เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 559 ท่านอ๋อง จิ่นซีต้องจากลาแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แม้ซูจิ่นซีจะได้รับบาดเจ็บและร่างกายอ่อนแอ ทว่าดวงตาของนางยังเฉียบแหลม

สัตว์เทพกิเลนตกใจจนตัวสั่นเทา มันร้องเสียง ‘โฮก’ ก่อนจะหายเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้นทันที

ซูจิ่นซีหลับตาลงอย่างอ่อนแรง

เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้แล้ว จะหาความกับเจ้าสัตว์เทพให้ได้ประโยชน์อันใด? อย่างไรเสีย มันก็ไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หินก้อนเล็กก็หล่นลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ภายในถ้ำสั่นสะเทือนมากขึ้น

ยากระตุ้นหัวใจหมดฤทธิ์แล้ว อู๋จุนนอนกับพื้นพลางหลับตาทั้งสองข้าง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง

“อู๋จุน รีบลุกขึ้นเถิด ที่นี่อันตราย! ”

“อู๋จุน ลุกขึ้น พวกเราต้องหาวิธีหลบหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด! ”

“อู๋จุน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่? รีบลุกขึ้น! ”

ซูจิ่นซีตะโกนเรียกอู๋จุนเสียงดัง ทว่าอู๋จุนกลับไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

ซูจิ่นซีพยายามคลานเข้าไปหาอู๋จุน ทว่าเมื่อครู่ ตอนที่นางต่อสู้กับเฒ่าประหลาด กระดูกซี่โครงของนางได้หักไปหลายท่อน เพียงขยับร่างกายเล็กน้อยก็เจ็บปวดไปทั้งตัว ไม่ต้องพูดถึงการลงน้ำหนักที่บั้นเอวเพื่อคลานเข้าไปหาอู๋จุน

“อู๋จุน… ”

“อู๋จุน… ”

“อู๋จุน… ”

ซูจิ่นซีวิตกกังวลจนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ

ภายในถ้ำยังคงสั่นสะเทือน เศษหินตกลงมาไม่หยุด อู๋จุนยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ซูจิ่นซีนอนอยู่บนพื้น นางเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก

หลายครั้งที่เศษหินก้อนเล็กเกือบตกลงมาใส่ซูจิ่นซีกับอู๋จุน ทว่าซูจิ่นซีใช้พลังภายในทั้งหมดที่เหลืออยู่ซัดให้กระเด็นออกไป อย่างไรก็ตาม พลังของนางมีขีดจำกัด ถ้ำใกล้ถล่มลงมาแล้ว มันพร้อมจะฝังพวกเขาทั้งเป็นทุกเมื่อ

ทำอย่างไรดี?

ทำอย่างไรดี?

ทำอย่างไรดี?

ผู้ใดจะมาช่วยชีวิตพวกเขา?

หินที่อยู่เหนือศีรษะปริแตกจนเกิดเสียงดัง ‘ครืน’ จากนั้น หินก้อนหนึ่งที่มีขนาดสามถึงสี่เมตรก็ตกลงมาจากด้านบนและหล่นลงมาทับอู๋จุนพอดี

สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรวบรวมพลังภายในทั้งหมดซัดไปที่หินก้อนนั้น

หินก้อนนั้นอยู่ห่างจากร่างของอู๋จุนไม่ถึงหนึ่งเมตร มันถูกพลังภายในซัดจนแตกกระจายออกไปทั่วทิศทาง ซูจิ่นซีทำเกินกำลังแล้ว นางนอนกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ราวกับลูกบอลที่ไม่มีลม เลือดสีแดงสดทะลักออกจากปากไม่หยุด จมูกมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า

ในฐานะที่นางเป็นหมอ เวลานี้ชัดเจนมาก ชีวิตของนางได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

ซูจิ่นซีมองอู๋จุนที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น และมองเศษหินที่หล่นลงมาไม่หยุด พลางครุ่นคิดอยู่ในใจ

บัดซบ แม้ข้าไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้า ทว่าไม่ใช่คนจิตใจเมตตาเช่นกัน ไม่คิดว่าก่อนตายจะได้แสดงเป็นต่งฉุนรุ่ย [1] สักครั้ง

แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าต่งฉุนรุ่ย ทว่าคนที่นางช่วยชีวิตไว้คือสหายที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

อย่างไรก็ตาม พลังภายในที่ใช้ออกไปจนเกินกำลังนั้น เป็นการกระทำที่เกิดจากสัญชาตญาณ

พลังที่เกิดจากสัญชาตญาณ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

สติสัมปชัญญะของซูจิ่นซีเริ่มพร่ามัว ขนตาของนางมีเหงื่อเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง เม็ดเหงื่อมีขนาดเล็ก แต่กลับหนักอึ้ง มันกดทับเปลือกตาทำให้เหนื่อยล้ายิ่งนัก นางต้องการหลับตาและนอนหลับไปเลย

ทว่าภายในใจของนางไม่ยินยอม ไม่ยินยอม

บางที หากนางนอนหลับไป เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางอาจทะลุมิติกลับไปยังยุคสมัยของนางในอีกสามพันปีข้างหน้า ทว่านางกลับพยายามลืมตาเพราะจิตใจที่ไม่ยินยอม นางพยายามดิ้นรนให้อยู่ในโลกนี้ต่อไป

เพราะในมิติเวลานี้ นางยังมีคนที่สำคัญที่สุด

อู๋จุน อวิ๋นจิ่น จิ่วหรง มู่หรงฉี ซูอวี้ ฮูหยินปี้ แม่นมฮวา ลวี่หลี… ใบหน้าของพวกเขาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าดั่งภาพฉาย ยังมีใบหน้าของท่านย่า ฮูหยินเฒ่าหาน จงรุ่ยอัน ท่านลุงของนาง และจงเทียนโย่ว น้องชายของนางที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน

สุดท้าย ภาพนั้นหยุดอยู่ที่แผ่นหลังบึกบึนเย็นชา เจ้าของแผ่นหลังนี้สวมชุดสีดำขลับ เส้นผมยาวจัดมวยยกสูง สวมมงกุฎสีทองสูงศักดิ์ แม้เป็นเพียงแผ่นหลัง ก็ยังมองออกว่าเขาคนนั้นเป็นดั่งเทพเซียนที่สูงส่งสง่างาม

ซูจิ่นซีเห็นด้านหลังของคนผู้นั้น ริมฝีปากที่มีคราบเลือดพลันสั่นเทาเล็กน้อย นางพยายามลืมตาที่พร่ามัว และยื่นมือไปหาแผ่นหลังของคนผู้นั้นอย่างสุดกำลัง

คนผู้นั้นราวกับสัมผัสได้ถึงความร้อนใจของซูจิ่นซี เขาค่อยๆ หันหลังกลับมา

เยี่ยโยวเหยา!!!

ใบหน้าที่แสดงออกกับผู้อื่นด้วยความเย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งหมื่นปี ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้ซูจิ่นซีด้วยความรักลึกซึ้ง

เขาพูดว่า “จิ่นซี เจ้าเป็นอันใด? ”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น น้ำตาของซูจิ่นซีก็ไหลออกมาทันที

“ท่านอ๋อง จิ่นซีคงรอท่านไม่ไหวแล้ว! ”

เยี่ยโยวเหยายังคงแย้มยิ้มให้นาง “หากรอไม่ไหว เจ้าก็มาหาข้าสิ พวกเราตกลงกันแล้วว่าให้เวลาหนึ่งเดือน”

ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาและเลือดผสมปนเปเข้าด้วยกัน ภายในใจเจ็บปวดรวดร้าว

นางยังคงพยายามยื่นมือออกไปหาเยี่ยโยวเหยาอย่างสุดกำลัง

“ท่านอ๋อง ท่านเดินมาหาจิ่นซีสักก้าวได้หรือไม่? เพียงก้าวเดียว! จิ่นซีก็จะสามารถคว้าตัวท่านได้ เพียงก้าวเดียวเท่านั้น จิ่นซีไม่อยากจากไป ไม่อยากจากไปจริงๆ ท่านอ๋อง… ”

“ตกลง! ” เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหาซูจิ่นซีหนึ่งก้าว

ทว่าซูจิ่นซียังเอื้อมไม่ถึงตัวเขา

มือของนางบอบช้ำเนื่องจากใช้พลังเกินขีดจำกัด เส้นเอ็นฉีกขาด นิ้วมือที่เปื้อนคราบเลือดสั่นเทาไม่หยุด นางพยายามลืมตามองดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคว้าตัวท่านไม่ได้… ”

เยี่ยโยวเหยาเดินมาข้างหน้าอีกครั้ง

ทว่าซูจิ่นซียังเอื้อมไม่ถึงตัวเขา

เขาเดินเข้ามาอีกครั้ง

นางก็ยังเอื้อมไม่ถึงตัวเขา

เดินเข้ามาอีก

ยังเป็นเช่นเดิม…!

เขาเดินมาหนึ่งร้อยก้าว ทว่าซูจิ่นซียังคว้าตัวเขาไม่ได้ นางกัดริมฝีปากแน่น มือข้างหนึ่งกดลงบนพื้นจนเกิดเป็นคราบเลือด

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกกังวล ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความเดือดดาล พลางมองเยี่ยโยวเหยาที่ยังคงแย้มยิ้ม “เยี่ยโยวเหยา หากซูจิ่นซีจากไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไร?”

เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ กำแพงด้านหนึ่งภายในถ้ำพังทลายลงมา

เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ อีกครั้ง เพดานถ้ำครึ่งหนึ่งถล่มลงมา ปิดถ้ำไปกว่าครึ่ง

จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ อีกครั้ง เพดานถ้ำอีกด้านกำลังจะหล่นลงมาทับร่างของซูจิ่นซี

……

ในเมืองเยวี่ยหยาง เยี่ยโยวเหยากำลังปรึกษาเรื่องสถานการณ์สู้รบกับหลานเสวียนหมิงและเหล่าแม่ทัพใหญ่หน่วยตะวันตก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขณะที่เขากำลังยื่นมือออกไปหยิบแผนที่บนโต๊ะ มือของเขากลับปัดกาน้ำชาตกลงบนพื้นจนแตกละเอียด

เสียงกาน้ำชาที่แตกละเอียดนั้น ภายใต้สถานการณ์เคร่งเครียดในยามนี้ ดูเหมือนจะดังผิดปกติ

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับตกตะลึงจนไม่ได้ยินเสียงอันใด เขาจับจ้องมือที่ปัดกาน้ำชาด้วยท่าทางตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

แม้เหล่าแม่ทัพทั้งหลายจะเกิดความสงสัยภายในใจ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากถาม

ห้องทรงอักษรอันกว้างใหญ่พลันเงียบสงัด หากมีเข็มตกกระทบพื้นคงได้ยินเสียงสะท้อนเป็นแน่

เยี่ยโยวเหยากลับมาได้สติ เขามองใบหน้าแม่ทัพทุกคน ก่อนจะเดินออกไปนอกประตูอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางยังชนเก้าอี้ แจกันลายคราม และแม่ทัพท่านหนึ่ง

เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาที่เป็นเช่นนั้น พวกเขาต่างตกตะลึง

นายท่านของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรมามักมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา ใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดสงบนิ่งได้เท่านายท่านอีกแล้ว พวกเขาไม่เคยเห็นท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ของนายท่านมาก่อน นี่มันเกิดอันใดขึ้น?

……

เชิงอรรถ

[1] ต่งฉุนรุ่ย เป็นทหารคอมมิวนิสต์จีนในกองทัพปลดปล่อยประชาชน ช่วงสงครามกลางเมืองจีน เขาระเบิดตัวเองเพื่อทำลายบังเกอร์ฝ่ายก๊กมินตั๋ง และเพื่อปกป้องสะพานที่สำคัญในมณฑลหลงหัว ซึ่งชื่อของเขากลายเป็นการยกย่องวีรชนที่สละชีพอย่างยิ่งใหญ่เพื่อส่วนรวม