ความลับของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ไม่มีใครรู้ (1)

ถึงอย่างไร เธอก็เป็นอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งยังมีความงดงามไม่เป็นรองใคร เมื่อตอนอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่เคยขาดแคลนคนหมายปอง…

แต่หมอนี่กลับปฏิเสธออกนอกหน้าตอนที่ผู้อาวุโสเสนอให้เขาแต่งงานกับเธอ ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?

“คุณไม่ต้องคิดให้ลึกซึ้งไปหรอก ผมหมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ คุณขี้เหร่เกินไป ผมไม่ชอบ”

เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ไม่ใส่ใจเจียงเฟยเฟยที่กำลังปรี๊ดแตก เขาหันกลับไปหาผู้อาวุโสฟังอวิ๋นอีกครั้ง “ผมมีคนรักอยู่แล้ว เกรงว่าจะต้องปฏิเสธข้อเสนอเรื่องการแต่งงานที่คุณพูดมา แต่ถ้าคุณยังอยากให้ผมเป็นหัวหน้าตระกูลโดยยกเว้นเรื่องนั้นเสีย ผมก็จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของคุณอีกต่อไป ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำพาตระกูลเจียงไปสู่ความยิ่งใหญ่โดยไม่พลาดพลั้ง เลือกเส้นทางที่ผิด!”

เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเริ่มปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว นั่นเป็นสัญญาณว่าสงครามกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้เขามีทั้งตระกูลจางและตระกูลหลัวเป็นพรรคพวก หากรวมตระกูลเจียงเข้ามาได้ นั่นก็จะดีที่สุด

แถมยังเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นเป็นใคร

อีกอย่าง จากการทรยศของสมาคมผู้หยั่งรู้ ตระกูลเจียง และสภาปรมาจารย์…เขารู้สึกว่ายังมีบางอย่างลึกซึ้งกว่าที่เห็น

บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ก็เป็นได้

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนไม่เต็มใจจะแต่งงานเข้าสู่ตระกูลเจียง เหล่าผู้อาวุโสต่างเงียบกริบ

พวกเขาไม่เคยมีคนนอกเป็นหัวหน้าตระกูลมาก่อน

“แบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเป็นตระกูลนะ ไม่ใช่สำนัก เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงจะไม่มีวันยอมรับคนนอกมาเป็นหัวหน้าตระกูลของเรา!”

“แต่เขาทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ อ่านหนังสือทุกเล่มในคลังหนังสือของเราแล้ว แถมยังสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณด้วย ถ้าเราปล่อยเขาไป นั่นอาจหมายถึงอันตรายใหญ่หลวงที่จะมาสู่พวกเราในอนาคต!”

“ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ ก็หมายความว่าเขาได้สร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสะบั้นกับตระกูลเจียงของเราแล้ว ตอนนี้เขาอาจยังไม่เต็มใจจะแต่งงานเข้าสู่ตระกูลเจียง แต่ขอแค่เขาพำนักอยู่ที่นี่นานพอ เราก็อาจหว่านล้อมให้เขายินยอมได้…เฟยเฟยอาจไม่น่ารักเท่าไหร่ อารมณ์ก็ร้อน แต่ผมเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่น่าจะปรับตัวเข้าหากันได้”

“อีกอย่าง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็มาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ตามข่าวที่เราได้รับมา เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกำลังดำเนินการเคลื่อนไหวบางอย่างในอาณาจักรใต้ดิน ขณะที่กองกำลังของสภาปรมาจารย์และสภายอดขุนพลก็มีน้อยมาก ถ้าเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตขึ้น ตระกูลเจียงของเราจะต้องกลายเป็นทัพหน้า เราต้องการผู้นำที่เข้มแข็งพอที่จะนำพวกเราได้ในช่วงเวลาแบบนี้!”

“ที่สำคัญ เขายังมีความเข้าใจอันล้ำลึกในเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณด้วย แม้แต่คำชี้แนะบางส่วนของเขาก็ทำให้พวกเราได้ประโยชน์มาก…”

…..

เหล่าผู้อาวุโสหารือกันอย่างเคร่งเครียด

บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่ยอมรับ

หลังจากการหารือกันอย่างยาวนานโดยไม่ได้ข้อสรุป เจียงฟังอวิ๋นก็หันกลับมาแล้วถามว่า “ผมขออนุญาตถาม ถ้าคุณไม่ได้มาจากตระกูลเจียง แล้วคุณเป็นใคร?”

คนอื่นๆต่างก็หยุดการหารือและหันมามอง

แม้แต่เจียงเฟยเฟยก็ยังลืมว่าอีกฝ่ายเคยดูถูกหน้าตาของเธอไว้

“ตอบตามตรงนะ อันที่จริงผมคือ…” รู้ดีว่าตระกูลเจียงไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา จางเซวียนจึงคิดว่าปลอมตัวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เขากลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมและพูดต่อ “…ผมคือจางเซวียน!”

“จางเซวียน? คุณคือทายาทน้อยแห่งตระกูลจางหรือ?”

“หัวหน้าตระกูลจาง?”

ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงขั้นสุด

หัวหน้าตระกูลจางลักลอบเข้ามาในตระกูลเจียง อ่านหนังสือทั้งหมดของพวกเขา สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ แถมยังทำให้ตราสัญลักษณ์หัวหน้าตระกูลยอมจำนนได้ด้วย

พวกเขาเคยคิดว่าต่อให้หัวหน้าตัวปลอมคนนี้ไม่ได้มาจากตระกูลเจียง ก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์สักคนที่พำนักอยู่ในตระกูลเจียงมาแล้วเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้น จะรู้เรื่องราวของตระกูลเจียงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?

ไม่เคยคาดฝันเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มอายุแค่ 20 ปี

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เคยมาเยือนตระกูลเจียงสักครั้งเลยด้วย!

พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าถึงมรดกตกทอดของตระกูลเจียง แต่ก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณแล้ว…

“คะ-คุณ…”

ในเวลาเดียวกัน เจียงเฟยเฟยก็หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ นัยน์ตาของเธอแทบปะทุออกมา

เธอพลันนึกได้ว่าตัวเองเคยดูถูกอีกฝ่ายไว้ต่อหน้าต่อตาเขา…นี่เธอกำลังสร้างศัตรูตัวฉกาจให้กับตระกูลเจียงหรือเปล่า?

แต่มาคิดอีกที หมอนี่ก็ทำเกินเลยไป เขาถึงกับพูดออกมาว่าเธอหน้าตาขี้เหร่!

ตอนแรก เธอคิดว่าจะหาโอกาสซ้อมอีกฝ่ายให้น่วมเพื่อเอาคืน แต่เท่าที่เห็น เธอคงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น

หมอนี่แข็งแกร่งและทรงพลังเกินไป!

แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมากกว่า 12 คนจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่พร้อมกับรองประธานเหรินก็ยังรับมือกับเขาไม่ไหว หากเธอท้าทายเขา เธอคงมอดไหม้เป็นจุณด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

“คุณคือจางเซวียน…นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมคุณถึงสามารถใช้แก่นสารของเวลา!”

เจียงฟังโหย่วแทบไม่เชื่อว่าไอ้หัวขโมยที่ลักลอบเข้ามาในขุมสมบัติตระกูลเจียงจะเป็นจางเซวียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น เขางงงันถึงขีดสุดราวกับถูกสายฟ้าฟาด

เขาคิดว่าไอ้หัวขโมยน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจสักคน แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วคือชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าลูกสาวของเขาเสียอีก!

“ไม่ใช่แล้วล่ะ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากแก่นสารของเวลา ผมจำได้ว่าคุณยังใช้อำนาจของการสกัดกั้นมิติด้วย…” เมื่อหวนนึกถึงการปะทะระหว่างตัวเขากับชายหนุ่ม เจียงฟังโหย่วหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ “คงไม่ใช่ว่าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วยหรอกนะ ใช่ไหม?”

“ตามนั้นแหละ ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วย” จางเซวียนพยักหน้า

สถานการณ์เมื่อครู่นี้คับขันเกินไปสำหรับเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ ในเมื่อสายไปแล้วที่จะปกปิดเรื่องราวต่างๆ จึงจำเป็นต้องยอมรับตามตรง

“ถ้าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แล้ว…หลัวเทียนหยาแห่งตระกูลหลัว…”

เจียงฟังโหย่วกำลังคิดว่าชายหนุ่มทำอย่างไรถึงสามารถปลอมตัวเป็นเขาได้แนบเนียนถึงขนาดที่แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสและลูกสาวของเขาเองก็ยังสับสนว่าใครเป็นตัวจริงตัวปลอม…และเมื่อผนวกเข้ากับช่วงเวลาที่หลัวเทียนหยาปรากฏตัว…

เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขึ้นมาทันที

“หลัวเทียนหยาเป็นตัวตนหนึ่งของผม!” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า

“เอ่อ…ไม่สงสัยแล้ว!” เจียงฟังโหย่วอ้าปากค้างอยู่นานก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ

เขาเคยคิดว่ามันช่างบังเอิญเหลือเกินที่มีอัจฉริยะผู้เก่งกาจปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลหลัวในเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่พวกเขาเผชิญกับการถูกเหยียดหยามครั้งใหญ่ แต่ลงท้ายก็กลายเป็นจางเซวียนที่ปลอมตัวมา

เจียงเฟยเฟยก็อึ้งตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นหัวหน้าของ 2 ใน 3 ตระกูลชั้นนำ…

เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?

หากเทียบตัวเธอกับเขา ก็รู้ดีว่าไม่มีทางแข่งขันกับเขาได้เลยไม่ว่าจะเป็นด้านไหน

ทั้งแก่นสารของเวลา แก่นสารแห่งมิติ และแก่นสารของจิตวิญญาณ…เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนตลอดประวัติศาสตร์หลายหมื่นปี…

แก่นสารเหล่านี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าที่แม้แต่ชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนหนึ่งก็สามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ นอกจากผู้ก่อตั้งของพวกเขา ก็มีทายาทจำนวนน้อยมากที่สำเร็จความเข้าใจแก่นสารของแต่ละตระกูล แต่ว่ากันตามตรง หากนำคนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับปีศาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ก็ดูเหมือนว่าบุคคลที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะและได้รับการยกย่องอย่างสูงในสามตระกูลชั้นนำนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขยะกองหนึ่ง!

“เอาล่ะ ทุกคน!” เมื่อหายตกตะลึง เจียงฟังโหย่วกวาดสายตาไปทั่วฝูงชนและพูดว่า “ผมมีเรื่องเดียวที่อยากจะพูด หลังจากที่ผมพูดจบแล้ว ก็ขอยกให้เป็นการตัดสินใจของพวกคุณทุกคน!”

“ท่านหัวหน้าเชิญพูดมาเลย” เจียงฟังอวิ๋นกับคนอื่นๆรีบขานรับ

“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณในขุมสมบัติได้หายไป” เจียงฟังโหย่วพูด “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขานี่แหละคือผู้ที่นำไปและทำให้มันยอมจำนนได้”

“ผมนำฉนวนแห่งจิตวิญญาณไปจริงๆ แต่ยังไม่ได้ทำให้มันยอมจำนน” จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ

การที่เขาจะยกเค้าขุมสมบัติของคนเหล่านี้จนเกลี้ยงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การถูกนำมาพูดถึงอย่างเปิดเผยก็ทำให้เขาออกจะอับอายไม่น้อย

เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้คนเหล่านี้

“เขานำฉนวนแห่งจิตวิญญาณไปหรือ?”

ได้ยินคำพูดของเจียงฟังโหย่ว เหล่าผู้อาวุโสนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ จากนั้น เจียงฟังโหย่วก็ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งและทรุดตัวลงคุกเข่า “หัวหน้าตระกูลเจียง, เจียงฟังโหย่ว คารวะท่านประธานสมาคม!”

“เหล่าทายาทตระกูลเจียงคารวะท่านประธานสมาคม!”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่า

“ประธานสมาคม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาควรจะเป็นหัวหน้าตระกูลของคนเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?

ทำไมตอนนี้ถึงเรียกเขาว่าท่านประธานสมาคม?

เห็นความสับสนของจางเซวียน เจียงฟังโหย่วส่งโทรจิตหา “ในเมื่อคุณทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธทั้งหมดของตระกูลเจียงแล้ว คุณก็คงจะรู้ว่าหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณส่วนใหญ่ของพวกเรามีรากฐานมาจากมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ”

“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า

นี่คือสิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าสู่คลังหนังสือของตระกูลเจียง

มรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์ทำลายไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมตระกูลเจียงถึงยังคงเก็บหนังสือที่เกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้? ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมพวกเขาถึงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเปิดเผยในทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งที่มีมรดกตกทอดในลักษณะนี้?

“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์ของอำนาจที่ตกทอดกันมาภายในสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณจะได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เป็นผู้ที่เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงจะต้องรับใช้” เจียงฟังโหย่วอธิบาย