต่ใต้เท้าผู้บังคับกองพันจะออกคำสั่งให้ปิดปาก ต่อให้ไม่สั่ง เพียงแค่ศพเต็มภูเขานั่นก็เพียงพอให้สะพรึงกลัวแล้ว ไหนเลยจะกล้าเอ่ยเล่นขึ้นมาอีก