ส่วนที่ 5 ตอนที่ 41 อำนาจของพ่อค้า

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อวิ๋นเยี่ยนั้นยุ่งมาก เขาต้องสะสางงานทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนจึงจะถอยออกมาได้ หลี่เค่อได้สั่งสมประสบการณ์การสร้างอาคารไว้มากพอแล้ว ให้เขาไปหาสหายที่มีความคิดเช่นเดียวกันอีกสี่คนเพื่อจัดตั้งกลุ่มขึ้น เชื่อว่าจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแน่นอน

 

 

ดังนั้นหลังจากอวิ๋นเยี่ยโยนภาพแบบก่อสร้างของตรอกซิ่งฮวาฟางให้กับเขาแล้วก็ไม่สนใจอีกเลย คราวนี้การสร้างบ้านของตรอกซิ่งฮวาฟางนอกจากความแตกต่างเล็กน้อยในโครงสร้างอาคารหลังเล็กของสำนักศึกษาแล้ว ก็มีเพียงเรื่องของการออกแบบภูมิทัศน์กลางแจ้งเพิ่มขึ้นมา มีอาจารย์หลีสือเป็นผู้ดูแลหลักอวิ๋นเยี่ยไม่มีอะไรต้องกังวล แรงงานที่ตระกูลอวิ๋นว่าจ้างมาได้เริ่มลงมือถางพื้นที่บริเวณที่จะก่อสร้างแล้ว

 

 

ที่วุ่นวายก็คือเรื่องตำหนัก มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเรื่องของการเข้าและออกในแต่ละวัน ทุกคนจะมีป้ายอนุญาต ผู้ที่ไม่มีป้ายหากเข้าหรือออกตามอำเภอใจจะถูกลากไปยังที่ว่าการเพื่อลงโทษ ขั้นตอนการเข้าออกนั้นมากมายซับซ้อนและใช้เวลานานมาก อวิ๋นเยี่ยกังวลว่าการสร้างฐานรากของตำหนักจะเสร็จสมบูรณ์ได้ตามกำหนดเวลาหรือไม่ โชคดีที่ที่นั่นเดิมก็มีเนินเขาเล็กๆ อยู่แล้ว ตระกูลกงซูได้คำนวณถึงความยิ่งใหญ่ของโครงการมาตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยความคิดที่คำนึงถึงภาพรวมทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นด้วยหากสามารถประหยัดได้เล็กน้อยพวกเขาก็จะทำ

 

 

กงซูเจี่ยนั้นเป็นหัวหน้าคนงาน หลังจากที่ทำการศึกษาคุณภาพดินของเนินเขานั้นได้แล้วก็รู้สึกพึงพอใจกับการออกแบบของตระกูลตนเองเป็นอย่างมาก เนินเขานั้นสามารถนำมาใช้ได้ ในฐานะมือหนึ่งในวงการสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือมีคนมายืนจู้จี้ขี้บ่น ซึ่งอวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ที่เล่นบทที่น่าอับอายนี้พอดีเลย ประเดี๋ยวก็บ่นว่าหน้างานนั้นวุ่นวายมาก ตะกร้าไม้ไผ่ที่ใช้ใส่ดินโยนทิ้งระเกะระกะอยู่ทั่วพื้น ไม่มีความปลอดภัยเอาเสียเลย ประเดี๋ยวก็ติติงว่าช่างฝีมือทำงานจนร้อนมากถึงกับถอดเสื้อทำงาน

 

 

หลังจากที่ทุกคนอดทนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม อวิ๋นโหวที่เก่งกล้าสามารถทุกอย่างถูกเชิญให้ออกจากหน้างาน และพูดตามตระกูลกงซูที่ว่า “ความปรารถนาดีของอวิ๋นโหวทุกคนรู้แล้ว ได้ยินว่าวันนี้ในเมืองฉางอันสนุกสนานครื้นเครงเป็นพิเศษ เหตุใดอวิ๋นโหวไม่ลองไปดูเสียหน่อย”

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองค่อนข้างเป็นส่วนเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าออกจากวัง พ่อค้าทั่วทั้งเมืองฉางอันกำลังรอเขาอยู่นอกวัง ตามที่เหล่าจวงรายงานแม้แต่ชาวเผ่าหูก็มา

 

 

เจ้าของที่ที่ร่ำรวยมั่งคั่งกำลังกอบโกยอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากของพ่อค้านับพันในฉางอันเลยแม้แต่น้อย การสร้างตำหนักให้ฮ่องเต้ทำไมจึงมีแต่ร้านค้าของพวกตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์ ประชาชนคนทั่วไปอย่างพวกเราสมควรแล้วที่ต้องเฝ้าดูอยู่ข้างๆ อย่างนั้นหรือ

 

 

หากมีผลประโยชน์พวกเราก็ควรจะแบ่งกัน ฝ่าบาทไม่ได้เป็นเพียงฮ่องเต้ของตระกูลใหญ่อย่างพวกเจ้า แต่ก็เป็นฮ่องเต้ของพวกเราด้วยเช่นกัน เพราะอะไรป้ายอนุญาตของราชวงศ์จึงมีแต่พวกเจ้าที่ใช้ได้ พวกตระกูลใหญ่สามารถขายสินค้าในราคาร้อยละยี่สิบให้กับฝ่าบาทได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ พวกเราไม่เอาเงินแม้แต่แดงเดียว ขอเพียงอนุญาตให้พวกเขาได้ใช้ชื่อของราชวงศ์ก็พอ สินค้าก็จะถูกส่งมาถึงที่เลย

 

 

หลี่เฉิงเฉียนยืนอยู่บนกำแพงวังดูฝูงชนที่แน่นขนัดแล้วหัวเราะจนท้องแข็ง วิ่งทุลักทุเลกลับตำหนักไท่จี๋ นำเรื่องนี้เล่าให้หลี่ซื่อหมินและขุนนางใหญ่ฟัง ในราชสำนักพลันเกิดความอลหม่านขึ้นในทันใด

 

 

ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังถกปัญหากล่าวโทษอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รักษาหน้าตาของราชวงศ์ ให้พ่อค้านำชื่อของราชวงศ์ไปใช้โดยพลการ ซึ่งเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงบารมีของราชวงศ์ ผลก็คือเหล่าตระกูลขุนนางที่มีส่วนได้รับผลประโยชน์ก็เถียงคอเป็นเอ็น ขณะที่กำลังจะโกรธแต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเรื่องน่าตลกเช่นนี้ แต่ละคนก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรในทันที

 

 

ประชาชนต่างก็แย่งกัน กลัวจะไม่ได้สร้างตำหนักให้ราชวงศ์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นี่คือสิ่งที่ทุกยุคทุกสมัยไม่เคยเกิดขึ้นเลยในอดีต อย่าเพิ่งพูดถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขาคืออะไร แต่ด้วยความตั้งใจนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายว่าราชวงศ์ถังได้ใจประชามากเพียงไร ยังจะกล่าวโทษอะไรกันอีก ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงพระสรวลจนพระโอษฐ์จะค้างอยู่แล้ว เหล่าตระกูลใหญ่ก็ยิ้มหน้าบาน เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาหน้าตาซีดเซียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เงินสามหมื่นก้วนของอวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันใช้จนหมดก็สามารถสร้างตำหนักที่โอ่อ่าหรูหราได้แล้ว

 

 

“โอ้ ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยเป็นคนก่อเรื่องให้เกิดขึ้น เช่นนั้นก็ให้เขาจัดการมันเอง ไม่ควรทรยศต่อความหวังดีของประชาชน เราพูดเมื่อสองสามวันก่อนว่าน้ำสามารถพยุงเรือได้และมันก็สามารถคว่ำเรือได้ เห็นทีว่าใจประชาของต้าถังเรานั้นนำมาใช้ประโยชน์ได้ หลังจากสร้างตำหนักหลังนี้เสร็จให้ชื่อว่าตำหนักว่านหมิน เพื่อเป็นการแสดงถึงน้ำใจของชาวประชา รัชทายาท เจ้าช่วยขอบคุณไมตรีจิตที่ลึกซึ้งของชาวประชาแทนเราด้วย”

 

 

จะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียอวิ๋นเยี่ยก็ต้องออกจากวัง ประสาอะไรกับที่หลี่เฉิงเฉียนได้นำพระราชกระแสรับสั่งของฝ่าบาทที่ให้เขาแก้ปัญหานี้ พ่อค้าของต้าถังล้วนแต่เป็นแบบอย่างตามมาตรฐานของคนในยุคปัจจุบัน อย่าว่าแต่เรื่องหลอกลวงผู้บริโภคเลย แม้แต่เรื่องการนำของมาเกรดต่ำกว่ามาตรฐานมาขายที่พ่อค้าโดยทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่กรณีเดียว หากบอกว่าเป็นผ้าแพรไหมจากแดนเสฉวนก็จะไม่มีทางเป็นของหยางโจวอย่างแน่นอน หากบอกว่าเป็นหน่อไม้จากเขาหนานซันก็จะไม่ใช่ของจากเขาซีซันอย่างแน่นอน

 

 

อวิ๋นเยี่ยเริ่มบ่นอุบกับจิตใจบริสุทธิ์ของผู้คนในยุคนี้ ไม่มีพ่อค้าแม้แต่คนเดียวที่จะมีข้อผิดพลาดให้จับผิดได้ แล้วจะให้เขาเลือกอย่างไร

 

 

พ่อค้าอาจเป็นกลุ่มคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ พวกเขามีความไวต่อข้อมูลมากที่สุด แต่ละคนต่างก็มีตาชั่งอยู่ในใจ สิ่งไหนสำคัญมากกว่ากันย่อมรู้อย่างชัดเจนที่สุด

 

 

ตลาดกลางนั้นมีมาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าความวุ่นวายไม่ใช่วิธีที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ แต่ละอาชีพก็มีกลุ่มก้อนของตัวเอง โดยมีผู้คนที่มีคุณธรรมน่าเคารพนับถือมากที่สุดให้เป็นผู้นำ พวกเขาบันทึกความต้องการของพวกเขาและให้ตัวแทนส่งมอบให้กับอวิ๋นเยี่ย

 

 

ไม่ต้องละโมภ ตลาดกลางแต่ละแห่งต่างก็ต้องการสมาชิกเพียงหนึ่งรายเท่านั้น ซึ่งนี่ถือเป็นจำนวนรวมที่ต้องการ ให้พวกเขาเลือกพ่อค้าที่เหมาะสมและออกใบอนุญาตให้จึงจะสามารถใช้ตราสินค้าที่เป็นของราชวงศ์โดยเฉพาะ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ากฎหมายเครื่องหมายการค้ากำลังจะกำเนิดขึ้นจากคนเหล่านี้

 

 

กฎหมายอาญาของราชวงศ์ถังเป็นเพียงกฎหมายที่เป็นแค่ภาพรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการค้า มันถูกบัญญัติขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นข้อๆ ภาพรวมเท่านั้นสำหรับรายละเอียดที่เหลือตลาดกลางจะเป็นผู้ที่เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ พ่อค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของตลาดกลาง เมื่อถูกลงโทษจะรุนแรงมากกว่าการลงโทษของทางการอย่างแน่นอน สิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าของราชวงศ์นั้นจะต้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุด

 

 

ภาษีการค้าของต้าถังเพียงหนึ่งในสามสิบส่วนของรายได้ตนเอง ถูกจนเขาต้องยกนิ้วให้เลย ไม่น่าแปลกใจที่จะมีเหล่าพ่อค้ามาขออยู่ใต้อาณัติกับเหล่าตระกูลใหญ่ มีเพียงผลกำไรเป็นกอบเป็นกำของพ่อค้าเท่านั้นที่สามารถสนับสนุนชีวิตที่หรูหราของตระกูลใหญ่ได้

 

 

ไม่ตัดน้ำมันทิ้งไปชั้นหนึ่งจะใช้ได้อย่างไร สำหรับสินค้าก็ให้ราคาอยู่ที่ร้อยละยี่สิบ นี่เป็นฐานราคาที่ไม่ห้ามทำลายเด็ดขาด สำหรับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าของราชวงศ์ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะให้พวกเขาใช้มันเป็นเวลาห้าปี หลังจากห้าปีแล้วจึงหารือกันใหม่ เขาเชื่อว่าเมื่อพ่อค้าที่ได้ลิ้มรสความหวานแล้วและต้องการได้รับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าอีก พวกเขาจะต้องลงทุ่มทุนสุดชีวิตเป็นแน่

 

 

สำหรับงานเหล็ก นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ งานไม้ก็นับรวมด้วย รถม้าก็นับรวมด้วย แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยก็อารมณ์เสีย ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตำหนักไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพียงแต่

 

 

กลุ่มการค้าอาหารหมักดองมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย จะแขวนปลาเค็มในวังหรืออย่างไร

 

 

กลุ่มเสื้อผ้าและหมวกแม้ว่าจะมีสินค้าครบวงจร แต่ว่าจะให้อธิบายกับฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างงานเย็บปักถักร้อยของราชนิกุลอย่างไร ได้ยินว่าผู้ที่รับผิดชอบนั้นก็คือนางกำนัลคนสนิทของจั่งซุน ล่วงเกินนางกับล่วงเกินจั่งซุนจะมีอะไรแตกต่างกัน

 

 

ให้ตายสิ หอโคมเขียวเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย วังหลังของหลี่ซื่อหมินก็แออัดเบียดเสียดจะแย่มาตั้งนานแล้ว เขาไม่ชอบไปเที่ยวหอโคมเขียวเหมือนซ่งฮุยจงเสียหน่อย ถ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้จั่งซุนจะต้องจับเขาทำปลาเค็มเป็นแน่

 

 

จึงเรียกหัวหน้าตลาดกลางที่เฝ้าอยู่นอกประตูให้เข้ามา นำบันทึกของกลุ่มงานหลายๆ กลุ่มที่ไม่เหมาะสมวางเรียงต่อหน้าพวกเขาเพื่อให้ดูด้วยตัวเอง ผู้เฒ่าหลายคนมองไปที่กลุ่มงานหลายที่ถูกตีกลับมา จากนั้นจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างราบเรียบว่า “อวิ๋นโหว พ่อค้าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงได้ส่งขึ้นมา ท่านดูสิ เสื้อผ้าและหมวกเป็นกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้เขายังมีร้านผ้าไหม ผ้าฝ้ายคอยให้การสนับสนุนอยู่อีกด้วย ข้ารู้ว่าการสร้างตำหนักว่านหมินไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขา แต่ว่าเงินทองคงต้องได้ใช้กระมัง

 

 

ข้าได้ยินว่าฮองเฮาประทานเงินให้อวิ๋นโหวเพียงสามหมื่นก้วน เงินเพียงเล็กน้อยนี้นำมาใช้สร้างตำหนักว่านหมินนั้นเรียกได้ว่าเป็นเหมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในเมื่อพวกเราจะสร้างตำหนักหลังนี้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน หากมันดูซอมซ่อเกินไปไม่เท่ากับทำให้ฝ่าบาทต้องทรงเสียหน้าหมดหรือ พวกเราได้รับผลประโยชน์จากราชสำนักแต่กลับไม่ได้ทำงานให้สำเร็จด้วยดี แล้วตำหนักนี้ยังจะสามารถตั้งชื่อว่าตำหนักว่านหมินได้อีกหรือ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยจะไม่ยอมรับก็คงจะไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนอยากสร้างความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ให้มากขึ้น แต่กลับพูดด้วยคำพูดสวยหรูจนทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถปฏิเสธได้ มั่นใจได้เลยว่าความคิดของตาเฒ่าเหล่านี้จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การสร้างตำหนักอย่างแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยชอบที่จะได้ยินอยากที่จะได้เห็น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนร้าย มันเป็นสิ่งที่ดีที่พ่อค้ามีคำเรียกร้องทางการเมือง ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อหมินกดขี่พ่อค้าอย่างโหดร้ายเกินไป ตอนนี้พวกเขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้จึงต้องการใช้เงินมาแลกกับการผ่อนปรนของทางการแล้ว หวังว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ

 

 

“ผู้อาวุโสทุกท่านที่กล่าวมาสามารถพูดได้เลยว่าทุกคำมีความหมาย อวิ๋นเยี่ยน้อมรับคำสอน ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ทุกท่านไม่มีใครต้องการทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ราชวงศ์เป็นแน่ เรื่องนี้ก็ขอมอบหมายให้ทุกท่านช่วยรับหน้าที่ไปด้วย เชื่อว่าจะต้องสามารถรวบรวมเงินได้เพียงพอแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมอีกต่อไป จึงต้องการคืนงานการก่อสร้างตำหนักให้กับกรมโยธา ไม่ทราบว่าอาวุโสทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร”

 

 

คำพูดเพียงประโยคเดียวของอวิ๋นเยี่ยทำให้เรื่องส่วนตัวของราชวงศ์เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ซึ่งนี่เป็นน่ายินดีที่น่าตกใจสำหรับพ่อค้าชัดๆ เมื่อเรื่องนี้ดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะสามารถเปลี่ยนมุมมองความคิดของเหล่าขุนนางทั้งราชสำนักที่มีต่อพ่อค้าได้ ไม่แน่ว่าจะสามารถคลายเชือกที่มัดอยู่รอบคอพวกเขาได้

 

 

ผู้เฒ่าแซ่ซูผู้เป็นหัวหน้ายกชายเสื้อขึ้นและเดินขึ้นมาด้านหน้า นำผู้เฒ่าคนอื่นที่เหลืออยู่ทำการคารวะด้วยความเคารพ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ปฏิเสธ นั่งนิ่งบนเก้าอี้เพื่อรับการคารวะจากพวกเขา

 

 

หลังจากที่รอให้พวกเขานั่งลงอีกครั้งแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “หากไม่ใช่ว่าฝ่ายนั้นกดดันฝ่ายเรา ก็เป็นฝ่ายเราได้กดดันฝ่ายเขา อวิ๋นเยี่ยขออวยพรให้พวกท่านสมดังปรารถนา เงินทองไหลมาเทมา” เมื่อพูดจบก็ประสานมือคารวะเดินออกจากประตู มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

 

 

จั่งซุนสีหน้าแย่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินว่าพ่อค้าในฉางอันได้รวมตัวกันเพื่อช่วยกันสร้างตำหนักให้กับราชวงศ์ นางก็นั่งอยู่บนตั่งเตี้ยๆ โดยไม่พูดอะไรเลย อวิ๋นเยี่ยมักจะสามารถยืมพลังของคนอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองได้เสมอ ไม่แน่ว่าอาจมีพายุอีกระลอกหนึ่งเกิดขึ้นในราชสำนักก็เป็นได้

 

 

“ฮองเฮา กระหม่อมทำงานเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบให้กรมโยธาเป็นผู้จัดการต่อเถิด ข้าเป็นแค่โหวเหยีย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เข้าไปมีส่วนพัวพันไปเสียหมด แลดูไม่เหมาะสม” รออยู่เป็นนานฮองเฮาก็ไม่พูดอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

 

 

“โอ้ เรายังคิดว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อโอ้อวดเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังรู้จักว่าอะไรควรไม่ควร” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจั่งซุน

 

 

“กระหม่อมเป็นข้าราชบริพารของต้าถัง ไม่ใช่ศัตรูของต้าถังเสียหน่อย เหตุใดต้องทำลายฉากสันติภาพที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ด้วย ฮองเฮาทรงกังวลมากไปแล้ว” อวิ๋นเยี่ยคำนับจั่งซุนพร้อมด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขเสียที หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของเจ้าหลังจากถวายรายงานต่อฝ่าบาทแล้วก็มอบหมายให้ผู้อื่นต่อก็แล้วกัน คิดว่าตู้เค่อหมิงน่าจะอดทนรอเป็นเวลานานแล้ว เจ้าก็อย่าได้ทรมานเขาอีกเลย ให้พวกเขาสร้างตำหนักว่านหมินขึ้นมาให้เรียบร้อย นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แห่งต้าถังของเรา”

 

 

พอยืนมองจั่งซุนจากไป อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ตนเองไม่ใช่คนที่เหมาะที่จะทำงานอย่างหมกมุ่น เพราะเหตุใดจึงต้องไปหาเรื่องให้ผู้คนเกลียดชังไปทั่วด้วย ข้าราชบริพารที่มีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขากลับบ้านแล้วนอนพักหลายๆ วันจึงจะเป็นเรื่องที่จริงจังกว่า

 

 

ครั้นเดินผ่านอุทยาน ก็เห็นหลิงตังที่ผูกแกะจนเป็นสัญลักษณ์ทำท่าลับๆ ล่อๆ แอบอยู่ใต้ต้นหวยซู่มองซ้ายมองขวา นิสัยเด็กๆ ของอวิ๋นเยี่ยจึงบังเกิดขึ้น เขาตัดสินใจเดินอ้อมจากด้านหลังเพื่อหลอกให้นางตกใจเล่น