ผู้คนจำนวนมากกำลังต่อสู่กันอยู่หน้าท้องพระโรง กฎหมายแห่งอาณาจักรเหล่าผู้คนมิอาจท้าทาย ดังนั้นจึงไร้หนทางอื่น เรื่องนี้จึงจบลงอย่างง่ายดาย
ทุกคนกลับไปยังตำแหน่งของตัวเอง เหล่าใต้เท้าเฝ้ามองจวินโม่เซี่ยยืนขึ้นและปัดฝุ่นที่หลัง ทันใดนนั้นพวกเขาจึงตระหนักได้ว่า เหตุใดความปั่นป่วนนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง … จวินโม่เซี่ยเผชิญหน้ากับห่าฝนแห่งคำสาปแช่งขณะเขานั่งลง …
ทุกผู้ไร้วาจาเอ่ย ไร้ม้านั่งหรือก้อนอิฐให้นั่ง แต่ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจะมิได้สนใจ น่าตกตะลึง มีร่างหนึ่งนอนอยู่ใต้ก้นนั้น ใบหน้าของคุณชายน้อยผู้นั้นคล้ายดั่งหัวหมู ดูราวกับเขากำลังจักหายใจเฮือกสุดท้าย คุณชายน้อยผู้นั้น คือ คุณชายแห่งสกุลเมิง เมิงเฟ้ย … คุณชายน้อยจวิน นั่งลงบนร่างที่ล้มลงไปของเขา สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดหมู่มวลแห่งโทสะ และก่อให้เกิดคำสาปแช่งในที่สุด
มิแปลกใจที่เขาสถบเช่นนั้น ความรู้สึกของผู้คนจักต้องไม่เกิดขึ้นเพียงแค่เขาส่ายก้นไปมา …
เช่นนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น …
ชัดเจนจากอาการของคุณชายน้อยเมิง เขาจำต้องพลาดงานฉลองเป็นแน่ …
” เขาดูไม่ค่อยดีนัก นำตัวเขาไปหา หมอหลวง ! “
หัวหน้าสกุลเมิง เมิงซือเชิงตะโกนด้วยโทสะและกังวล จากนั้นเขาหันไปยิ้มให้กับ จวินจ้านเเทียน
” ขุนพลจวิน หลานชายของท่านมีแววยิ่งนัก … “
” ฮี่ ฮี่ … พี่เมิงชื่นชมเกินไป ฮ่า ฮ่า โม่เซี่ยยังเด็กและอ่อนหัด ท่านมิควรกล่าวหาเขาเช่นนี้ ! “
ปู่จวินลูบเครา หรี่ตาขณะแสดงสีหน้าขอบคุณ
เมิงซือเชิง เซไปขณะได้ยิน เขาเกือบล้มลง หัวหน้าสกุลอื่นก็เช่นเดียวกัน
ชัดเจนว่า ความไร้ยางอายนี้ตกทอดทางสายเลือด … !
อันธพาลจวิน จงใจสร้างเรื่องน่าขันต่อหน้าท้องพระโรง แรงผลักดันของเขาช่างดุร้าย เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังยิ่ง เขาล่อลวงให้คนอื่นๆเข้าร่วมเรื่องน่าขันนี้ จนทำให้เสียงดังเข้าไปถึงด้านใน ในท้องพระโรงกำลังถกเถียงถึงเรื่องการทหารและกิจการบ้านเมือง และเสียงรบกวนเหล่านี้เข้าสู่หูของเหล่า เสนาบดี และ องค์จักรพรรดิเนื่องจากพวกเขามิได้หูหนวก เสียงดังรุนแรงต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นทุกขณะ ไม่นานความอดทนพวกเขาก็หมดลง ดังนั้น จึงเร่งรีบจบการถกเถียง การสนทนาเหล่านี้มักต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง แต่ ในวันนี้กลับใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
การถกเถียงจบลงก่อนกำหนดเนื่องจากความคิดของทุกผู้สนใจเพียงความวุ่นวายด้านนอก เหล่าคุณชายที่ วิวาทกันอยู่ภายนอกนั้นคือ แก้วตาดวงใจของพวกเขา ดังนั้น ทุกคนจึงกังวลถึงความปลอดภัยของผู้เป็นที่รักของพวกเขา …
จวินโม่เซี่ย ยิ้มในใจเนื่องจากเขารู้สึกถูกกลั่นแกล้ง
ฮี่ ฮี่ ไม่มีผู้ใดที่จักเอาชนะข้าได้ นอกจากผู้ที่ตายไปแล้ว … เจ้าทำให้ข้าต้องรอด้านหน้าท้องพระโรง คงมิเป็นการเร่งรัดเจ้ามากเกินไป หากข้าไม่ทำอะไรบางอย่าง ?
ยังมีเวลาอีกเนินนานก่อน งานยอดนักปราชญ์ทองคำจักเริ่มต้นขึ้น แต่ เหล่าขันทีและนางข้าหลวง กระตือรือร้นทักทายแขกเหรื่อ
” นี่ คุณชายน้อย … เจ้าคิดว่าสิ่งใดอยู่ในโถงเหล่านั้น ? เจ้ารู้หรือไม่ ? “
ถังหยวน ถามจวินโม่เซี่ยขณะดวงตาของเขามองไปด้านใน
” ข้าเห็นเพียงเหล่าหนอนหนังสือ และหนองหนังสือ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเป็นบุรุษ สาวงามที่พวกเขาเอ่ยถึงอยู่ที่ใดกัน ? ข้าต้องการอาหารตา … “
” อย่าได้ถามข้า เป็นการดีหากเจ้าปรึกษา องค์จักรพรรดิในเรื่องนี้ “
จวินโม่เซี่ยดึงฟางข้าวจากริมรั้วหยกและนำมาใส่ปาก เขายับปากไปมาเพื่อพลิกมัน จากนั้นเขาใช้ฟันบดขี้ราวกับเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้เขาดูปราดเปรื่องย่ิงเมื่อทำเช่นนี้
ถังหยวนมองไปยังใบหน้าของเขาด้วยความริษยา ริมฝีปากของเขาหนาเกินไปและลิ้นของเขาสั้นกว่าคนปกติ ในทางกลับกันปากของ จวินโม่เซี่ย นั้นอ่อนช้อยกว่า เขาพ่นลมทางจมูกและถาม
” ข้าคาดว่า ปู่ของข้าคงจักถลกหนังข้าออกหากข้ากล้าถามสิ่งนี้กับพระองค์ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ แต่เจ้าบอกให้ข้าถามพระองค์ซึ่งมันก่อให้เกิดหายนะได้ …. เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของข้า …. “
” แม่เจ้า ! ข้ามายังราชวังเป็นหนแรก ข้าตามเจ้ามาเนื่องจากเจ้าเคยมาที่นี่ก่อน เช่นนั้น ข้าจักรู้ได้อย่างไรหากเจ้าไม่รู้ ? และเจ้า อย่างเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ มีน้องชายอ้วนเช่นนี้ ข้าประสงค์จะอ้วก “
จวินโม่เซี่ยกรอกตา จากนั้น ประกายอันมีนัยยะเปล่งขึ้นในดวงตาของเขา หลังจากที่เขาเหลือบมองบางสิ่ง เขากระแอม
” เจ้าอ้วนดู มีคนอีกกลุ่มมา พวกเขาดูไม่คล้ายบุรุษ จักต้องเป็นสหายรู้ใจเจ้า พวกเขามิใช่นักปราชญ์แห่งจาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ? การเดินที่เป็นระเบียบของพวกเขาดูคล้ายดังขบวนทหาร แม่เจ้าเอ๋ย เสแสร้งยิ่งนัก ! “
เหล่าเยาวชนชุดขาวมาถึงยัง บันใดหยกเรียบตรงหน้าท้องพระโรง พวกเขาแต่ละคนหลังตรง ท่าทีสุภาพเรียบร้อยและเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ทุกผู้ดูละเอียดอ่อน กรียาท่าทางเกินกว่าเหล่าสามัญหยาบช้า พวกเขามีไม่มากนัก ราวยี่สิบคน สองอาวุโสเคราขาวนำหน้าพวกเขาอย่างเชื่องช้าขณะเดินเข้าไป
ชายทั้งสองที่นำขบวนมีใบหน้ายาว และผมยาวสีขาวถูกผูกไว้ตามรูปแบบนักปราชญ์ ปลอกแขนกว้างของพวกเขาดีเลิศตามรูปแบบ ยอดนักปราชญ์ อาจารย์ทั้งสองแห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง คือปราชญ์ผู้ที่ทั้ง นครชื่นชม เหม๋ยเกาเจี้ย และ คุ้งหลิงหยาง
จมูกเจ้าอ้วนบานออกขณะเขาเขากรีดร้องเสียงแผ่ว
” เจ้าชั่วทั้งสอง ศิษย์พวกเขา ทายาทพวกเขา ทั้งสกุลพวกเขาเป็นพวก ปากว่าตาขยิบ ดูสิ ! ข้ารู้สึกอยากสำรอกเมื่อได้เห็นพวกเขา ! พวกเขาทำให้ข้าต้องต้องซักชุดชั้นในเมื่อใดก็ตามที่ข้าขาดการงาน ข้าเคยคิดถึงพวกเขายิ่งในวันนั้น แต่ตอนนี้ข้าเสียใจ เมื่อได้เห็นทุกสิ่งชัดเจนขึ้น “
จวินโม่เซี่ยยกคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น มองพวกเขาด้วยสีหน้าเสียดสี และจากนั้นพ่นลมทางจมูกเห็นด้วยกับถังหยวน เขารู้ถึงความผิดที่ชั่วร้ายของเจ้าอ้วน แต่เขาก็เห็นด้วยกับเจ้าอ้วน
บังเอิญยิ่ง ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตุผู้ที่ถอนใจอยู่ด้านหลัง
” พวกเขาคู่ควรกับชื่อเสียงของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มันคือสถานที่รวบรวมความงดงาม มีบันทึกวรรณกรรมมากมาย นักศึกษาใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ใน นครเทียนเชียง พวกเขามีทิตฐิมากยิ่ง ! “
” เจ้าไม้ซักผ้า ! “
จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวนเย้ยหยันขึ้นพร้อมกันขณะพวกเขาหันมองข้างหลังด้วยความดูถูก จากนั้นพวกเขาเชิดหน้าขึ้นพร้อมเพรียง
ฉากนี้คล้ายกับการ เหยียบเท้าของผู้ที่มีกลิ่นเท้า ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าคุณชายผู้มีตาเป็นประกาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมิขาดเหล่าคุณชายน้อยผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุล น่าประหลาดใจยิ่ง ที่ศิษย์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง บางคนต้องสูญเสียความสง่างามเนื่องจากการประจบเหล่าคุณชายผู้มีแววเหล่านี้ การเรียกร้องให้มีผู้สนับสนุนนั้นน่ารังเกียจ
พวกเขาทั้งสองล่าถอยรวดเร็ว แต่เวลานี้ทั่วทั้งโถงเงียบกริบ แต่ทั้งสองยังคงเอ่ยกับเสียงดัง ดังนั้น ความสนใจทั้งหมดจึงตกมายังพวกเขา
สองผู้นำนักปราชญ์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงมองไปยัง จวินโม่เซี่ย และถังหยวน คล้ายดั่งพวกเขามองไปยัง อุจจาระ สายตาของพวกเขานั้นรังเกียจยิ่ง
เจ้าอ้วนถัง กระโดดขึ้นด้วยความกลัวเนื่องจากเหล่าปราชญ์จำนวนหนึ่งเริ่มมองมาที่พวกเขาด้วยความรังเกียจ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปขณะตัวสั่น เขาต้องการทำลายปราชญ์เหล่านั้น แต่ ผู้คนที่น่ารังเกียจไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปราชญ์เหล่านี้ แววตาอันตระหง่านจากปราชญ์และคนอื่นๆในที่นี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไร้ความกลัว ทันใดนนั้น เจ้าอ้วนถังจึงเริ่มสูญเสียความมั่นใจ
เจ้าอ้วนถังหวาดกลัวเล็กน้อย แต่อันธพาลจวินนั้นราวกับไม่ได้รับผลอันใด เขาเงยหน้าขึ้น เอียง หัว และเหลือบมองเหล่าผู้ที่มองมา …
จวินโม่เซี่ยเผชิญหน้ากับแววตาอันรังเกียจจากผู้คนนับรอบด้วยความอดทน เขามองไปที่พวกเขาอย่างอวดดี ท่าทีของเขาโอหังเนื่องด้วยไร้ความกลัว
ข้าคือวายร้าย เพียงมารยาเท่านั้นที่ทำให้ข้าตกใจ …
แม้นเขาแข็งแกร่ง ข้าแข็งแกร่งกว่าเขา !
นี่คือ คติแห่งมือสังหาร
” ไม้ผุมิอาจใช้ในการแกะสลัก !”
เหม๋ยเกาเจี้ยเพ่งมองไปยัง อันธพาลทั้งสองด้วยทีท่าเยือกเย็น จากนั้นเขาเขี่ยเคราะแพะไปด้านหนึ่งขณะตำหนิพวกเขา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขาเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้และมากประสบการณ์ มีถ้อยคำน่ารังเกียจมากมายแต่เขามิอาจใช้มันได้ เขาจึงเอ่ยเพียงแค่นั้น แต่ เป็นประโยคที่ดูหมิ่นยิ่ง แต่สง่างามอย่างที่สุด
คำว่าสง่างามนั้นอาจสูงส่งเกินไป สายตาอันแหลมคมของ อาวุโส ยังคงจับจ้องทั้งสอง ขณะเขานำขบวนผ่านพวกเขาไป ไม่ช้าพวกเขาขึ้นไปถึงสุดบันได ที่นั่นพวกเขา มอบขอบขวัญและทักทายเหล่าเสนาบดี จากนั้นแนะนำนักศึกษาผู้น่าเลื่อมใสทุกคน
จวินโม่เซี่ย สังเกตเห็นสายตาที่เหลือบมองของชายทั้งสอง ขณะที่พวกเขานำขบวนผ่านไป ความรังเกียจในสายตาพวกเขานั้นส่งผลกับถังหยวน
เหล่านักปราชญ์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มิได้รังเกียจ ดูหมินจวินโม่เซี่ย คนที่พวกเขารังเกียจที่สุดในนครเทียนเชียง คือ ถังหยวน
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ถังหยวนใช้วิธีที่น่ารังเกียจเพื่อให้จบจากสถาบันของพวกเขา จากนั้น เขาใช้อำนาจของสกุล ขูดรีดจากเหล่า ปราชญ์ในสถาบัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาใช้สกุลของเขาเพื่อต้อนให้สถาบันจนมุม แท้จริงแล้ว เขาพยายามใช้อำนาจเงินเพื่อเข้าควบคุมพวกเขา
หากมีเพียงแค่นั้น … ยังคงพออดทนไหว แต่ เจ้าปิศาจอ้วนถังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาบังคับให้ศิษย์ของสถาบันทำงานให้เขา จากนั้น เขาให้ปราชญ์ผู้นั้นซักชุดชั้นในสาวใช้ … สถาบันจักทนต่อความอับอายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
เหตุใดเจ้าจึง ดูหมิ่น สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงถึงเพียงนี้ ? เหตุใดเจ้าจึงดูหมิ่นสถานที่ซึ่งให้กำเนิดเหล่าปัญญาชนของนคร ?
เจ้าอ้วนมิได้เก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ เขากระจ่ายข่าวนี้ออกไป เหม๋ยเกาเจี้ยและ คุ้งหลิงหยาง กระอักเลือดเมื่อได้ยินว่าศิษย์ผู้หนึ่งของเขาได้รับความอัปยศเช่นนี้ ถังหยวนจึงถูกล่าวว่าเป็น อันธพาล ภายในสถาบันนับตั้งแต่นั้น … แท้จริงแล้วเขาถูกขนานนามนั้นทั่วทั้งนครเทียนเชียง
สำหรับปราชญ์ผู้ที่ยอมรับการกระทำที่อัปยศเพื่อปีนป่ายสูงขึ้นในสังคมด้วยดวงตาอันมือบอดด้วยความโลภนั้น … ไม่มีผู้ใดสนใจจักช่วยเหลือเขา
พวกเราทำได้ดีตราบใดที่ สถาบันเต็มไปด้วยปราชญ์ เป็นเรื่องปกติที่จักมีผู้ที่ชั่วร้ายบ้าง แต่ พวกเขาเป็นเพียงตำหนิเล็กน้อย วันนี้ผู้คนมิได้เป็นเช่นนั้นหรือ ? คนเช่นนั้นนักได้รับการลงโทษจากสวรรค์ในที่สุด !
แต่ เจ้าอ้วนถังกระทำผิดที่ดูหมิ่นและทำอันตรายกับ ปราชญ์ผู้มีอารยะ !
เป็นเรื่องที่ยอมรับกันใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ที่อาวุโสทั้งสองจักตายตาไม่หลับ หากพวกเขามิได้เอาคืน และเนื่องจากพวกเขาได้โอกาสนั้นในวันนี้ พวกเขาจึงมิอาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
เด็กหนุ่มชุดดำยืนสงบนิ่งในมุมหนึ่ง ใบหน้าของเขาปกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้า ราวเขาไม่แยแสสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เหมือนดั่งฉาดนี้เป็นเพียงควันในสายตาของเขา ไร้ค่าจะชายตามอง
สายตาของเขาแจ่มชัดและเฉยเมย แต่อบอุ่นและสุขใส แม้นใบหน้าของเขาจะถูกคลุมด้วยผ้า แต่ทุกคนบอกได้ว่าคุณชายน้อยผู้นี้เกินกว่าสามัญยิ่งนัก
เขาคือ หลานชายของ ราชครูลี่ คุณชายน้อย ลี่โย่วหลาน !
เขาเผยตัวออกมาในเวลานี้