บทที่ 317
การจับตามอง
มู่หรงปลอบใจเฟิงจือหลิง เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไร มิติลับเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ห้องขังถูกล้อมรอบไว้หลายชั้น ทหารแต่ละคนมีหอกอยู่ในมือ ทันทีที่เธอปรากฏตัวออกมา พวกเขาก็รีบพุ่งมาที่เธอ ถ้าเธอไม่รีบถอยไปข้างหลัง พวกเขาก็คงจะชนเธอติดลูกกรงไปแล้ว
มุมปากมู่หรงยกขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น จำเป็นต้องรุนแรงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?!
จังหวะการเต้นของหัวใจเหล่าทหารเต้นรัวด้วยความกังวลและเสียงการเต้นก็ดังชัดเจนในบรรยากาศที่เงียบแบบนี้
หวังฉิงที่นั่งเกร็งอยู่ที่เก้าอี้ สายตาจ้องตรงมาที่ห้องขัง รีบลุกขึ้นมาทันที เขารีบผลักเหล่าบอดี้การ์ดที่ล้อมวงอยู่ออกอย่างแรงและเดินตรงไปหามู่หรงเสวี่ย พร้อมทั้งดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน
มู่หรงเสวี่ยตะลึงไปชั่วขณะแล้วเธอก็พยายามที่จะผลักเขาออก น่าเศร้าที่มู่หรงเสวี่ยไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณจึงสู้แรงของหวังฉิงที่มีทักษะศิลปะการป้องกันตัวชั้นสูงไม่ได้
สายตาที่เย็นชาของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายแสงเย็นชา เธอเงยหน้าขึ้น กัดฟันแน่นและจ้องไปที่เขาอย่างขุ่นเคือง “ปล่อยนะ นี่เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?”
“ไม่ ถ้าเกิดข้าปล่อยแล้วเจ้าหนีไปอีกล่ะ?” หวังฉิงตัวสั่นเล็กน้อย น้ำเสียงที่สั่นอย่างเห็นได้ชัดแสดงให้เห็นได้ว่าเขากำลังกลัว
ลมหายใจของชายแปลกหน้าที่รดมาที่ปลายจมูกของเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่เคยชินเล็กน้อย
คิ้วของมู่หรงพันกันยุ่ง น้ำเสียงพูดออกมาอย่างไม่สบายใจ “ปล่อย ข้าไม่ไปไหนหรอก”
เหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่รอบๆรู้สึกอยากจะตาบอดจริงๆ ทำไมพวกเขาที่อาวุธครบมือต้องมายืนทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย?!
พวกเขาต่างก็คิดว่ามีศัตรูเข้ามาโจมตีแต่ทันทีที่พวกเขาเข้ามากลับพบฝ่าบาทที่กำลังกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
เขาโบกมือให้เหล่าทหารที่กำลังกังวล
มือทั้งสองข้างยังกอดมู่หรงไว้แนบหน้าอกแน่น ในเวลานี้คนทั้งสองกอดกันแน่นจนแทบไม่มีอะไรผ่านเล็ดลอดไปได้เลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนจนมู่หรงเริ่มที่จะโกรธ สุดท้ายหวังฉิงก็ค่อยๆปล่อยแขนออกแต่มือใหญ่ทั้งสองข้างยังจับมือเล็กของมู่หรงแน่น
“ถอยไป” หวังฉิงพูดกับทหารที่อยู่นอกห้องขัง
ทันใดนั้นเหล่าทหารก็ได้สติกลับมาและไม่กล้าที่จะพูดอะไรสักคำ พวกเขาต่างก็รีบหลีกทางตามคำสั่งทันที
แต่ภาพของเทพเจ้าแห่งสงครามในหัวใจของพวกเขาตอนนี้ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
“ปล่อยได้แล้ว เจ้าจะจับไปถึงไหนเนี่ย? มือข้าเจ็บไปหมดแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าผู้ชายเขาไม่ทำร้ายผู้หญิงกันหรอกนะ” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยแดงระเรื่อและจ้องไปที่เขาด้วยสายตาขุ่นเคือง
เขาไม่ได้สนใจการขัดขืนของเธอ แต่หวังฉิงแค่กลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บ เขาคลายมือเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เจ็บแต่ก็ไม่ให้เธอหนีไปได้
“มาเถอะ กลับกันเถอะ” หวังฉิงพูดเสียงเรียบและเขาจะไม่ถามเรื่องเฟิงจือหลิงอีก เขารู้ว่ามู่เทียนคงจะมีวิธีเพื่อที่จะยืนยันตัวตนของเฟิงจือหลิง ไม่งั้นเธอคงไม่ปรากฏตัวออกมาคนเดียว
มู่หรงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเดินนำไปเพื่อที่จะได้เห็นเส้นทางเพื่อหาโอกาสในการหนี
“เจ้าไม่อยากจะหนีเหรอ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าจะต้องปรากฏตัวในจุดที่เจ้าหายตัวไป” หวังฉิงพูดในระหว่างที่ดึงเธอไปตามทาง
สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปในทันที ทำไมชายคนนี้ถึงได้ฉลาดนักนะ แล้วเธอก็แกล้งทำเป็นสงบและพูดออกมา “ไร้สาระ ไม่ใช่แบบนั้นเลย” บ้าเอ๊ย เขาดันรู้เรื่องสุดท้ายที่เธออยากให้เขารู้ซะนี่
หวังฉิงเผยริมฝีปากที่เซ็กซี่และค่อยๆเลิกคิ้วขึ้นสูง “อย่าปิดบังเลย เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก”
“รีบเดินเข้าสิ!” มู่หรงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธพร้อมทั้งกระทืบเท้าเดินไปหลายก้าว ริมฝีปากของหวังฉิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ตราบใดที่เธอไม่หนีไปก็ดีแล้ว ในหัวใจในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว
ความฝันช่างสวยงามเหลือเกินแต่ความจริงเป็นเรื่องที่เลือนราง ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยหาข้ออ้างนับไม่ถ้วนที่จะสลัดมือออกจากหวังฉิงแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องการหนีเลย สุดท้ายพวกเธอก็กลับมาถึงพระราชวังฉิง
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังนั่งอยู่ในเรือนหิมะ จู่ๆก็ยื่นมือออกไปที่โต๊ะและผลักออกไป กาน้ำชาและถ้วยชาตกแตกกระจายไปทั่วพื้น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงโกรธ รอบๆเรือนหิมะมีองครักษ์นับไม่ถ้วนยืนเฝ้าอยู่ และในห้องก็มีสาวใช้นับสิบอยู่กับเธอด้วย ไม่ต้องพูดเรื่องการหนีเลย ตอนนี้เธอทั้งเดินและทำทุกๆอย่างพร้อมสายตาเป็นสิบคู่ที่กำลังจับจ้อง
“ได้โปรดอย่างหงุดหงิดเลยนะเจ้าคะแม่นางมู่” เหล่าสาวใช้ต่างก็ทรุดลงไปคุกเข่าและแทบไม่กล้าที่จะหายใจ เหล่าสาวใช้พวกนี้ต่างก็ถูกฝ่าบาทดุก่อนที่จะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเธอไม่เพียงแค่ต้องรับใช้แม่นางมู่อย่างดีแต่ยังต้องกันไม่ให้เธอหนีไปได้ด้วย นอกจากนี้พวกเธอยังต้องช่วยให้แม่นางมู่อยู่ที่นี่อย่างสุขสบายอีกด้วย
มู่หรงขมวดคิ้ว มองไปที่เหล่าคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ หัวใจรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้นไปอีก “ลุกขึ้น พวกเจ้าออกไปข้างนอกแล้วให้ข้าอยู่เงียบๆหน่อยได้ไหม” คิ้วของมู่หรงขมวดมุ่น
“ได้โปรดเมตตาด้วยนะคะแม่นางมู่”
“ได้โปรดเมตตาด้วยนะคะแม่นางมู่”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ยแล้ว เหล่าสาวใช้ก็ยังไม่ลุกขึ้นแต่เอาแต่อ้อนวอนขอความเมตตา
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ไม่นานเธอก็ได้เห็นเหล่าสาวใช้พวกนี้ที่แค่อ้อนวอนยังไม่พอแต่กลับเอาหัวตัวเองกระแทกกับพื้นอีกแล้วเธอจึงรีบพูดออกไป
“หยุดนะ! หยุด” มู่หรงเสวี่ยร้อง
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกนางก็ค่อยๆหยุดท่าทางที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดอะไรนิใช่ไหม?! ทำไมทุกคนต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วย
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
เหล่าสาวใช้ต่างก็มองหน้ากันและกัน กัดริมฝีปากพร้อมทั้งส่ายหัวแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร มู่หรงยิ่งพูดไม่ออกมากขึ้นไปอีก “ตอบข้ามา ทำไมต้องมาร้องขอความเมตตาจากข้าด้วย ข้าแค่บอกให้พวกเจ้าลุกขึ้นเอง”
สาวใช้คนหนึ่งกำลังจะร้องไห้ ดวงตาของนางแดงระเรื่อและนางก็เปิดปาก “แม่นางมู่ พวกเราก็แค่สาวใช้ พวกเราไม่มีสิทธิเลือกว่าจะอยู่ที่ไหน พวกเราได้รับคำสั่งมาว่าห้ามคลายสายตาจากท่านแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าท่านสั่งให้พวกเราออกไป…” นั่นก็หมายความว่าให้พวกนางไปตาย
มู่หรงเสวี่ยเข้าใจได้ในทันที ในยุคที่ผิดปกติและระบบลำดับชั้นที่ผิดปกตินี้ ถึงแม้เธอบอกว่าจะไม่ออกความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ในช่วงเวลานี้ เธอจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องใดๆ แต่ยังไงซะเธอก็รู้ตัวดีว่าเธอยอมรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้
“โอเค เลิกคุกเข่าแล้วก็ลุกขึ้นได้แล้ว” มู่หรงพูดเสียงเรียบ พวกนางต่างก็เป็นสาวใช้ที่ไร้เดียงสา โกรธพวกนางไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
มู่หรงหยิบขวดขี้ผึ้งสองสามขวดออกมาจากแขนและยื่นพวกมันให้เหล่าสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าเธอ “เอาขี้ผึ้งนี่ไปทาแผลที่หน้าผากซะ”
สาวใช้ไม่ยอมรับแต่กลับส่ายหัวและมืออย่างสิ้นหวัง “ไม่ ไม่ได้ ไม่ได้เจ้าค่ะ เราจะเอาของของแม่นางมู่ไม่ได้หรอก นี่ก็แค่แผลเล็กๆ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ อีกสองวันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
มู่หรงขมวดคิ้ว “รับไปซะ นี่เป็นคำสั่งแล้วทาให้ครบทุกคนด้วย”
“เจ้าค่ะ แม่นางมู่” พวกนางต่างก็รับขี้ผึ้งมาและมีท่าทางสั่นๆ
กลิ่นหอมสดชื่นของขี้ผึ้งกระจายไปทั่วห้อง
เหล่าสาวใช้ดวงตาแดงระเรื่อ พวกเจ้านายเคยมาสนใจแผลของพวกนางเมื่อไรกัน พวกนางรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่ขี้ผึ้งธรรมดาทั่วไปแน่แต่กลับเอามาให้ทาสที่ต่ำต้อยได้ใช้
เมื่อทาขี้ผึ้งไปที่หน้าผากก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอย่างมาก บาดแผลที่เคยเจ็บก็หายเจ็บไปในทันที ตอนที่เหล่าสาวใช้ใช้ขี้ผึ้ง พวกนางต่างระวังอย่างมาก แตะเพียงแค่เล็กน้อยด้วยปลายนิ้วเพื่อไม่ให้ใช้มากเกินไปจนเปลือง
หลังจากนั้นหนึ่งในสาวใช้ที่รับขวดขี้ผึ้งไปก็นำมันกลับมาวางตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยอีกครั้ง
“แม่นางมู่ พวกเราทาขี้ผึ้งเสร็จแล้วเจ้าค่ะ และยังเหลืออีกเยอะอยู่ นี่เจ้าค่ะ…”
อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยเห็นว่ามีกันหลายคนจึงหยิบออกมาห้าขวดแต่ก็เห็นว่าพวกนางใช้ไม่ถึงขวดด้วยซ้ำ
“ขี้ผึ้งพวกนี้สำหรับพวกเจ้า มาหยิบไปคนละขวด” มู่หรงหยิบขวดขี้ผึ้งออกมาจากแขนอีก 11 ขวดและวางพวกมันไว้บนโต๊ะ
สาวใช้ที่อยู่ในเรือนหิมะมีทั้งหมด 15 คน รวมกับขวดที่เพิ่งใช้ไป เธอหยิบออกมาเพิ่มอีก 11 ขวดก็พอดีคน
“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างพวกเราจะรับไว้ได้ยังไงเจ้าคะแม่นางมู่ พวกเราไม่มีเงินมาซื้อขี้ผึ้งล้ำค่าแบบนี้หรอกเจ้าค่ะ ท่านเก็บไว้ใช้เถอะเจ้าค่ะ” เพียงแค่ได้ใช้ครั้งเดียวพวกนางก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว พวกนางจะกล้ารับของที่ล้ำค่าแบบนี้ได้ยังไง
แม้แต่ขี้ผึ้งสักขวดพวกนางก็ไม่มีปัญหาซื้อด้วยซ้ำ
“นี่เป็นคำสั่ง พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องเอาไปหนึ่งขวด” มู่หรงเสวี่ยขี้เกียจที่จะอธิบายเหตุผลกับพวกนางแล้ว พวกทาสในยุคนี้มีความเป็นทาสสูง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเอาเรื่องยุคสมัยใหม่มาบอกพวกนาง มันไม่ได้จะช่วยแต่จะเป็นผลร้ายกับพวกนางมากกว่า
ทุกยุคทุกสมัยต่างก็มีกฎที่เคร่งครัด ถ้าเธอไม่ยึดตามกฎระเบียบของยุคนี้ การบอกพวกนางไปก็มีแต่จะสร้างความคลางแคลงใจเปล่าๆ
มู่หรงเสวี่ยจึงพูดไปว่านี่เป็นคำสั่ง ทำให้พวกสาวใช้กล้าที่จะรับขี้ผึ้งไป เมื่อเห็นว่าพวกนางค่อยๆหยิบไปอย่างระวังและถึงขนาดเอามาลูบๆคลำๆก็มองออกเลยว่าพวกนางเทิดทูนมากแค่ไหน
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังถูกจับตามองแบบนี้อยู่ๆก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอลุกขึ้น “ข้าจะเข้าไปนอนแล้ว พวกเจ้าก็ตามสบายนะ”
“เจ้าค่ะแม่นางมู่”
มู่หรงเดินเข้าไปห้องด้านในและเอนตัวลงไปที่เตียง สายตามองไปรอบๆและไม่มีร่องรอยของความง่วงเลย
ในห้องจะมีสาวใช้สี่คนที่ตามเข้ามาด้วย ส่วนคนที่เหลือจะอยู่ด้านนอกและไม่ส่งเสียงอะไรเลย พวกนางต่างก็ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก
สาวใช้ที่ตามเข้ามา สองคนจะจับพัดและคอยพัดให้ มู่หรงอย่างนุ่มนวลพร้อมด้วยสายลมที่พัดผ่านมาอย่างแผ่วเบาซึ่งทำให้คนรู้สึกสบายจนผล็อยหลับไปได้
ส่วนสาวใช้อีกสองคนจะคอยจุดธูปหอมในห้อง
ใบหน้าของมู่หรงหันเข้าด้านใน ในหัวใจก็ถอนหายไปไปกับความเพลิดเพลินของคนยุคโบราณจริงๆ
เพียงแค่ว่าตอนนี้เธอจะต้องทำยังไงกับสถานการณ์ที่มันเลวร้ายแบบนี้ดี
ไม่รู้ว่าหลินหยางจะเตรียมพร้อมหรือยัง?!
ใครกันน่ะที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกร?!
เธอไม่ได้คิดว่าจะอยู่ในมิตินานขนาดนี้ ถึงแม้เธอจะจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่เสี่ยวไป๋บอกว่าเธอกำลังจะไปที่ดินแดนมังกรเพื่อตามหาพ่อแม่ ในชีวิตที่แล้วเธอติดค้างพ่อแม่ไว้มาก
ยิ่งเธอคิดมาเท่าไร ก็ยิ่งนอนไม่หลับมากขึ้นเท่านั้น ในหัวใจรู้สึกหงุดหงิดและวุ่นวายไปหมด
ในตอนนี้หวังฉิงกำลังอยู่ในห้องประชุมและเรียกเหล่านายพลมารวมตัวกัน เขาอธิบายถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็นในดินแดนดำมืดก่อนหน้านี้ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาได้มากมาย
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นหวังฉิง พวกเขาก็คงจะคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าแน่ๆ ดินแดนแห่งไฟของพวกเขาล้าหลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ของชิ้นเล็กๆแต่สามารถระเบิดบ้านได้ทั้งหลัง ช่างเป็นของที่น่ากลัวจริงๆ