บทที่ 318
ถ้าเจ้าชอบ
มู่หรงที่กำลังหลับ จู่ๆก็ได้ยินเสียงที่ด้านนอก
“ฝ่าบาท”
“ชูว์ นางอยู่ที่ไหน?”
“แม่นางมู่กำลังหลับอยู่ห้องด้านในค่ะ”
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หวังฉิงสั่งเสียงเบา
“เจ้าค่ะ”
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆรู้สึกได้ว่าหวังฉิงเดินตรงมาที่ข้างเตียงและกำลังจ้องมาที่เธอ
ทนต่อไปไม่ได้แล้ว จู่ๆมู่หรงก็ลืมตาขึ้น “เจ้าไม่รู้หรือไงว่าผู้ชายเขาไม่เข้ามาให้ห้องผู้หญิงแบบนี้หรอก?”
หวังฉิงฟังพร้อมรอยยิ้ม สายตาเจ้าชู้แวบประกายรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังหลับอยู่?”
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นนั่ง โชคดีที่เธอเข้านอนด้วยชุดปกติและไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดนอน ในยุคโบราณ ไม่มีความเป็นส่วนตัวและประตูนี่ก็ไม่ปลอดภัยด้วย
“เจ้าต้องการอะไร? นี่เจ้าจะเข้ามาฆ่าข้างั้นเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา
“ตราบใดที่เจ้าอยากที่จะหนี มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่เจ้าจะหนีไปตลอดชีวิต”
ดวงตาของมู่หรงจ้องไปที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว สีหน้าซีดเผือด ลมหายใจเริ่มที่จะหนักหน่วง “เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?! ถึงแม้ข้าจะเกลียดเจ้างั้นเหรอ?”
“การแต่งงานกับข้ามันไม่ดีตรงไหนเหรอ? ข้าไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือไง?” หวังฉิงพูดพร้อมถอนหายใจ
“การที่ขังข้าไว้แบบนี้เหรอที่เจ้าเรียกว่าดี!” ดวงตาที่ดำมืดของมู่หรงจ้องตรงพร้อมด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่พูดออกมาอย่างประชดประชัน
“ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไร ข้าจะมอบให้ทุกอย่างตราบใดที่เจ้ายอมที่จะอยู่” น้ำเสียงอบอุ่นและดึงดูดของหวังฉิงพูดออกมาอย่างอ่อนโยน
มู่หรงเสวี่ยเหลือบมองไปที่สาวใช้หลายคนที่อยู่ในห้องและนึกถึงเหล่าทหารที่อยู่ชั้นสามและด้านนอกชั้นสามอีก เธอจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ให้คนที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดออกไปซะและข้าก็ไม่ต้องการคนมาดูแลด้วย”
“ไม่มีทาง ข้ารับปากเจ้าได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องนี้” หวังฉิงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
เขารู้ว่ามู่หรงเสวี่ยไม่ชอบเขาเลยสักนิดและเธอก็ไม่สนเรื่องคนพวกนี้ด้วย เมื่อไม่มีเฟิงจือหลิงแล้ว เขาก็ไม่มั่นใจแล้วว่าจะยังเก็บเธอไว้ได้ ดังนั้นถึงแม้เธอจะเกลียดเขา เขาก็ปล่อยให้เธอหนีไปไม่ได้
คิ้วของมู่หรงเสวี่ยพันกันยุ่งและน้ำเสียงที่พูดออกมาก็มีร่องรอยของความอดกลั้น “ข้าอยากจะออกไปเดินข้างนอกหน่อย” อย่างน้อยก็หาโอกาสเพื่อที่จะได้ออกไปข้างนอก
หวังฉิงขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะรู้จุดประสงค์ของมู่เทียน แต่เธอก็พูดออกมาอย่างเคร่งเครียดจนเขาไม่อยากที่จะทำให้เธอผิดหวัง หลังจากที่ลังเลอยู่สักพักเขาก็ตอบออกมา “โอเค พรุ่งนี้แล้วกันนะ วันนี้ค่อนข้างที่จะดึกแล้ว”
“นี่ก็เกือบจะ 6 โมงเย็นแล้ว” เธอพยักหน้า
ถึงแม้หวังฉิงจะมีเรื่องหลายอย่างที่ต้องจัดการ แต่เขาก็ยังหาเวลาเพื่อที่จะออกไปข้างนอกกับเธอพรุ่งนี้
“ลุกไปกินข้าวกันเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว” หวังฉิงมองไปที่ผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปและจัดผมให้เธอ
มู่หรงหันหัวหลบเล็กน้อย “ข้าทำเองได้” เธอลุกขึ้นทันทีและเดินไปที่กระจกแต่งตัวที่อยู่ข้างๆ
ในตอนนี้ หนึ่งในสาวใช้ที่อยู่ในห้องก็รีบก้าวมาข้างหน้าทันที “แม่นางมู่ ให้ข้าทำให้เถอะนะเจ้าคะ”
มู่หรงเอียงหัว เห็นสาวใช้ที่อยู่ข้างๆมองด้วยสีหน้ากังวล และสายตาที่คาดหวังซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน
“งั้นก็ทำง่ายๆพอนะ” มู่หรงพูดเสียงเบา
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆเธอเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
มันง่ายมากที่จะรู้สึกพอใจ ในหัวใจของสาวใช้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เจ้านายพอใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้ามู่หรงเสวี่ยปฏิเสธ เธอก็กลัวว่าสาวใช้จะเสียใจ
มุ่หรงเสวี่ยเองก็ยอมที่จะเข้าใจ
และหวังฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอพร้อมทั้งมองอย่างเงียบๆมาที่เธอ
มู่หรงเสวี่ยมองตัวเองที่อยู่ในกระจกทองแดง เธอมีใบหน้า, ดวงตาและคิ้วที่สวยสมส่วนมาก ผมสีดำที่มีน้ำหนักราวกับสายน้ำตก ดูคุ้นเคยแต่ก็แปลกอยู่นิดหน่อย
มือของสาวใช้คล่องแคล่วอย่างมากพร้อมทั้งม้วนผมให้เธอได้อย่างง่ายดายพร้อมยังติดกิ๊บไข่มุกเพิ่มเข้าไปอีก ยิ่งทำให้ใบหน้าที่สง่างามของมู่หรงยิ่งดูสวยเกินจริงมากขึ้นไปอีก
มู่หรงยิ้ม “ดีมากเลย ฝีมือดีมากเลยนะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เป็นเกียรติของข้าด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมพูดออกมาอย่างมีความสุข
“ต้องตกรางวัล!” หวังฉิงดีใจมากที่เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยพอใจและอยากที่จะตกรางวัลสาวใช้ทันทีจึงเปิดปากพูดออกมา
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะฝ่าบาท แม่นางมู่”
“ไปกันเถอะ” หวังฉิงยื่นมือออกมาและจับไปที่มู่หรงเสวี่ย
มู่หรงตอบออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “อย่าแตะตัวข้า”
สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ
แต่ในหัวใจของเหล่าสาวใช้กลับรู้สึกอกสั่นไปตามๆกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นว่ามีใครกล้าที่จะขัดคำสั่งองค์ราชา พวกนางต่างก็ก้มหัวและหวังอยากให้ตัวเองตาบอดซะจะได้ไม่เห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจแบบนี้
เมื่อมู่หรงเสวี่ยและหวังฉิงมาถึงห้องโถง ฝางเสี่ยวโหรวและคนอื่นๆต่างก็นั่งรอกันที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ฝ่าบาท” ฝางเสี่ยวโหรวลุกขึ้นนำเพื่อทำความเคารพตามพิธีก่อนเป็นคนแรก
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ลุกขึ้นเถอะ” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ แล้วเขาก็หันหัวกลับมาพูดกับมู่หรงเสวี่ยอย่างอ่อนโยน “มาสิ มานั่งตรงนี้”
ในความคิดของฝางเสี่ยวโหรว มู่หรงก็แค่ดอกไม้ริมทางที่ทำตัวราวกับเป็นดอกไม้งาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่นางไม่ใช่ดอกไม้งาม
นางสนมคนอื่นๆลุกขึ้นและต่างก็มองหน้ากันเองอยู่หลายครั้ง สำหรับพวกนางมู่หรงเสวี่ยคือศัตรูที่มาจากข้างนอก
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าน้องเล็กจะยังไม่รู้เรื่องมารยาทเลยนะคะ เราควรจะหาแม่นมมาให้นางหน่อยหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่ต้อง ใครเป็นคนสั่ง”
“ไม่เหรอเจ้าคะ?! พระราชวังไม่ใช่สถานที่ทั่วไป ถ้าไม่รู้เรื่องมารยาท คนอื่นจะหัวเราะเอาได้นะเจ้าคะ”
“อีกอย่างก็เป็นเรื่องดีที่ควรจะศึกษาไว้ เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าน้องเล็กมาจากตระกูลไม่มีหัวนอนปลายเท้า”
“…”
มู่หรงเลิกคิ้ว มุมปากเผยรอยยิ้ม สายตามองไปที่ผู้หญิงที่นั่งถัดๆไปที่กำลัง “กัน” เธอออกไป
สีหน้าของหวังฉิงเครียดขึ้นและมองมาที่มู่หรงเสวี่ย “เจ้าคิดว่าไง?” อันที่จริงถ้าเธอจะต้องมาเป็นพระสนมจักรพรรดิ เธอก็จำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องมารยาทไว้บ้าง ไม่งั้นคงเป็นปัญหาแน่ถ้าต้องเข้าไปในวังเพื่อพบกับท่านพ่อ
มู่หรงหันหัวมา “เจ้าว่าไงล่ะ?” สายตาเย็นชาของเธอแวบประกายเย็นชาและมีท่าทีราวกับประชดประชัน
หัวใจของหวังฉิงนึกถึงเรื่องที่เขาบังคับเธอตอนที่อยู่ในเรือน งั้นก็ยังมีเวลาอีกมากไม่จำเป็นที่จะต้องรีบเร่งอะไร
“งั้น กินข้าวกันเถอะ แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
เหล่านางสนมต่างก็เงียบกันทันทีและตอบกลับมาว่า “เพค่ะฝ่าบาท” แล้วต่างก็มองมาที่สายตาของมู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร
ฝางเสี่ยวโหรวไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบเพราะเธอได้รู้เรื่องความสำคัญของมู่เทียนในหัวใจขององค์ราชาแล้ว แล้วเธอจะยอมให้ตัวเองพูดอะไรที่ฝ่าบาทไม่พอใจได้ยังไง
“น้องเล็ก หูฉลามนี่อร่อยมากเลยนะ กินเยอะๆนะ” ฝางเสี่ยวโหรววางตะเกียบลงที่ถ้วยของมู่หรงเสวี่ย
“ขอบคุณ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
แน่นอนว่าหวังฉิงมองมาที่ฝางเสี่ยวโหรวด้วยสายตาพอใจ
ฝางเสี่ยวโหรวทำท่าทางเอียงอายราวกับว่าเขินอยู่เล็กๆ ในสายตาของผู้ชายก็เพียงแค่ต้องทำตัวอ่อนโยนเท่านั้น
เดิมทีหวังฉิงก็ประทับในเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังไม่เจอมู่หรงเสวี่ย เขามักจะนึกถึงฝางเสี่ยวโหรวในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเสมอ ไม่ใช่เพราะเขาชอบเธอแต่เพราะเธอรู้ว่าเมื่อไรที่ต้องลุกและเมื่อไรที่ต้องถอย เธอมักจะทำอะไรที่สอดคล้องกับความต้องการเขาเสมอ
ในทางตรงกันข้าม มู่หรงเสวี่ยคือผู้หญิงที่ทำให้เขาปวดหัวแต่เขาก็อดไม่ได้ ผู้หญิงที่ทำให้เขาอยากจะตายกลับเป็นคนที่เขารัก
“กินเยอะๆนะ” หวังฉิงเอาแต่ตักอาหารให้มู่หรงเสวี่ย
“ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
เมื่อเธอเห็นว่าองค์ราชาปฏิบัติกับมู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางทีอ่อนโยนแบบนี้ ฝางเสี่ยวโหรวที่สาปแช่งนางนับครั้งไม่ถ้วนก็อดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยสายตาอิจฉา
ถึงแม้เธอรู้อย่างชัดเจนว่าฝ่าบาทไม่ได้เป็นของผู้หญิงคนไหนก็ตาม ในสายตาของฝ่าบาท ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด ไม่มีใครพิเศษ แต่เธอไม่เคยรู้สึกอิจฉาใครเท่ากับที่อิจฉานางอยู่ตอนนี้เลย
แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยรู้ว่าฝางเสี่ยวโหรวกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้มีเจตนาที่จะแข่งอะไรกับนางเพื่อที่จะแย่งผู้ชายและจะไม่อยู่ที่นี่นานด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะอธิบายอะไรกับนาง สักวันนางก็จะเข้าใจเองว่าเธอไม่ใช่คู่แข่งอะไรของนาง
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ หวังฉิงก็เดินมาส่งมู่หรงเสวี่ยที่เรือนหิมะ จนกระทั่งเขาเดินเข้าประตูไปตามเธอมาด้วย
มู่หรงตกใจ “นี่มันก็ดึกแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่กลับอีก” เธอมองเขาด้วยสายตาตั้งรับเล็กน้อย
หวังฉิงยิ้มอย่างขมขื่น ท่าทางของเธอนี่มันอะไรกัน คิดว่าเขาเป็นพวกชอบบังคับใจใครหรือไง?!
“เจ้าเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปข้างนอก” หวังฉิงบีบจมูกมู่หรงและพูดอย่างอ่อนโยน
มู่หรงปัดมือเขาออกและตอบเสียงเรียบ “ได้”
“ดูแลแม่นางมู่ให้ดีล่ะ” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชากับสาวใช้ที่ยืนอยู่ในห้อง
หลังจากที่หวังฉิงไปแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งอก
“พวกเจ้าก็ลุกขึ้นได้แล้ว” มู่หรงออกคำสั่งเสียงเรียบ
แล้วเธอก็เดินเข้าไปในห้อง เธอไม่สามารถต้านทานความกระตือรือร้นของมู่หรงได้เลย
วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยตื่นแต่เช้าพร้อมรับการดูแลจากเหล่าสาวใช้ ทันทีที่เดินออกมาจากห้องด้านใน เธอก็เห็น หวังฉิงรออยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าสดใส ริมฝีปากเผยรอยยิ้มราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ พร้อมด้วยดวงตาสีดำเงาคู่นั่นที่เปล่งประกายชัดเจน
“ไปกันเถอะ ข้างนอกอาหารเช้าอร่อยมากเลยนะ มีร้านหนึ่งที่ทำอาหารเช้าได้อร่อยมากเลย” หวังฉิงพูดอย่างอ่อนโยน
สีหน้าของมู่หรงสะดุดแล้วก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างแล้วริมฝีปากบางก็ยกขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ด้วย “ไปสิ ข้าไม่ได้ผ่อนคลายมานานมากแล้ว”
หวังฉิงรู้สึกพอใจอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เทียนพูดกับเขาอย่างอ่อนโยนขนาดนี้ ชั่วขณะหนึ่งสมองส่วนเหตุผลของเขาก็เหมือนกับจะจมอยู่กับหัวใจที่เปี่ยมสุข
“งั้นเวลาที่ข้าว่างเราออกไปข้างนอกกันไหม?” ดวงตาของหวังฉิงยิ่งยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมอีก ตราบใดที่เธอมีความสุข อย่าว่าแต่ครั้งเดียวเลย ต่อให้เขาต้องไปกับเธออีกเป็น 100 ครั้งเขาก็ยอม
“เจ้ายุ่งจะตาย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ว่างหรอก” ใบหน้าที่สวยงามของมู่หรงทำสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย
หวังฉิงอดไม่ได้ที่จะจับมือเธอ “รู้ไหม ตราบใดที่เจ้าต้องการ ข้าก็จะพาเจ้าออกไปเดินเที่ยวทุกวันเลย”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตกใจกับสายตาที่แสดงถึงความรักอย่างสุดซึ้งของเขา
มือที่กำลังจับรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เธอพยายามข่มใจไม่สลัดมือเขาออกพร้อมทั้งส่งยิ้มจางๆอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “ไปกันเถอะ” แล้วก็ค่อยๆดึงมือออกและแกล้งทำเป็นเอามือมาจับผม