ตอนที่ 1747

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,747 : ต่ำกว่าอริยะเซียนไม่พ่าย?

 

“เหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป?”

 

“มิผิด! เจ้าอย่าได้ลืมว่าพี่น้องสกุลลั่วเป็นผู้ใด พวกมันเคยร่วมมือกันเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปมาแล้ว…ทั้งเหล่าศิษย์ที่พึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ถึงปี ไม่ได้ต่างอันใดจากลูกไก่ต่อหน้าการร่วมมือของพวกมันเลย”

 

“ถูกต้อง! หลิงเทียนสมควรทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดในสระวิญญาณ กล่าวได้ว่าพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้แค่ไม่ถึง 3 เดือน ทว่าสามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้! ไหนเลยยังเป็นชนชั้นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดธรรมดาได้อีก!?”

 

“ฮัยยา! ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนนอกจากจะมากพรสวรรค์แล้ว ยังจะมีเชิงยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้อีกด้วย”

 

“เป็นธรรมดา หากเชิงยุทธ์ไม่ร้ายกาจไหนเลยจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้ ทั้งๆที่พึ่งทะลวงผ่านมาไม่ถึง 3 เดือน”

 

……

 

เมื่อตระหนักได้ถึงผลการปะทะระหว่างพี่น้องสกุลลั่วกับหลิงเทียน เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเลื่อมไส

 

ในโลกที่เข้มแข็งเป็นใหญ่ ตราบใดที่ท่านมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ย่อมได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับการยอมรับทั้งชื่นชมจากเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

“เจ้าดูเอาเถอะ…พรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือของเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนขนาดไหน…หลังจบการประลองครั้งนี้ไป ข้ากลัวว่าคงอีกมินาน ท่านจ้าวตำหนักต้องมาหาเจ้าแน่”

 

เมื่อเห็นถึงสายตาเลื่อมไสที่จับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียน หวังพีพลันมองกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม แววตาของมันก็มีความเคารพปนอยู่เช่นกัน

 

“จ้าวตำหนักมาหาข้า?”

 

ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “มาหาข้าทำไม?”

 

“ท่านจะมาหาเจ้าเพื่ออันใดได้อีกเล่า แน่นอนว่าย่อมคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว…อันที่จริงด้วยพรสวรรค์ศักยภาพของเจ้า น่ากลัวท่านจ้าวตำหนักจะคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ปิดสำนักด้วยซ้ำ!”

 

กล่าวถึงตรงนี้ แววตาที่หวังพีใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความอิจฉา

 

ในตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักคือตัวตนสูงสุดขณะเดียวกันยังเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ หากใครได้เป็นศิษย์ล่ะก็ อนาคตย่อมสดใสไร้จำกัด!

 

“ศิษย์ส่วนตัว ไม่แน่ก็เป็นศิษย์ปิดสำนัก?”

 

หากเป็นคนทั่วไปมาได้ฟัคำหวังพีเกรงว่าคงตื่นเต้นยินดีแทบตาย ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วเรื่องนี้กลายเป็นน่ารำคาญ

 

ในอดีตตอนที่เขาอยู่ทวีปเมฆาล่องเขาไม่คิดรับใครเป็นอาจารย์ เพราะเขามีความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด จึงรู้สึกว่าไม่มีใครดีพอจะเป็นอาจารย์ของเขาได้!

 

ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เขาได้พบกับเจ้าเมืองชงซัน ทว่าเพียงนับอีกฝ่ายเป็นครู ไม่ใช่อาจารย์

 

ต่อมาพอเขาได้สืบทอด ยอดใจกระบี่ อันเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดที่เป็นมรดกตกทอดของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง เขาจึงยึดถือฟงชิงหยางเป็นอาจารย์ในใจ เรียกว่าใจเขายอมรับเพียงคนผู้นี้เท่านั้น เช่นนั้นเรื่องที่จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคิดรับเขาเป็นศิษย์อะไรนั้นเขาไม่สนใจ

 

ในใจเขามีอาจารย์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!

 

และเมื่อใจเขายึดถือเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ผู้ถ่ายทอดยอดใจกระบี่เป็นอาจารย์ไปแล้ว เขายังถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่ฟงชิงหยางฝากฝังไว้อีกด้วย!

 

ก่อนที่จะเริ่มคัดเลือกศิษย์ที่สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน เรียกว่าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากกว่าใดอื่น!

 

ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับจากวังต่างๆที่มาชมดู ต่างหันมองต้วนหลิงเทียนเป็นระยะๆ วาจาที่สนทนากันส่วนใหญ่ในลานก็ล้วนมีนามหลิงเทียนโผล่มาไม่หยุด

 

“หลิงเทียน”

 

ตอนนี้เองหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยที่เดิมอยู่ห่าง ก็เดินเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล่าวคำทักทายทั้งขอบคุณ “พวกเราขอขอบคุณเจ้าที่ให้โอกาสพวกเราเข้าร่วมกลุ่ม”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้พูดอะไร เป็นหวางเฟยเซวียนที่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจิกกัด “ฮึ! พวกเจ้าไม่ต้องรีบขอบคุณไปหรอก! ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนหรือไม่..หากพวกเจ้าไม่อาจชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงการร่วมมืออันใด!”

 

“แม่นางหวางเฟยเซวียนกล่าวถูกแล้ว…”

 

หลิวเจียนพยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “การประลองชิงสิทธิ์วันนี้ข้าจะทำให้ดีที่สุด หากมิได้สิทธิ์ข้าก็ได้แต่โทษตัวเองที่ไร้สามารถ แต่อย่างไรเสียข้าก็ต้องขอขอบคุณกับความหวังดีของเจ้า”

 

หลิวเจี้ยนมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

ต้องกล่าวเลยว่าน้ำเสียงของหลิวเจี้ยนไม่ได้ถือดีหรือนอบน้อมอะไรมากมาย ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เลวเหมือนกัน

 

“ข้าเองก็เช่นกัน”

 

เริ่นเฟยยังกล่าวเสริมออกมา

 

“ฮึ! ในบรรดาพวกเรา 4 คน เจ้านับว่ามีโอกาสเข้าแดนลับเซียนน้อยที่สุด!”

 

หวางเฟยเซวียนเหลือบมองเริ่นเฟยด้วยสายตาเย็นชากล่าวแขวะออกมา

 

เรินเฟยพอได้ยินก็รู้สึกกระดากใจไม่น้อย แต่มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะมันรู้ดีแก่ใจว่าแม่นางเบื้องหน้าดุร้ายเพียงใด

 

ที่มันคิดไม่ถึงก็คือผ่านไปตั้งนานแล้ว ท่านย่าน้อยผู้นี้ยังไม่ลืมเลือนเรื่องที่มันทำไว้อีก…

 

เริ่นเฟยย่อมรู้ดี ว่าตอนนี้การเลือกที่จะเงียบสมควรเป็นอะไรที่ประเสริฐสุด!

 

“เจ้าเคยมีเรื่องบาดหมางกับมันเหรอ?”

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นดินปืนที่คลุ้งขึ้นมาในบรรยากาศ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงกล่าวถามหวางเฟยเซวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

 

“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก! ข้าแค่ไม่ชอบหน้ามันเท่านั้นแหล่ะ…”

 

หวางเฟยเซวียนส่งเสียงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

 

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็รู้สึกไร้คำจะกล่าว

 

“ลั่วชานฟื้นแล้ว!”

 

ทันใดนั้นเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ที่ตะโกนออกมา แต่ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปยังจุดที่ลั่วชานนอนหมดสภาพก่อนหน้าทันที

 

ตอนนี้ลั่วชานได้สติแล้ว มันหยิบโอสถออกมารับประทานอย่างยากลำบาก และพยายามลุกขึ้นนั่งโคจรพลังรักษาตัว

 

หลังจากนั้นสักพัก มันก็ไปปลุกน้องชายของมัน ช่วยป้อนโอสถให้อีกฝ่าย ยังช่วยเดินพลังย่อยฤทธิ์โอสถให้เร็วขึ้น

 

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ สีหน้าของพวกมันพี่น้องก็ค่อยๆดีขึ้น มีเลือดฝาดอีกครั้ง หากแต่พวกมันก็ยังดูอ่อนแออิดโรยนัก ได้แต่พยายามประคองกันลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล…

 

พวกมันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับผู้ใด…

 

จังหวะนี้พวกมันทั้งอับอายทั้งเสียใจไม่น้อย หากพวกมันไม่ไประรานตัวประหลาดนั่น ไหนเลยพวกมันจะประสบชะตาอนาถขนาดนี้…

 

หลังจากที่เงยหน้าขึ้นไปลอบมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง พี่น้องสกุลลั่วก็พากันเหินบินจากไปทันที

 

“จึกๆๆ อะไรกัน… พวกเจ้าพี่น้องคิดไปแล้วหรือ?”

 

ทว่าตอนนี้เองเป็นหวางเฟยเซวียนที่ยืนข้างต้วนหลิงเทียน พลันวูบร่างไปขวางทางพวกมันพี่น้องเอาไว้ ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

 

“แม่นางเฟยเซวียน ท่านคิดกล่าวอันใดอีก?”

 

ใบหน้าลั่วชานซีดลงปานศพ หากแต่มันก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพียงกล่าวถามกลับมาเสียงเข้ม

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องพื้นหลังของหวางเฟยเซวียนที่พวกมันไม่อาจล่วงเกินตอแยด้วยได้ ลำพังแค่สภาพอ่อนแอสิ้นเรี่ยวแรงตอนนี้ พวกมันก็ไม่ใช่คู่มือของหวางเซวียนแม้แต่น้อย เช่นนั้นให้พวกมันมีโมโหเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือ

 

“กับตัวโง่งมเช่นพวกเจ้า ข้ายังมีอันใดจะกล่าวด้วย? ข้าแค่อยากรู้นักว่าตอนนี้พวกเจ้าใช่สิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า หมาขี้แพ้ หรือไม่?”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าวออกเสียงเรียบ

 

ทว่าทันทีที่สิ้นคำ สีหน้าหลัวชานเปลี่ยนไปมหันต์ ร่างลั่วเหอยังสั่นระริก มันยกมือขึ้นชี้หวางเฟยเซวียนกล่าวออกด้วยคับแค้น “จะ…เจ้า”

 

ไม่ทราบเพราะมันมีโมโหทั้งคับแค้นเกินไปหรือไม่ แต่มันถึงกับไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้…

 

“หากยังกล้าใช้อุ้งเท้าสุนัขชี้หน้าข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดมันทิ้งเสีย!”

 

ลูกตาหวางเฟยเซวียนเผยประกายดุร้ายออกมา ยังตะโกนกล่าวออกเสียงเหี้ยม

 

ลั่วเหอยังไม่ทันตอบสนองอะไร ก็เป็นลั่วชานที่เร่งพุ่งแขรไปลดมือของลั่วเหอลง ก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับหวางเฟยเซวียนพร้อมกล่าว “แม่นางหวางเฟยเซวียนน้องชายข้าไม่รู้เรื่องราวกลับเสียมารยาทต่อท่านแล้ว ข้าในฐานะพี่ชายได้แต่ขอขมาท่านแทนพวกเราพี่น้อง หวังว่าวีรสตรีที่ใจกว้างเช่นแม่นางหวางจะไม่ถือโทษ”

 

มีคำกล่าวที่ว่า ไม่อาจตบหน้าคนยิ้ม ด้วยลั่วชานพยายามฝืนยิ้มกล่าวขอขมาออกมาเช่นนี้ ทำให้หวางเฟยเซวียนคลายโทสะลงไปไม่น้อย และไม่ได้ลงมืออะไรอีก

 

หลังจากที่พี่น้องสกุลลั่วเร่งเหินร่างจากไปแล้ว หวางเฟยเซวียนก็โรยตัวลงมายืนข้างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

“เจ้าจะไม่จองเวรผู้คนไปหน่อยหรือ?”

 

หลังจากที่หวางเฟยเซวียนกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา

 

“อะไร? มิใช่ข้าทำไปเพื่อล้างแค้นให้เจ้าหรอกรึไง?”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าว “ก่อนหน้านี้พวกมันคนเดียวสู้เจ้าไม่ได้ พวกมันยังจะหน้าด้านท้ากลุ้มรุมเจ้าอย่างหน้าไม่อายอีก! ถึงผลจะออกมาดีเพราะพวกมันถูกเจ้าทุบตีเป็นสุนัขตายก็เถอะ!”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาหวางเฟยเซวียนก็สว่างจ้าขึ้นมา “นี่ๆ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาเร็วๆอย่าได้กั๊ก! ที่แท้พลังฝีมือเจ้าเป็นอย่างไรแล้ว?!”

 

วาจาซุกซนอยากรู้ที่หวางเฟยเซวียนกล่าวถามออกมาคราวนี้ ทำให้หวังพี กัวลู่หลิวเจี้ยนและเริ่นเฟยหันไปสนใจต้วนหลิงเทียนทันที พวกมันเองก็สงสัยเรื่องนี้ไม่น้อย

 

“หากข้าบอกว่าพลังฝีมือของข้าตอนนี้..ไม่แพ้ใครใต้อริยะเซียน เจ้าจะเชื่อข้ารึเปล่าล่ะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนถามกลับด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่มีทาง!”

 

หวางเฟยเซวียนเบ้ปากมองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าไม่เชื่อทันที “นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะไม่มีเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคนไหนทำอะไรเจ้าได้อีก เพียงเพราะเจ้าเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้? ข้าจะบอกอะไรให้นะ! หากเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาเอง..พี่น้องสกุลลั่วก็ไม่นับเป็นตัวอะไร! กระทั่งเจ้าอาจจะพ่ายแพ้ในพริบตาทั้งมีสภาพอนาถาไม่ต่างใดกับพี่น้องสกุลลั่วก็เป็นได้!”

 

เมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคิดว่าเขาโม้โอ้อวด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไม่คิดกล่าวอธิบายอะไรอีก

 

ฉากนี้ทำให้หวางเฟยเซวียนกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมา ราวกับจับ ‘ซี่โครงอ่อน’ ของต้วนหลิงเทียนได้ จนทำให้ต้วนหลิงเทียนเถียงไม่ออก

 

สำหรับหวังพีและคนอื่นๆ ก็เป็นธรรมดาที่จะเห็นด้วยกับวาจาของหวางเฟยเซวียน ไม่มีใครเชื่อคำของต้วนหลิงเทียนสักคน

 

ไม่แพ้ใครใต้อริยะเซียน?

 

วาจา 6 คำนี้กล่าวออกง่ายดาย หากแต่คิดกระทำให้สำเร็จ…ยากเย็นนัก!

 

เวลาผ่านไปอีกสักพัก รองจ้าววังนภาเซียวยี่ก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อเป็นคนดำเนินการจัดการคัดเลือกผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน

 

หลังจากที่เซียวยี่ปรากฏตัวขึ้นมา หวังพีก็กล่าวคำอำลาต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเหินร่างไปอยู่ข้างกายของเซียวยี่และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ยังเน้นย้ำถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน

 

“ว่าอะไร!?”

 

ด้านเซียวยี่ก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดทันทีหลังจากที่รู้ “พี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกัน ยังพ่ายแพ้ในไม่กี่อึดใจ?”

 

ในฐานะรองจ้าววังนภา เซียวยี่ย่อมรู้จักทั้งประทับใจพลังฝีมือของศิษย์วังนภาระดับหัวแถวอยู่บ้าง ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีพี่น้องสกุลลั่วรวมอยู่ด้วย…เพราะยามทั้งคู่ร่วมมือกันกลับสามารถเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้