ตอนที่ 1,749 : ฉากอันคุ้นเคย…
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักนั้นไม่ได้แต่งงานอะไรจึงไร้บุตร อีกทั้งยังเคยรับศิษย์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซ้ำร้ายศิษย์คนนั้นก็ได้ตกตายไปแล้ว…
และตั้งแต่วันนั้นจ้าวตำหนักก็ไม่เคยรับใครเป็นศิษย์อีกเลย
ด้วยเหตุนี้ภายในตำหนักฟ้าลี้ลับ ฐานะของจ้าวจี้จึงนับว่าสูงที่สุดในบรรดาคนรุ่นหลัง!
นั่นเพราะปู่ของมันเป็นถึง 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ส่วนบิดาของมันก็เป็นถึงรองจ้าวตำหนัก!
ด้วยภูมิหลังเช่นนี้ หากไม่ใช่ศิษย์ส่วนตัวของจ้าวสำนัก ใครจะไปมีฐานะเหนือกว่ามันได้?
“หืม?”
ไม่นานเกาเผิงพลันพบว่า ถึงจะเห็นหลิงเทียนขัดแย้งกับจ้าวจี้ ทว่าไม่เพียงแต่เซียวยี่จะไม่กังวล กระทั่งศิษย์ส่วนตัวของเซียวยี่อย่างหวังพี ก็คล้ายจะไม่กังวลอะไรกับหลิงเทียนเลย
เรื่องนี้อดทำให้มันสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เทาที่มันรู้มาความสัมพันธ์ของหวังพีกับหลิงเทียนก็ค่อนข้างดี ไฉนเวลาสำคัญเช่นนี้อีกฝ่ายถึงไม่ห่วงหลิงเทียนเลย?
‘หรือหวังพีกับรองจ้าววัง ไม่คิดว่าหลิงเทียนจะขัดแย้งอะไรกับจ้าวจี้มากมาย?’
คิดถึงเรื่องนี้เกาเผิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
‘นั่นเป็นไปไม่ได้…ทั้งสองไม่มีวันมิรู้นิสัยจ้าวจี้’
ไม่นาน ความคิดในใจของเกาเผิงยิ่งมาก็ยิ่งพิสดาร ‘ในตำหนักฟ้าลี้ลับหากจะมีศิษย์คนไหนไม่กลัวจ้าวจี้ เว้นแต่จะเป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก…หรือท่านจ้าวตำหนักคิดรับหลิงเทียนเป็นศิษย์?’
พอคิดมาถึงจุดนี้ใจเกาเผิงอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้น ยังแทบกระดอนออกนอกอก
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ผู้ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจที่สุดก็คือจ้าวตำหนัก! วาจาของจ้าวตำหนักถือเป็นเด็ดขาด!!
อย่างไรก็ตามเพราะศิษย์มากพรสวรรค์ที่รักเอ็นดูตกตายไป มันจึงไม่คิดรับศิษย์อีกเลย…บางคนกล่าวว่า จ้าวตำหนักกลัวศิษย์คนที่สองจะตกตายอีก เช่นนั้นจึงไม่คิดยอมรับใคร เพียงกล่าวอ้างว่ารอคนที่จะมีพรสวรรค์ทัดเทียมกับศิษย์คนแรกเท่านั้น
เท่าที่มันรู้ ศิษย์คนแรกของจ้าวตำหนักนั้นเพียงอายุได้ 20 กว่าปี ทว่าพลังฝึกปรือกลับบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว หากมีเวลาฝึกฝนบ่มเพาะอีกสัก 10 ปี ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ทว่าอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!
‘พรสวรรค์ของหลิงเทียนสมควรเหนือล้ำกว่าศิษย์เก่าท่านจ้าวตำหนัก…และจากการที่รองจ้าววังกับศิษย์พี่หวังพียังสงบอยู่ได้…ทั้งคู่สมควรล่วงรู้อันใดมาแน่นอน! ทั้งคู่อาจรู้ว่าท่านจ้าวตำหนักต้องตาพึงใจพรสวรรค์ของหลิงเทียนกระทั่งคิดรับเป็นศิษย์!!’
ตอนนี้เกาเผิงเองก็คงไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าที่มันคาดเดาไปเองนั้นที่แท้กลับเป็นจริง!
‘ข้าคิดว่าหลิงเทียนสมควรรู้ตัวแล้วว่าจะได้เป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก…ด้วยเหตุนี้จึงกล้าปฏิบัติกับจ้าวจี้ด้วยท่าทีเช่นนี้!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ เกาเผิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา และไม่คิดกังวลกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
หากเซียวยี่และหวังพีล่วงรู้ความคิดเกาเผิงล่ะก็พวกมันคงอดไม่ได้ที่จะทึ่งแน่ เพราะเกาเผิงมันเดาเรื่องราวได้ถูกเผง!
ทว่าหากต้วนหลิงเทียนได้รับรู้ความคิดเกาเผิงล่ะก็ เขาคงหัวเราะออกมาแน่นอน เพราะจินตนาการของอีกฝ่ายช่างบรรเจิดเสียเหลือเกิน…ตัวเขาไม่ได้มีความคิดจะเป็นศิษย์ของจ้าวตำหนักอยู่เลย!
ก่อนหน้านี้ในทวีปเมฆาล่องเขาไม่คิดรับใครเป็นอาจารย์ เพราะมีความทรงจำ 2 ชาติภพของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด
พอมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ด้วยเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่อันเลิศล้ำอย่าง ‘ยอดใจกระบี่’ รวมถึงกลายเป็นผู้สืบทอด ‘หมอกพิรุณ’ อีกทั้งได้พบกับความยอดเยี่ยมของยอดใจกระบี่มากับตัว ต้วนหลิงเทียนจึงยอมรับนับถือฟงชิงหยางเป็นอาจารย์
ในหัวใจเขามีอาจารย์คนเดียว และจะมีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
ดังนั้นต่อให้วันนี้จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับมาหาเขาและกล่าวเชิญด้วยตัวเอง ว่าคิดรับเขาเป็นศิษย์ เขาก็จะกล่าวปฏิเสธไปเพราะเขามีอาจารย์อยู่แล้ว!
ยังดีที่ผู้คนในลานศิลาไม่มีใครรูความคิดในหัวต้วนหลิงเทียน หากรู้พวกมันคงกรูกันเข้ามารุมทึ้งกระทั่งฉีกร่างเขา
ยังมีผู้ใดไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก?!
ต้วนหลิงเทียนจะไม่เกินไปหรือ! จ้าวตำหนักปริปากยอมรับเขาเป็นศิษย์ แต่เขายังปฏิเสธ!!
ถึงแม้จะมีเรื่องราวบาดหมางระหว่างจ้าวจี้กับหลิงเทียน แต่มีแค่ 40 กว่าคนที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สังเกตเห็น และส่วนใหญ่ก็มองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนา เพราะไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะต่อต้านจ้าวจี้ได้
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวังนภา จ้าวจี้นับว่ามีชื่อเสียงนัก
กระทั่งเป็นจ้าววังนภาของพวกมัน ยามเจอจ้าวจี้ก็ยังต้องไว้หน้า…ด้วยเห็นแก่บิดาและปู่ของมัน!
ส่วนหลิงเทียนนั้น ในสายตาของพวกมันก็แค่ศิษย์วังนภาที่มีศักยภาพพรสวรรค์สูง ทว่ายังไม่เติบโตเช่นนี้คงยากจะต่อกรกับจ้าวจี้ได้
เพียงจ้าวจี้เอ่ยปากสักคำ เกรงว่าคงมีศิษย์ขอบเขตพลังอริยะเซียนมากมายพร้อมมาหาเรื่องหลิงเทียน!
และเรื่องนี้พวกมันไม่สงสัยเลยสักนิด!
บางทีตัวจ้าวจี้เองอาจมีอิทธิพลจำกัด ทว่าบิดามันเล่า ปู่มันเล่า?
บิดา กับปู่ของมันมีศิษย์ที่ทรงพลังมากมายนัก!
“เจ้ามันจะวู่วามเกินไปแล้ว…จ้าวจี้ไม่ใช่ศิษย์วังนภาธรรมดาๆ!”
ในขณะที่จ้าวจี้ถอยไป พลันมีเสียงแฝงกังวลหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง
“อะไรกัน? แม่นางหวางเฟยเซวียนผู้ยิ่งใหญ่ หวาดกลัวผู้อื่นเป็นด้วยหรือ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นในใจ หากแต่ยังไม่ลืมจะกล่าววาจาแซวนางกลับ
หากเป็นปกติหวางเฟยเซวียนต้องโวยวายกลับมาแน่นอน ทว่าคราวนี้ไม่เพียงนางไม่โวยวาย แต่ยังกล่าวด้วยกังวลสืบต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้ามิกลัวจ้าวจี้เพราะมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า…แต่บิดากับปู่ของจ้าวจี้มิใช่ธรรมดาเลย ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ นอกจากท่านจ้าวตำหนักกับท่านอาวุโสผู้พิทักษ์อีกคน ยากที่จะมีใครสามารถต่อกรกับพวกมันได้!”
“ข้ารู้ฐานะบิดากับปู่ของมันแล้ว”
เมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนเป็นกังวลใจอย่างหนัก ต้วนหลิงเทียนก็คร้านพูดเล่นใดๆอีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที
“แล้วไฉนเจ้า…”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง? ให้ข้าเชื่อฟังมันงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะเบาๆ คล้ายไม่ได้ใส่ใจกับวาจาที่พึ่งกล่าวไป อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากจริงๆ
อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากเศรษฐีรุ่นที่สอง ต้วนหลิงเทียนยังต้องกลัวมันมาระรานด้วยเหรอ?
เรื่องที่จ้าวจี้จะหาคนมาสั่งสอนเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กลัว!
เพราะคนที่จ้าวจี้สามารถสั่งได้สมควรเป็นแค่อริยะเซียนเท่านั้น บางทีอาจมีตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ช่วยเหลือมัน แต่พวกมันย่อมไม่กล้าลงมือตรงๆแน่นอน เพราะช่องว่างของพลังมันต่างกันเกินไป หากตัวตนขอบเขตพลังระดับนั้นลงมือกับเขาล่ะก็ ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองรู้สึกอับอายจะเป็นการหาเรื่องให้ผู้คนรุมประนามด้วยซ้ำ…
ถึงตอนนั้นเหล่าระดับสูงๆของตำหนักฟ้าลี้ลับต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน
ส่วนตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนนั้น หากกล้ามาหาเรื่องหรือคิดทำร้ายอะไรเขาจริงๆล่ะก็ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันเสียให้สิ้น!
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ต้วนหลิงเทียนมีความมั่นใจกว่า 9 ส่วนกว่าสามารถฆ่าตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนได้หากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์…แน่นอนว่ารวมถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดด้วย!
‘ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าทำไมเจ้าทึ่มถึงได้กล้านัก…นี่ข้ากำลังพูดถึงรองจ้าวตำหนักกับผู้พิทักษ์อยู่นะ!’
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงหัวเราะได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หวางเฟยเซวียนเองก็อึ้งไปแล้วเช่นกัน
“นี่เจ้าคงไม่ได้คิดอยู่หรอกนะ…ว่าบิดากับปู่ของมันจะทำเพื่อมันถึงขั้นลงมือเล่นงานข้าด้วยตัวเอง?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวถามเสียงเรียบ
“ไฉนมันต้องให้บิดากับปู่ลงมือเองด้วย…เอาแค่ศิษย์ของบิดากับปู่มันก็มีมากมายถมเถไป ล้วนเป็นอริยะเซียนที่ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับทั้งสิ้น! สุ่มเลือกมาสักคนมิว่าผู้ใดก็ตีเจ้าจนตายได้แล้ว! เจ้าทึ่มเอ๊ย!!”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
แน่นอนว่าหากนางรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดอย่างไร นางคงไม่กล่าวอะไรเช่นนี้
“ต้วนหลิงเทียนถึงกับกล้าต่อปากต่อคำกับจ้าวจี้?”
“เฮ่ นั่นเขาไม่ผลีผลามเกินไปหรือไร นั่นมันจ้าวจี้เชียวนะ?”
“อาจเป็นเพราะเขามิรู้จักตัวตนของจ้าวจี้ หาไม่แล้วให้เป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดกระทั่งรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามกล่าวเช่นนั้น!”
“นั่นสิ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับหาญกล้าตอแยจ้าวจี้เช่นนี้…หลิงเทียนถึงวาระแล้ว!”
……
เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่ถอยห่างออกไป พอเริ่มทราบถึงข้อพิพาทระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจ้าวจี้ พวกมันอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นแทนต้วนหลิงเทียน
ในสายตาของพวกมันการที่ต้วนหลิงเทียนหาญกล้าต่อกรกับจ้าวจี้ไม่ต่างอะไรจาก ‘ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า’ แม้แต่น้อย…
หากเป็นจ้าวจี้คนเดียวแน่นอนว่าเรื่องราวย่อมต่างออกไป
ปัญหาคือจ้าวจี้ไม่ได้ตัวคนเดียว เบื้องหลังของมันมีคนสนับสนุนมากมาย ยังมีผู้ที่ติดรายนามฟ้าลี้ลับไม่น้อย! ตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนขึ้นไปทั้งสิ้น!!
บางทีอาจเป็นเพราะความบาดหมางระหว่างจ้าวจี้กับหลิงเทียนยังพึ่งเริ่มต้น
ทำให้สำหรับผู้คนในปัจจุบันแล้วตอนนี้เรื่องที่ใหญ่กว่าคือสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน! ต่างไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความบาดหมางของทั้งคู่มากนัก…
พวกมันมาที่นี่เพื่อชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน
“ตอนนี้ศิษย์วังนภาที่ผ่านเงื่อนไขเข้าแดนลับเซียน ให้ลอยร่างขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับข้า”
ตอนนี้เองรองจ้าววังนภาอย่างเซียวยี่พลันกล่าวออกมา แม้มันจะไม่ได้กล่าวดังอะไรมากมาย ทว่าเสียงของมันกลับส่งตรงถึงหูศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียน
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ที่อายุไม่ถึง 40 ปี และมีคุณสมบัติเข้าแดนลับเซียนพลันเหินร่างขึ้นไปลอยกลางอากาศระดับเดียวกันกับเซียวยี่ทีละคนๆ
‘หืม…ฉากนี้มันคุ้นๆแฮะ…’
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบๆ
“นี่ๆเจ้าทึ่ม เจ้าว่าตอนนี้เรื่องราวมันคล้ายอีหร็อบเดียวกับตอนที่พวกเราทดสอบเข้าตำหนักฟ้าลี้ลับวันแรกหรือไม่?”
ตอนนี้เองเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูของต้วนหลิงเทียนพอดี
“คงไม่ง่ายแบบนั้นหรอกมั้ง…”
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้กล่าวจบคำดี เซียวยี่พลันเหินร่างสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย พร้อมกล่าวเตือนออกมาเสียงดัง “เตรียมตัวให้พร้อม! ข้าจะใช้พลังกดดันพวกเจ้า จนกระทั่งเหลือผู้ที่ทานทนรับได้ 10 คนสุดท้ายข้าถึงจะหยุด!”
“เหอะๆ…จริงเหรอเนี่ย”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาเจื่อนๆ สุดท้ายกลับเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นการทดสอบโดยใช้พลังกดดันที่แสนเรียบง่ายไร้ลูกเล่นเหมือนคราวก่อน…