เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 560 กฎของกองทัพ ทำร้ายนาง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาเดินออกจากห้องทรงอักษร องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยามีเรื่องด่วนอันใด จึงเหาะลงมาเบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง! ”

“ฉินเทียนอยู่ที่ใด? ”

“องครักษ์ฉิน… กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ! ”

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใดอีก ร่างสีดำขลับหายไปในพริบตา

แท้จริงแล้ว เยี่ยโยวเหยามาที่คอกม้า เขาขี่ม้าออกจากเรือนอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก

แม้ฉินเทียนที่เพิ่งกลับมาจะมาไม่ทันเยี่ยโยวเหยา ทว่าเขาชนกับหลานเสวียนหมิงที่วิ่งออกมาอย่างรีบร้อน

“ท่านแม่ทัพใหญ่หลาน ท่านเร่งรีบอันใดเช่นนี้? แคว้นซีอวิ๋นยังไม่มีข่าวการเคลื่อนทัพ ท่านรีบร้อนไปทำสิ่งใดกัน? ”

หลานเสวียนหมิงรีบจนไม่มีเวลาจัดระเบียบหมวกที่ถูกชนจนเอียง ใบหน้าของเขาซีดขาว “องครักษ์ฉิน เร็ว… เร็ว… ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”

ฉินเทียนมีท่าทีเปลี่ยนไปทันที “เกิดอันใดขึ้นกับพี่ชายของข้า? ”

หลานเสวียนหมิงวิ่งออกไป เขาวิ่งจนแทบหายใจไม่ทัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า

“ท่านอ๋อง… ไม่รู้ท่านอ๋องเป็นอันใด ขณะที่หารือกับเหล่าทหาร จู่ๆ ท่านอ๋องก็วิ่งออกไป ไม่รู้ว่าไปที่ใด ดูจากท่าทางของท่านอ๋องแล้ว ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ องครักษ์ฉิน ท่านรีบไปตามหาท่านอ๋องกับข้าเถิด”

สามารถทำให้เยี่ยโยวเหยาเป็นกังวลได้ จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร?

สีหน้าฉินเทียนพลันเคร่งขรึม เขายกมือขึ้น องครักษ์เงาผู้หนึ่งจึงเหาะลงมาเบื้องหน้าเขา

“หัวหน้า! ท่านอ๋องไปทางทิศตะวันออก เพิ่งขี่ม้าเทียนหลงออกไปก่อนท่านจะมาครู่หนึ่ง”

“ไปทางตะวันออก? เขาไปทางตะวันออกเพื่ออันใด? กองทหารของตระกูลหลานและหน่วยทหารตะวันตกต่างประจำการอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หากต้องการตรวจสอบสถานการณ์ทางทหารของแคว้นซีอวิ๋น ก็ควรไปทางใต้สิ! ”

ฉินเทียนยังคงครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าหลานเสวียนหมิงกลับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก

“แย่แล้ว เป็นไปได้ว่าท่านอ๋องจะไปหาพระชายาที่แคว้นหนานหลี ตอนนี้เหล่าทหารทั้งสองกองทัพได้เดินทางมาถึงชายแดนแล้ว การสู้รบใกล้เข้ามา ทหารจากแคว้นซีอวิ๋นอาจโจมตีเราได้ทุกเมื่อ ท่านอ๋องจากไปได้อย่างไร? ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลานเสวียนหมิง ฉินเทียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เขากำชับกับองครักษ์เงา “ไปนำม้าไป่หลีของข้าและม้าชิงชงมาเดี๋ยวนี้”

“รับทราบ! ” องครักษ์เงาตอบรับและรีบไปนำม้ามาทันที

ใบหน้าของหลานเสวียนหมิงเป็นกังวลและเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“องครักษ์ฉิน ท่านอ๋องทรงม้าเทียนหลง ท่านกับข้าขี่ม้าไป่หลีและม้าชิงชง จะไล่ตามทันหรือ? ”

“ไล่ตามทันก็ต้องตาม ไล่ตามไม่ทันก็ต้องตาม ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านหาม้าที่เร็วกว่าม้าเทียนหลงได้หรือไม่? ”

ใบหน้าของหลานเสวียนหมิงปรากฏความเคร่งเครียด

ในตำนาน ม้าเทียนหลงเป็นลูกหลานของม้าเฟยหลงโบราณ หนึ่งวันวิ่งได้หลายพันลี้ ในใต้หล้าจะมีม้าที่วิ่งเร็วกว่าม้าเทียนหลงได้อย่างไร?

โอรสสวรรค์อย่างท่านอ๋องทรงม้าเทียนหลง ยิ่งเสริมความน่าเกรงขาม ใช้เวลาไม่นาน ก็เดินทางออกนอกเมืองไปไกลหลายลี้แล้ว ต่อให้ม้าไป่หลีและม้าชิงชงจะเป็นม้าที่ดีที่สุดในค่ายทหาร ทว่าวิ่งจนตายก็ไม่อาจไล่ตามทัน!

ขณะที่พูด องครักษ์เงาก็จูงม้าเข้ามา ฉินเทียนไม่พูดอันใดอีก เขาขึ้นควบม้าและไล่ตามไปทางทิศตะวันออก

หลานเสวียนหมิงไม่รอช้า รีบขึ้นม้าอีกตัวและไล่ตามหลังฉินเทียนไปทันที

ทั้งสองออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว และเดินทางต่อไปอีกห้าถึงหกลี้ ทว่าไม่เห็นเงาของเยี่ยโยวเหยาแม้แต่น้อย ด้วยความเร็วเช่นนี้ เกรงว่าเมื่อไล่ตามไปถึงชายแดนหนานหลีแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าจะตามเยี่ยโยวเหยาทัน

ฉินเทียนเป็นกังวลจึงทิ้งม้าไว้ และใช้วิชาตัวเบาไล่ตามเยี่ยโยวเหยา

แม้หลานเสวียนหมิงจะเป็นแม่ทัพมากความสามารถ ทั้งยังมีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ทว่าทักษะทั้งหมดของเขามีไว้เพื่อการสังหารศัตรู ด้านวิชาตัวเบายังตามหลังอยู่มาก ไม่อาจเร็วได้เท่าม้าที่เขาขี่อยู่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงขี่ม้าไล่ตามต่อไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ ระยะห่างระหว่างฉินเทียนและหลานเสวียนหมิงจึงเพิ่มมากขึ้น

ในที่สุด หลังจากไล่ตามได้สองชั่วยาม ฉินเทียนก็เห็นเงาของเยี่ยโยวเหยา

แม้จะเห็นเยี่ยโยวเหยาแล้ว ทว่าการไล่ตามเยี่ยโยวเหยาให้ทันกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเขาอาจถูกเยี่ยโยวเหยาทิ้งห่างโดยไม่เห็นแม้เงาได้ทุกเมื่อ

ฉินเทียนตะโกนเรียกหลายครั้ง ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ยิน เขาจึงใช้วิธีส่งสัญญาณลับ

ในที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็เห็นว่าฉินเทียนตามมาด้านหลัง จึงหยุดลง

เมื่อไล่ตามเยี่ยโยวเหยาทันแล้ว ฉินเทียนก็นอนแผ่อยู่บนพื้นและไม่อาจยืนขึ้นได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยๆ ผ่อนคลาย ทว่ายังคงพูดไม่ออก

“พี่ ท่าน… ท่านเป็นอันใด? หากคิดจะไปหาซูจิ่นซีที่แคว้นหนานหลี ก็ไม่ควรไปในเวลานี้! กองทัพทหารกว่าสี่แสนนายยังรอท่านอยู่! สงครามเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ท่านจะทิ้งไปโดยไม่สนใจหรือ? ”

เยี่ยโยวเหยานั่งบนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างามเคร่งขรึมราวกับเทพเซียน ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ไม่นานก็เอ่ยขึ้นว่า

“มีข่าวของซูจิ่นซีใช่หรือไม่? ”

ฉินเทียนตกตะลึงเล็กน้อย เขาตอบกลับไปว่า “ท่านพี่ เพราะสาเหตุนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้ท่านทิ้งกองทัพทหารสี่แสนนายเพื่อไปตามหานางที่แคว้นหนานหลีด้วยตนเอง? ใช่ว่าข้าไม่สนใจเรื่องซูจิ่นซี ข้าเองก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหานาง ท่านพี่เชื่อข้าเถิด สำหรับเรื่องนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านต้องไปด้วยตนเอง”

ใช่ว่าเขาไม่เชื่อฉินเทียน เพียง… รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจจนแทบทำให้คนขาดใจนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้…

ตัวอย่างเช่น เมื่อครู่ที่เขาหารือกับเหล่าแม่ทัพ ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาเหมือนได้ยินซูจิ่นซีพูดว่า

ท่านอ๋อง จิ่นซีคงรอท่านไม่ไหวแล้ว!

ท่านอ๋อง ท่านเดินมาหาจิ่นซีสักก้าวได้หรือไม่? เพียงก้าวเดียว!

เดินมาอีกก้าวได้หรือไม่? จิ่นซีเอื้อมไม่ถึงท่าน!

เดินมาอีกก้าวได้หรือไม่? จิ่นซียังเอื้อมไม่ถึง!

เยี่ยโยวเหยา หากซูจิ่นซีจากไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไร?

เสียงนั้นอ่อนแรงและไร้พลังอย่างมาก…

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใดอยู่นาน เขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉินเทียนมองท่าทางของเยี่ยโยวเหยา แล้ว ในใจพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ก่อนจะเดินไปยังข้างกายเยี่ยโยวเหยา

“ท่านพี่ ท่านกลับไปกับข้าเถิด! ข้าสัญญาว่าจะออกตามหาซูจิ่นซีอย่างเต็มกำลัง ไม่ ข้าจะออกตามหาซูจิ่นซีด้วยตนเอง ข้าไปหาด้วยตนเองดีหรือไม่? ตอนนี้เหล่าทหารตั้งกำลังอยู่ในเมือง รอท่านบัญชาการ หากท่านไปแล้ว เหล่าทหารที่รอต่อสู้เพื่อท่าน เหล่าทหารที่เข้าร่วมรบกับศัตรูจะทำอย่างไร? ”

เยี่ยโยวเหยายังคงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด

ยิ่งเขานิ่งเงียบ ฉินเทียนก็ยิ่งหวาดกลัว

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเทียนใช้น้ำเสียงอ้อนวอนพูดกับเยี่ยโยวเหยา “ท่านพี่ ข้าขอร้องท่าน! ”

เยี่ยโยวเหยามองฉินเทียนด้วยดวงตาดำขลับ มีความมั่นคงบางอย่างในแววตาของเขา

“ฉินเทียน ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเข้าใจข้ามากที่สุด ข้าตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน การเดินทางไปแคว้นหนานหลีครั้งนี้ ข้าจำเป็นต้องไปให้ได้! ”

ฉินเทียนแทบล้มทั้งยืน ดวงตาของเขาแดงก่ำเล็กน้อย

“ท่านพี่ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ แม้ท่านจะไปหาซูจิ่นซีที่แคว้นหนานหลีด้วยตนเอง ทว่าเมืองเยวี่ยหยางเกิดเรื่องขึ้นเล่า จะทำอย่างไร? ”

หากข่าวที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อยู่บัญชาการกองทัพ ล่วงรู้ไปถึงกองทัพทั้งสาม ยิ่งไปกว่านั้น หากล่วงรู้ไปถึงแคว้นซีอวิ๋น เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงทำให้ทหารของแคว้นจงหนิงเสียขวัญกำลังใจเท่านั้น ทว่ายังทำให้ทหารของแคว้นซีอวิ๋นฮึกเหิมและโจมตีกองทัพแคว้นจงหนิงอย่างโหดเหี้ยม

หากเมืองเยวี่ยหยางสูญเสียการปกป้อง ทัพใหญ่ของแคว้นซีอวิ๋นจะตรงเข้ามา เท่ากับเป็นการเปิดประตูแคว้นจงหนิงให้แคว้นซีอวิ๋นโจมตี ทางใต้ทั้งหมดของแคว้นจงหนิงจะสูญเสียให้กับแคว้นซีอวิ๋นแน่นอน!

นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากไม่ใช่หรือ?

“ดังนั้น เรื่องที่ท่านอ๋องออกจากกองทัพ ห้ามแพร่งพรายออกไป ไม่ว่าผู้ใด หากกล้าแพร่งพรายแม้แต่คำเดียว สังหารไม่ละเว้น! ”

เยี่ยโยวเหยาเรียกตนเองว่า ‘ท่านอ๋อง’ ต่อหน้าฉินเทียนอีกครั้ง ถือเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ทั้งยังเป็นการเตือนฉินเทียน

ท่าทางของเขามั่นคงยิ่งนัก การตัดสินใจของเขา ผู้อื่นไม่อาจตั้งคำถามได้

ฉินเทียนเริ่มตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าควรโน้มน้าวเยี่ยโยวเหยาอย่างไร

“ท่านพี่ ท่านเคยคิดหรือไม่? แท้จริงแล้ว หากท่านไปหาซูจิ่นซีตอนนี้ จะเป็นการทำร้ายนาง สถานะของนาง… เดิมทีก็ไม่ควรคู่กับท่าน หากภายหลัง กองทัพทหารสี่แสนนายรู้ว่าวันนี้ท่านทิ้งพวกเขาไปโดยไม่ใยดีก็เพราะซูจิ่นซี แม้สถานะของนางจะไม่ถูกเปิดเผย ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจยอมรับนาง ทั้งยังรังเกียจนางอีกด้วย”

ในฐานะผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะผู้บัญชาการสูงสุด เมื่อละทิ้งหน้าที่ขณะที่กองทัพกำลังอยู่ในสนามรบ ถือเป็นการทำผิดกฎของกองทัพอย่างร้ายแรง