ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน

 

เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้เชี่ยวชาญตัวนั้นสามารถทำให้ปรมาจารย์ขงจนมุมได้ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่มีทางเลือก นอกจากต้องสังเวยอาชีพทั้งอาชีพเพื่อแฝงตัวเข้าไปเป็นสายลับในกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ในเมื่อเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?

ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันน่าจะเหนือชั้นกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั่วๆไป

เจียงฟังโหย่วไม่คิดว่าจางเซวียนจะตั้งคำถามแบบนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตอบช้าๆ “ชื่อของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวนั้นหายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดที่เรารู้ก็คือมันมีพละกำลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานและเห็นชีวิตของคนอื่นไม่ต่างอะไรกับผงธุลี มันโหดร้าย และหากอารมณ์เสียขึ้นมาก็สามารถสังหารได้แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ของตัวเอง…”

“ด้วยเหตุนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจและมวลมนุษย์จึงเลือกที่จะเรียกมันว่า…ไอ้โหด!”

“ไอ้โหด?” จางเซวียนถึงกับอึ้ง

นึกแล้วเชียว!

ตอนที่เขาได้รู้ว่าปรมาจารย์ขงถูกกักขังไว้ที่เฉินข่าย ก็คาดเดาไว้แล้วว่าน่าจะเป็นฝีมือของใคร แต่ก็ยังอดตะลึงไม่ได้เมื่อรู้คำตอบ

ไม่น่าเชื่อว่าไอ้โหดน้อยที่เขาขังมันไว้ในหนังสือเทียบฟ้า ครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไร้เทียมทานถึงขนาดทำให้ปรมาจารย์ขงจนมุมได้!

เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องยอมสังเวยด้วยชื่อเสียงที่ด่างพร้อยจนถึงทุกวันนี้เพื่อสังหารมัน…

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ไอ้โหดมีความโหดเหี้ยมร้ายกาจตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบมัน เรื่องจริงก็คือมันมีพละกำลังที่สมกับความโอหังของตัวเองในยุคสมัยอันรุ่งเรืองนั้น

“ใช่ ตามข่าวที่ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงของเราได้รับจากประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ปรมาจารย์ขงได้วางแผนไว้ล่วงหน้าหลังจากที่รู้การเคลื่อนไหวของไอ้โหด และเตรียมการที่จะซุ่มโจมตีมัน การต่อสู้ในครั้งนั้นถือเป็นมหากาพย์ แม้แต่ท้องฟ้าและพื้นดินก็ถึงกับแยกออกจากกันเพราะพละกำลังอันน่าทึ่งของพวกเขา ลงท้ายไอ้โหดก็ถูกปรมาจารย์ขงเล่นงานจนถึงขั้นที่แม้แต่ศพของมันก็ยังไม่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้” เจียงฟังโหย่วพูด

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบกริบ

เป็นความจริงที่ว่าศพของไอ้โหดถูกแยกส่วนเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน เพราะตัวเขามีชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของไอ้โหดอยู่หลายชิ้น จึงรู้ดีกว่าใคร แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวล้ำลึกมากมายอยู่เบื้องหลังแบบนี้

การเอาชนะไอ้โหดต้องลงเอยด้วยการสังเวยชีวิตไปมากมาย

“เท่าที่ดูจากความเชื่อถือที่คุณมีให้ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ผมคิดว่าก็ยังคงเป็นปริศนาว่าแม้แต่สภาปรมาจารย์จะรู้เรื่องดังกล่าวหรือไม่ แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่คุณได้มาจะไม่ได้ถูกบิดเบือนตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป?” จางเซวียนตั้งคำถาม

เรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ถึงขั้นที่แม้กระทั่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่รู้ พูดอีกอย่างก็คือตระกูลเจียงน่าจะเป็นกลุ่มอำนาจเดียวที่เก็บข้อมูลดังกล่าวไว้

เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะยังคงเป็นความลับ ตระกูลเจียงคงไม่โง่เง่าพอที่จะทำสำเนาเพื่อเก็บรายละเอียดของข้อมูลไว้ เพราะนั่นจะกลายเป็นหลักฐานชั้นดีให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้จางเซวียนยังคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะอ่านหนังสือทั้งหมดที่มีอยู่ในคลังหนังสือของตระกูลเจียงแล้ว

ดังนั้น โอกาสที่เรื่องนี้จะถูกถ่ายทอดในตระกูลเจียงจากรุ่นสู่รุ่นก็คือการบอกเล่าเท่านั้น แล้วการบอกเล่าต่อๆกันมาเป็นระยะเวลาหลายหมื่นปีจะเชื่อถือได้หรือไม่? มีโอกาสที่ในแต่ละปีข้อมูลจะถูกบิดเบือน ลงท้ายเรื่องราวต่างๆก็อาจถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง

“มันถูกบันทึกไว้ในฉนวนแห่งจิตวิญญาณ โดยปรมาจารย์ขงเป็นผู้บันทึกเอง” เจียงฟังโหย่วตอบ “เพียงแค่หัวหน้าตระกูลเจียงนำตราสัญลักษณ์ไปแตะที่ฉนวนแห่งจิตวิญญาณ เขาก็จะได้รับข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณผ่านทางโทรจิต ด้วยระบบการถ่ายทอดข้อมูลแบบนี้ สมาชิกตระกูลเจียงของเราจึงจดจำการเสียสละของเหล่าบรรพบุรุษได้แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้วกว่าหลายหมื่นปี”

“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้ารับ

ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะได้คิดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วและเตรียมการป้องกันไว้ เพื่อที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะได้ไม่ตกต่ำไปตามระยะเวลาของประวัติศาสตร์

ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละตัวเองเพื่อมวลมนุษย์และเพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หากทายาทของพวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความอับอายในตัวบรรพบุรุษและไม่ล่วงรู้ถึงความจริง ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะทุกข์ระทมสักแค่ไหน?

แต่หากเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้บนแผ่นกระดาษ ก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหล ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ข้อมูลไปด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวเข้าไปในเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สำเร็จก็จะต้องเผชิญกับโชคชะตาอันน่าสังเวช

เรื่องนี้เป็นความย้อนแย้งอย่างมาก การเสียสละของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ควรถูกเก็บไว้เป็นความลับ แต่การบันทึกเรื่องนี้ไว้ก็จะทำให้การเสียสละของพวกเขาต้องสูญเปล่า ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะคิดเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเก็บข้อมูลไว้ในฉนวนแห่งจิตวิญญาณและส่งต่อมันให้กับทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่น

ปรมาจารย์ขงคงจะมีความหวังว่าสักวันเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นน่าจะถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น และเมื่อถึงวันนั้น เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะได้พ้นมลทินที่ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาต้องด่างพร้อย

“ตระกูลเจียงเป็นผู้สืบเชื้อสายของประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ สายเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพวกเรา ดังนั้น หากใครสักคนสามารถควบคุมฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้ ก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานสมาคมคนใหม่ และสมาชิกทุกคนของตระกูลเจียงก็พร้อมจะทำตามคำสั่งของเขาโดยปราศจากเงื่อนไข” เจียงฟังโหย่วอธิบาย

จางเซวียนคิดหนักเมื่อได้ยินคำนั้น

ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสจำนวนมากของตระกูลเจียงต่างก็ก้มศีรษะอย่างครุ่นคิด

พวกเขารู้ว่าสายเลือดตระกูลเจียงมีต้นกำเนิดมาจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดเท่าไรนัก จนเมื่อได้ยินเจียงฟังโหย่วเปิดเผยทุกอย่างจนหมดเปลือก คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจพวกเขามานานหลายปีก็ได้รับคำตอบ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแท้ที่จริงบรรพบุรุษของพวกเราเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…” เจียงเฟยเฟยก็อัศจรรย์ใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะปรมาจารย์คนหนึ่ง และมีความจงเกลียดจงชังอย่างล้ำลึกต่อผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เธอมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนชั่วร้ายที่ไม่ควรจะได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่

แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเคยเสียสละมากแค่ไหนให้กับมวลมนุษย์ ก็รู้แล้วว่ามุมมองที่เธอมีต่อพวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นผิดพลาดไปหมด

หากไม่มีเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็คงยังเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ และมวลมนุษย์ก็คงมีชีวิตอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

“ปรมาจารย์จางได้สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณและครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมองจากมุมมองของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหรือตระกูลเจียง ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีข้อสงสัยว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลของเรายิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!” เจียงฟังโหย่วมองเหล่าผู้อาวุโสและประกาศ

“ถูกต้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าปรมาจารย์จางสำเร็จความเข้าใจทั้งแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณ แถมยังสร้างวีรกรรมอันน่าทึ่งแม้แต่กับสภาปรมาจารย์ เขาน่าจะสามารถชำระมลทินให้กับชื่อเสียงของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้งโดยไม่ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของใคร”

“ในฐานะทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ นี่คือสิ่งที่พวกเรารอคอยมาชั่วชีวิต”

“ปรมาจารย์จาง ได้โปรดนำพาพวกเราไปสู่อนาคตที่รุ่งเรืองกว่าเดิมด้วยเถอะ!”

…..

เหล่าผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นยืนและประสานมือด้วยความเคารพ

ตระกูลเจียงคือสายเลือด แต่สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นไม่ใช่

การที่จางเซวียนครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้ ก็หมายความว่าเขาได้การยอมรับโดยชอบธรรมว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกเข้าใจผิดมานานแล้ว ในฐานะทายาทของพวกเขา เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงไม่อยากเห็นสถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ต่อให้บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้รับการยกย่องจากการเสียสละอย่างวีรบุรุษในครั้งนั้น แต่ก็ไม่ควรจะต้องแบกรับความจงเกลียดจงชังของทั้งโลกไว้อย่างทุกวันนี้!

“เอ่อ…” จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมเต็มใจที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลเจียง แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น หัวหน้าเจียงฟังโหย่ว, ผมมีข้อสงสัยที่หวังว่าคุณจะให้คำตอบได้”

“เชิญพูดมาเลย” เจียงฟังโหย่วตอบ

“ตอนที่ผมเพิ่งมาถึงตระกูลเจียง ผมบังเอิญเห็นคุณพูดคุยกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง บอกคุณตามตรงเลยนะ ผมเคยพบชายหนุ่มคนนั้นมาก่อน เราเคยปะทะกันสองครั้ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ!” จางเซวียนพูดก่อนจะส่งสายตาทะลุทะลวงใส่เจียงฟังโหย่ว

ถ้าทุกอย่างที่เจียงฟังโหย่วพูดมาเป็นเรื่องจริง ถ้าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละอย่างมากเพื่อมวลมนุษย์ ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะทรยศมวลมนุษย์และทำในสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษของพวกเขา

แต่…ไม่ว่าจางเซวียนจะมองอย่างไร ก็ไม่อาจให้เหตุผลกับความสัมพันธ์ที่ดูจะสนิทสนมระหว่างเจียงฟังโหย่วกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นได้

“ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาด?” เจียงฟังโหย่วชะงัก เขาครุ่นคิดก่อนจะตั้งคำถาม “คุณหมายถึงเหยียนเฉว่หรือ?”

“เหยียนเฉว่?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

“ใช่แล้ว นั่นคือชื่อของชายหนุ่มที่มาพบผมก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่เป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสาน-โลกจารึกแล้ว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังแม้แต่ในสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ อันที่จริง พูดได้เลยว่าชื่อของเขาคงถูกจารึกไว้แม้กระทั่งบนสวรรค์” เจียงฟังโหย่วอธิบาย

“นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน…คุณหมายถึงศิษย์สายตรงคนแรกของปรมาจารย์ขง, นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนน่ะหรือ?” จางเซวียนอึ้งด้วยความประหลาดใจ “จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?ผมเห็นเขาร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมากับตา!”

จางเซวียนงงมากกับสิ่งที่ได้ยิน

ครั้งแรกที่เขาพบชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นก็คือที่ภูเขาห้วยขาว ขณะที่กำลังปะทะกันเพื่อแย่งชิงเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มของ 4 คนนั้นได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

ส่วนครั้งที่สองที่ทั้งคู่พบกันคือที่สมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว ในตอนนั้น ไม่เพียงแต่จะมีนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง จางเซวียนยังถึงกับปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่เป็นนักปราชญ์โบราณด้วย

ถ้าชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจริงๆ ทำไมถึงไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากขนาดนั้น? ที่สำคัญ เขายังช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ปีศาจในการฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานด้วย!

“เขามาหาผมเพื่อปรึกษาเรื่องที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมเป็นเพียงผู้ส่งข่าวเท่านั้น จึงไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของเขา แต่พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่เคยเปิดเผยการกระทำของตัวเองให้ใครรู้อยู่แล้ว” เจียงฟังโหย่วพูด