ความลับของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ไม่มีใครรู้ (2)

“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ?”

จางเซวียนตาโตด้วยความตกตะลึง

ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงหนักอึ้งขนาดนี้! หากปราศจากความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ เขาก็ไม่สามารถยกมันได้ แม้จะใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ตาม กลับกลายเป็นว่ามันมีประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลังแบบนี้นี่เอง!

“มันเกิดอะไรขึ้น? ตระกูลเจียงได้มรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาได้อย่างไร? แล้วทำไมตระกูลเจียงถึงรับใช้เจ้าของฉนวนแห่งจิตวิญญาณ? ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์กำจัดเพราะพวกเขาทรยศมวลมนุษย์ไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนตั้งคำถามเป็นชุดด้วยความงุนงง

เขาไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้จริงๆ

ในฐานะหนึ่งในสามตระกูลชั้นนำ สภาปรมาจารย์จับตามองตระกูลเจียงมาตลอด พวกเขาควรจะกำจัดตระกูลเจียงที่รับมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา ยิ่งไปกว่านั้น การที่จะมีความเชี่ยวชาญเรื่องศิลปะแห่งจิตวิญญาณกับการเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันคนละเรื่อง แล้วทำไมสภาปรมาจารย์ถึงยังปล่อยให้ตระกูลเจียงตั้งอยู่ได้?

เจียงฟังโหย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของตระกูลเจียง พูดกันตรงนี้คงไม่เหมาะ ผมขอเชิญปรมาจารย์จางตามพวกเราเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เพื่อสนทนาเรื่องนี้ต่อ”

ถึงค่ายกลอารักขาจะสามารถป้องกันคนนอกไม่ให้แอบฟังบทสนทนาของพวกเขาได้ แต่เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งใหญ่และต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ปลอดภัยไว้ก่อนจึงดีที่สุด

“ได้” จางเซวียนพยักหน้า

“เชิญทางนี้เลย” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจอย่างโล่งอก

จางเซวียนพยักหน้ารับ ในเมื่อเขาสามารถควบคุมค่ายกลอารักขาของตระกูลเจียงได้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกนั้นอาจใช้วิธีการบางอย่างเล่นงานเขา

จางเซวียนตามเจียงฟังโหย่วไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่

หลังจากที่จางเซวียนได้ที่นั่งแล้ว เจียงฟังโหย่วกับคนอื่นๆก็หาที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว

พวกเขารีบเปิดใช้งานปราการในห้องโถงใหญ่เพื่อแยกตัวออกจากโลกภายนอก จากนั้นเจียงฟังโหย่วก็หันมาและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ผมได้ยินว่าครั้งหนึ่งคุณเคยมีศิษย์สายตรงที่ชื่อลู่ชง เขาได้พัฒนาตัวเองจนก้าวหน้าอย่างมากในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ จนถึงระดับของนักปราชญ์โบราณเลยทีเดียว ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”

“เป็นความจริง” จางเซวียนพยักหน้า

ก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยชีวิตเขา ลู่ชงได้เข้าปะทะอย่างดุเดือดกับเหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้เรื่องนี้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ข่าวคราวก็แพร่กระจายไปทั่ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เจียงฟังโหย่วจะรู้เรื่องนี้

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ปรมาจารย์จาง…จะถูกต้องหรือเปล่าหากจะพูดว่าคุณก็เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนหนึ่งเช่นกัน?” เจียงฟังโหย่วถามต่อ

“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ…”

เห็นจางเซวียนยอมรับตามตรง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก เจียงฟังโหย่วตั้งคำถามต่อด้วยนัยน์ตาที่มีแววของความตื่นเต้น “ไม่ทราบว่าคุณได้มรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาจากไหน? คุณมีโอกาสได้พบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆบ้างหรือเปล่า?”

“มรดกตกทอดที่ผมได้รับมีต้นกำเนิดมาจากจิตวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งบังเอิญเอาชีวิตรอดมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ผมเกรงว่าผมจะไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริงมาก่อน” จางเซวียนส่ายหน้า

เพราะอันที่จริง มั่วคุนเสินก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริง หากจะพูดให้ถูกต้อง เขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่ยังคงมีความคิดจิตใจเป็นของตัวเองมากกว่า

และนอกจากมั่วคุนเสินกับลู่ชง จางเซวียนก็ไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนไหนมาก่อน

“คุณไม่เคยพบผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมาก่อนหรือ?” เจียงฟังโหย่วถามด้วยน้ำเสียงที่ออกจะไม่เห็นด้วย

“ใช่” จางเซวียนตอบ “ก็เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณน่ะไม่เป็นที่ยอมรับของโลกไม่ใช่หรือ? ผมเชื่อว่ามรดกตกทอดของพวกเขาน่าจะถูกสภาปรมาจารย์กำจัดและหายสาบสูญไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ใช่หรือเปล่า?”

“ไม่เป็นที่ยอมรับ?” ได้ยินคำนั้น เจียงฟังโหย่วเงียบไป ครู่ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้ความจริงนะ!”

“ความจริง?”

“ผมรู้ว่าเรื่องนี้คุณคงทำใจให้เชื่อได้ยาก แต่ความจริงก็คือ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่เคยทรยศมวลมนุษย์!” เจียงฟังโหย่วพูดอย่างจริงจัง

“พวกเขาไม่เคยทรยศมวลมนุษย์?” จางเซวียนถึงกับงงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

การทรยศของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดโดยสภาปรมาจารย์ ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ไม่รู้เรื่องนี้…แต่เจียงฟังโหย่วกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่น?

เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นแข็งแกร่งมาก ในครั้งนั้น ขนาดมีปรมาจารย์ขงกับศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของเขาเป็นผู้นำ กองกำลังของมวลมนุษย์ก็ยังรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ไหว อันที่จริง มีครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจกักขังปรมาจารย์โขงไว้ที่เฉินข่ายได้สำเร็จ เมื่อปราศจากปรมาจารย์ขง กองทัพมนุษย์ก็ถูกต้อนให้จนมุม…”

จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องนี้จากไอ้โหดมาแล้วครั้งหนึ่ง

“ในสงครามครั้งนั้น กองกำลังมนุษย์เสียเปรียบมาก กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจรู้จักพวกเราดีราวกับหลังมือของพวกมันเลยทีเดียว แต่ความรู้ของพวกเราที่มีเกี่ยวกับพวกมันนั้นมีจำกัดมาก ดังนั้นเราจึงอับจนหนทางเมื่อต้องเผชิญกับเจตนาสังหารของพวกมัน…ต่อให้นักรบคนหนึ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็จะสูญเสียความมีเหตุผลและความรู้ผิดชอบชั่วดีของตัวเองไปทันทีเมื่อต้องเผชิญกับเจตนาสังหารจากปราณสังหารของพวกมัน ทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างง่ายดาย!” เจียงฟังโหย่วพูดต่อ

จางเซวียนครุ่นคิด

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาพอเข้าใจ ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจในระหว่างการประลองปรมาจารย์ที่เมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาอาณาจักร เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีพลังปราณเทียบฟ้า ก็คงต้องพ่ายแพ้ให้มันไปแล้ว

ปราณสังหารส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้นั้นโดยตรง ต่อให้ปรมาจารย์ก็ยังเผชิญหน้ากับพวกมันได้ยาก นับประสาอะไรกับนักรบธรรมดาสามัญ

“เพื่อแก้ไขสถานการณ์ ปรมาจารย์ขงได้ตัดสินใจให้เหล่านักรบฝึกฝนตัวเองให้เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธของจิตวิญญาณเพื่อรับมือกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ และจะได้เปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังจิตวิญญาณของพวกมัน…”

ถึงตอนนี้ เจียงฟังโหย่วหน้าดำคร่ำเครียด “แม้จะมีอันตราย แต่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็รับภารกิจนี้ไว้ เพื่อให้ได้รับความไว้ใจจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจึงต้องแยกตัวออกจากสภาปรมาจารย์ ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่คุณเห็นในบันทึกของสภาปรมาจารย์นั่นแหละ พวกเขากลายเป็นปีศาจร้ายจากการฝึกฝนและวีรกรรมครั้งนี้ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกสภาปรมาจารย์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และมรดกตกทอดของพวกเขาก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก”

“เอ่อ…” จางเซวียนถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังเรื่องราว

ถ้าสิ่งที่เจียงฟังโหย่วพูดเป็นความจริง เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ได้เสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษย์ พวกเขาควรจะเป็นวีรบุรุษ แต่กลับถูกก่นด่าสาปแช่งจากผู้คนมากมายที่พวกเขาได้ช่วยชีวิตไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา…

ราวกับจะอ่านใจของจางเซวียนได้ เจียงฟังโหย่วพูดต่อ “ในยุคสมัยนั้น มนุษย์มีชีวิตที่ทุกข์ทรมานภายใต้การกดขี่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมชีวิตและความตายของตัวเองได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่อยากขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจและนำชีวิตของตัวเองกลับคืนมา เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณรู้ดีว่าการเสียสละของพวกเขามีความจำเป็นและจะก่อให้เกิดประโยชน์ครั้งใหญ่ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทำแบบนั้น!”

“เพื่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดความไว้วางใจ สภาปรมาจารย์จึงได้เคลื่อนกองกำลังปรมาจารย์ครั้งใหญ่เพื่อตีวงล้อมเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้ ภายในค่ำคืนเดียว อาชีพหนึ่งก็ล่มสลาย ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในครั้งนั้นก็ถูกสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จับตัวไว้ และเขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากนั้นไม่นาน”

“ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัดสินใจฆ่าตัวตาย?” จางเซวียนตั้งคำถาม

ถ้าประธานสมาคมฆ่าตัวตาย แล้วเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะแฝงตัวเข้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อย่างไร?

“การฆ่าตัวตายเป็นเพียงฉากหน้า ดูเหมือนเขาฆ่าตัวตาย แต่แท้ที่จริงแล้วจิตวิญญาณของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาฝากฝังมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้กับผู้ก่อตั้งของเราก่อนที่จะ หนีไปลี้ภัยกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น” เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เพราะได้เห็นการล่มสลายของอาชีพผู้พยากรณ์จิตวิญญาณกับตา ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กักตัวปรมาจารย์ขงไว้จึงไม่ระแวงเจตนาของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอีกต่อไป และเมื่อเวลาผ่านไป ประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ประสบความสำเร็จในการค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังปราณสังหาร และค้นพบวิธีที่จะส่งข้อมูลของเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับสู่สภาปรมาจารย์ เขายังจัดฉากเพื่อวางแผนสังหารผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ทรงพลังตัวนั้นด้วย”

“ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้คิดค้นและถ่ายทอดเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่องโดยเกี่ยวพันกับลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ซึ่งเป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ทำลายเผ่าพันธุ์ปีศาจเพียงตัวสองตัว แต่เป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ และการที่จะทำแบบนั้นได้ เขารู้ดีว่าต้องโน้มน้าวใจเผ่าพันธุ์ปีศาจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้พวกมันฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่เขาคิดค้นขึ้น แต่ก็แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจย่อมไม่เต็มใจจะฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่อง”

“ดังนั้น เขาจึงคิดค้นเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ โดยข้อบกพร่องของมันจะไม่ปรากฏชัดกับผู้ฝึกฝน ในระยะสั้น การฝึกฝนเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเขาจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ทั้งยังทำให้จิตวิญญาณของผู้นั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วย แต่หากยังฝึกฝนต่อไป ปราณสังหารของผู้นั้นจะค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ ลงท้าย ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะถูกทำลายไปจนหมด!”

“เทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีข้อบกพร่อง?” จางเซวียนอึ้งขณะที่นึกอะไรได้บางอย่าง

ในครั้งนั้น ตอนที่เขาเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาได้สังหารราชาใบไม้สีทองและราชาใบไม้เขียว และได้ทรัพย์สมบัติของพวกมันมา มีหนังสือเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณอยู่มากมายในแหวนเก็บสมบัติของทั้งคู่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเทคนิคเหล่านั้นมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย

ในครั้งนั้น เขายังรู้สึกว่ามันน่าแปลกที่เทคนิควรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจะธรรมดาสามัญขนาดนั้น โดยเฉพาะในเมื่อพวกมันมีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นพรรคพวก แต่ตอนนี้ ถ้าเรื่องของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เจียงฟังโหย่วเล่ามาเป็นความจริง ทุกอย่างก็ลงตัว

เทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณอันธรรมดาสามัญที่เผ่าพันธุ์ปีศาจฝึกฝนนั้นเป็นเจตนาของประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันนั่นเอง!

ทั้งเต็มใจเสียสละตัวเองและยอมแบกรับชื่อเสียงด่างพร้อยเพื่อให้มวลมนุษย์ได้รับชัยชนะ…แท้ที่จริงแล้วเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคือวีรบุรุษตัวจริง!

จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น

ในตอนนั้นเอง เขาก็พลันคิดอะไรได้ “คุณพูดถึงผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ทรงพลังตัวหนึ่งที่เคยกักขังปรมาจารย์ขงไว้ คุณรู้หรือเปล่าว่า…มันชื่ออะไร?”