ตอนที่ 1,748 : จ้าวจี้
การที่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 2 คน สามารถร่วมมือผนึกกำลังกันเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปได้ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็ตามที..เรื่องนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาและน่าประทับใจแล้ว!
จ้าววังนภานั้นไม่ค่อยยุ่งเรื่องราวใดๆในวังนภา โดยปกติแล้วจึงเป็นเซี่ยวยี่ที่มักดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆ…
เช่นนั้นจึงเป็นปกติที่เซียวยี่จะรู้จักพี่น้องสกุลลั่ว
ในเมื่อมันรู้ถึงพลังฝีมือของพี่น้องสกุลลั่วยามร่วมมือกันมาก่อน จึงทำให้มันอดไม่ได้ที่จะตกใจ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะพวกมันทั้งคู่ได้ในชั่วอึดใจ!
“สหายน้อยผู้นี้…ออกจากสระวิญญาณไม่ทันถึง 3 เดือนกลับร้ายกาจขนาดนี้แล้ว?”
เซียวยี่มองต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนลานศิลาไกลๆ ในแววตาเผยความตกตะลึงไม่น้อย
ถึงแม้มันจะรับทราบว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของต้วนหลิงเทียนสูงส่ง กระทั่งสงสัยว่าอาจทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหลังออกจากสระวิญญาณ…แต่มันก็ไม่เคยคิดเคยฝันเลยจริงๆว่าจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้!
เท่าที่มันรู้ผู้ที่สามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วยามร่วมมือกันได้ สมควรเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่มีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว
“รองจ้าววัง”
โอกาสในการเข้าสระวิญญาณจะอย่างไรก็เป็นเซียวยี่มอบให้ เช่นนั้นพอต้วนหลิงเทียนเห็นอีกฝ่ายมาถึง เขาก็ยิ้มทักทายอีกฝ่ายทันที
“หลิงเทียน ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะฝีมือร้ายกาจขนาดนี้…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ น่ากลัวว่ามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าลี่เฟิงที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย”
เซียวยี่กล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ถึงแม้มันจะรู้ว่าการที่ต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมวังนภามาแบบนี้ อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด
แต่มันก็ไม่คิดจริงๆว่าอีกฝ่ายจะก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาแสนสั้นแบบนี้
“ทั้งหมดต้องขอบคุณรองจ้าววังที่ให้โอกาสข้าได้เข้าใช้สระวิญญาณเพื่อฝึกฝน…หาไม่แล้ววันนี้เกรงว่าคงเป็นข้าที่พ่ายแพ้ต่อพี่น้องสกุลลั่ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณออกมาด้วยท่าทางซาบซึ้ง
ถึงแม้จะไม่ได้รับการส่งเสริมจากสระวิญญาณเขาจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้อยู่ดี แต่การได้เข้าใช้สระวิญญาณก็ทำให้เขาทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น กระทั่งเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้สำเร็จ นับว่าทำให้เขาขอบคุณเซียวยี่จากใจจริงๆ!
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนไม่ลืมบุญคุณที่ได้เข้าสระวิญญาณเพราะมัน ใบหน้าเซียวยี่ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้า เลือกเข้าวังนภาเราก็เป็นธรมดาที่เจ้าจะมีสิทธิ์ได้เข้าใจสระวิญญาณ…แต่มีหลายต่อหลายคนที่เคยใช้สระวิญญาณ ทว่าเทียบกับการก้าวหน้าครั้งใหญ่ของเจ้าแล้ว ผู้อื่นไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
ได้ยินวาจานี้ของเซียวยี่ผิวเผินต้วนหลิงเทยนเพียงยิ้มบางๆรับคำอย่างสงบ ทว่าในใจลอบหัวเราะแห้งๆไปแล้ว
อันที่จริงการเข้าใช้สระวิญญาณ มันทำให้เข้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นจากเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น…
ส่วนเรื่องที่เขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้ง่ายดาย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น เพราะพลังอำนาจของมันเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น!
ในตอนที่เขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วยังเป็นเขาที่ออมรั้งยั้งมือไว้หลายส่วน! เพราะอย่างไรนั่นก็คือพลังของอริยะเซียนขั้นต้น ไม่ใช่อะไรที่พี่น้องสกุลลั่วจะต้านทานได้เลย!!
“เอาล่ะ เรื่องนี้ไว้สนทนากันต่อภายหลัง…เหตุผลที่ข้ามาวันนี้เพราะข้าเป็นผู้ดำเนินการคัดศิษย์ที่จะเข้าแดนลับเซียน”
หลังจากที่เซียวยี่ยิ้มให้ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มันก็ประกาศออกมาเสียงดัง ให้เหล่าศิษย์ที่บรรลุเซียนก่อน 40 มารวมตัวกันตรงกลาง สำหรับผู้ที่มาชมดูก็ให้ถอยออกไปห่างๆ
“มีคนเยอะแยะขนาดนี้เลย…”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนเหลืออยู่ 40 กว่าคนหลังเซียวยี่กล่าว
ต้องทราบด้วยว่าวันที่เขาเข้าร่วมวังนภา มีศิษย์เพียง 10 คนเท่านั้น
นั่นหมายความว่าแต่เดิมวังนภาก็มีอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึง 40 ปีอยู่ก่อนแล้ว 30 กว่าคน
“เจ้าคือหลิงเทียนใช่ไหม?”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
พอเขาหันมองไปตามเสียงก็แลเห็นชายหนุ่มในชุดเขียวแลดูอัธยาศัยดี กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้ามาหาเขา “ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า ข้าเรียกว่าเกาเผิง”
เกาเผิง!
ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหูสำหรับต้วนหลิงเทียน เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้ไม่น้อยหลังมาอยู่วังนภา
1 ใน 2 ศิษย์ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางก่อนอายุ 40 ปี…
ก่อนที่เขาจะมา เกาเผิงกับชายหนุ่มอีกคนที่อายุไม่ถึง 40 ล้วนถูกเรียกว่า 2 อัจฉริยะเซียนที่ร้ายกาจที่สุดของวังนภา
อย่างไรก็ตามด้วยมีเขาเข้ามา รัศมีของทั้ง 2 เสมือนถูกเขากลบมิด…
ตอนนี้หากกล่าวถึงอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดของวังนภา น่ากลัวว่าคงไม่มีใครในวังนภาจะคิดถึงเกาเผิงกับอีกคนอีกต่อไป
“หลิงเทียน”
แน่นอนว่าถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยได้ยินนามเกาเผิงมา แต่เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเกาเผิง ในเมื่ออีกฝ่ายริเริ่มทักเขาด้วยดี เขาก็ไม่คิดปฏิเสธ จึงยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายทั้งบอกชื่อไป
“หลิงเทียน ก่อนเจ้ามาไม่มีรุ่นเยาว์คนไหนในวังนภาทำให้ข้ายอมรับได้เลย…แต่ข้าต้องบอกเลยว่าพรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือของเจ้าเรียกว่าขู่ขวัญข้าแทบตาย! อดไม่ได้ที่ข้าจะเลื่อมไสเจ้าจริงๆ…นับถือๆ”
เกาเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยอารมณ์ ค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับอย่างสุภาพ
“เหอะ!”
ทันใดนั้นเองมีเสียงแค่นสบถเย็นชาหนึ่งดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าผู้คนกำลังเดินเข้ามา
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตามเสียงทันที
มองไปเห็นชายหนุ่มในจุดจอมยุทธ์ก้าวอาดๆมาแต่ไกล ด้านหลังติดตามมาด้วยศิษย์อีก 2 คน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ติดตามของมัน แลไปคล้ายเป็นดาวบริวารที่โคจรไม่ห่าง
ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่เบา จมูกที่คล้ายจะงอยปากเหยี่ยวของมัน…ยังทำให้มันดูองอาจกล้าหาญขึ้นไม่น้อย
เสียงแค่นคำเย็นชาเมื่อครู่ เป็นของมันเอง
ไม่ทันไรชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ก็เดินมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มันว่ายมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ลึกลงไปในลูกตาเผยความยำเกรงออกมา…ทว่าสีหน้าท่าทางที่เผยออกกลับคล้ายมองแคลนผู้คน! ทำราวกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นแค่เบี้ยงล่างของมัน!!
‘เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?’
ด้วยเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็นพลังฝึกปรือของมันได้ทันที และผู้ที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี นอกจากหวางเฟยเซวียนกับเกาเผิงแล้ว สมควรมีแค่คนเดียว…
จ้าวจี้!
จ้าวจี้แห่งวังนภานั้น ปกติแล้วมักแบ่งปันชื่อเสียงกับเกาเผิง เป็นอีกหนึ่งเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีในวังนภา!
อย่างไรก็ตาม ต่างจากภูมิหลังทั่วไปของเกาเผิง จ้าวจี้ผู้นี้กลับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด บิดามันเป็นถึงหนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ แถมปู่มันยังเป็น 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ เพียงมีพลังฝีมือด้อยกว่าจ้าวตำหนักผู้เดียวเท่านั้น!
“เจ้าน่ะเหรอ หลิงเทียน?”
จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทึ่งๆ กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวจี้ กระทั่งหวางเฟยเซวียนที่ดุร้ายยังต้องยำเกรง
แม้ภูมิหลังนางจะดี แต่ไม่อาจเทียบอะไรกับจ้าวจี้ได้เลย
ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ อาศัยปู่ของจ้าวจี้คนเดียว หากเกิดความไม่พอใจอะไรเข้า ด้วยพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายสามารถล้างคฤหาสน์ดาบทรราชของนางได้ในชั่วข้ามคืน…
เผชิญกับคำถามห้วนๆนี้ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนคร้านจะตอบคำอะไร หลังเหลือบมองสำรวจพลังฝึกปรือมันเสร็จ เขาก็ละสายตาออกไปชมดูรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ไม่คิดจะสนใจอะไรมันอีก
“บังอาจ!”
ในขณะที่จ้าวจี้หน้าจมลง ศิษย์ที่ติดตามมาด้านหลังของมันคนหนึ่งพลันกล่าวออกเสียงดังด้วยน้ำเสียงเข้มดุ “หลิงเทียน เจ้าไม่ได้ยินที่นายน้อยจี้กล่าวถามหรือไร?”
“โฮ่? เดี๋ยวนี้สุนัขกล้าเห่าต่อหน้าเจ้าของตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปเหลือบมองศิษย์ที่กล่าวด้วยสายตาเฉยเมย มุมปากปรากฏยิ้มแสยะฉีกขึ้น พาลให้สีหน้าของศิษย์ผู้นั้นมืดดำลงทันใด หากแต่มันก็จนปัญญาจะทำอะไรได้เพราะมันรู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียนเลย
“หลิงเทียน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”
จ้าวจี้เหลือบมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นๆ กล่าวออกเสียงเข้มไม่ขาดการข่มขู่ “เจ้าคิดว่าเพียงมีพรสวรรค์สูงส่งยากที่ใครจะเทียบได้ จนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วเจ้าจะยิ่งใหญ่เหนือใครในตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”
“พรสวรรค์สูงส่งมันก็ดี แต่หากเจ้าตกตายก่อนที่จะได้เติบโตมันก็เท่านั้น!”
กล่าวถึงจุดนี้แววตาจ้าวจี้ก็เผยจิตสังหารออกมาให้เห็นชัดเจน
“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเหนือใครไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางของเจ้าเหรอ?”
เจอกับวาจาแฝงคำขู่ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบกลับไปอย่างไร้แยแส พาลให้สีหน้าจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งเปลี่ยนเป็นมืดดำ
แต่ไหนแต่ไร มันจ้าวจี้ยามเดินในตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังมีผู้ใดหาญกล้าสนทนากับมันเช่นนี้?
“ดี! ดีมาก!”
จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย “ในตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้านับเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้…หลิงเทียนข้าจ้าวจี้จะจำเจ้าเอาไว้!”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่เบาๆ แต่ไม่ได้หันมามองสนใจอะไรมัน เห็นชัดว่าไม่สนคำขู่ของจ้าวจี้แม้แต่น้อย
เรื่องนี้ยิ่งทำให้สีหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวขึ้นไปอีก
“หลิงเทียนเจ้าวู่วามเกินไปแล้ว!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงส่งถึงหูต้วนหลิงเทียน เป็นเกาผิงที่กล่าวเตือนออกมา “จ้าวจี้คนนี้ภูมิหลังของมันไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตอริยะเซียนยามอยู่ต่อหน้ามันยังต้องสุภาพ กระทั่งต้องกล่าววาจาประจบเยินยอ…เพราะบิดาของมันเป็นถึงรองจ้าวตำหนัก! มียอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนมากมายที่ยินดีรับใช้!!”
“แถมปู่ของมันก็เป็นถึง 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ! ศิษย์ของปู่มันส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุโสในตำหนักทั้งสิ้น!!”
ขณะกล่าว เสียงเกาผิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ในแง่พลังฝีมือ มันจะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจ้าวจี้เลยก็ตาม
ทว่าเนื่องจากภูมิหลังของจ้าวจี้ ทำให้ยามมันเจอจ้าวจี้ก็จำต้องก้มหัวลงให้ ไม่กล้าแม้แต่จะล่วงเกินอะไรจ้าวจี้!
“ขอบคุณเจ้าที่หวังดีเตือนข้า แต่ข้ารู้เรื่องพวกนี้ดี”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ
“เจ้ารู้อยู่แล้ว?”
ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะหน้ามึน ตอนแรกมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนปฏิบัติกับจ้าวจี้เช่นนี้เพราะยังไม่รู้ฐานะอีกฝ่าย ทว่ามันไม่คิดเลยว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะรู้อยู่แล้ว!
‘รู้ความเป็นมาของจ้าวจี้แล้วแต่ยังมีทีท่าเช่นนี้ กระทั่งกล่าววาจาเช่นนั้นกับจ้าวจี้ได้…เขาอาศัยอันใดอยู่กันแน่ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเพราะมั่นใจในพรสวรรค์และพลังฝีมือของตัวถ่ายเดียว?’
คิดถึงจุดนี้เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนสูงล้ำมันยอมรับ…แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งข้อกับจ้าวจี้ได้!