ส่วนอวี้เฟยเยียนเอาแต่ขอโทษซย่าโหวฉิงเทียนในใจ
แม้นางจะเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ ในยุคสมัยนางอวี้เฟยเยียนก็เคยสวมใส่บีกินีที่แสนเผ็ดร้อนเช่นกัน แต่ทว่ามาที่นี่ นางอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น หากเป็นสมัยนางเทียบเท่ากับโลลิต้าน้อยระดับประถมเท่านั้นเอง
โลลิต้าน้อยที่แสนน่ารักสวมบิกีนี่เดินไปเดินมาต่อหน้าพี่ชายตัวสูงใหญ่ มันจะปลอดภัยหรือ
ปลอดภัยหรือ!
อวี้เฟยเยียนแสดงอาการสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
ไม่แน่ว่าหากพี่ชายมีความชื่นชอบส่วนตัวที่แปลกประหลาดพิสดารขึ้นมา เพียงวินาทีเดียวจากพี่ชายเปลี่ยนเป็นตัวร้าย สถานการณ์เช่นนั้นช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน!
หลังจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว อวี้เฟยเยียนก็เริ่มครุ่นคิดหาวิธีจัดการกลิ่นหอมนั่นอย่างจริงจัง
กลิ่นหอมนั่นมันรับมือยากจริงเชียว!
จะใช้กลิ่นอื่นกลบเกลื่อนเอาไว้
หรือว่าคิดค้นปรุงยาที่สามารถระงับกลิ่นหอมได้
วิธีพวกนี้ล้วนไม่ใช่วิธีที่กำจัดหอมนั้นได้อย่างถาวร หากต้องการกำจัดกลิ่นหอมนี้จากต้นตอ ควรจะทำอย่างไรนะ
อวี้เฟยเยียนดูออกว่า เพราะเรื่องกลิ่นหอมที่ติดตัวเขานั้นทำให้อารมณ์ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ นางจึงรีบหาหัวข้อสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจซย่าโหวฉิงเทียนทันที
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านเล่าเรื่องของเมืองอู๋โยวให้ข้าฟังบ้างสิ!”
เมื่อครู่ตอนที่ตี้อู่เฮ่ออีเล่าเรื่องเผ่าตานฝ่ายซ้ายและตานฝ่ายขวาให้นางฟัง ได้กล่าวถึงเมืองอู๋โยว
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนได้ยินชื่อเมืองอู๋โยว นอกเหนือจากชื่อแผ่นดินหลัวอวี่ ยังมีสถานที่แห่งนี้อยู่ด้วยหรือเนี่ย!
“เมืองอู๋โยว”
ซย่าโหวฉิงเทียนลูบไล้เส้นผมของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา
“มันคือเมืองเมืองหนึ่ง ที่ใหญ่กว่าต้าโจวมากทีเดียว และถูกควบคุมโดยชนเผ่าทั้งแปด”
หลังจากได้ฟังซย่าโหวฉิงเทียนเล่า อวี้เฟยเยียนจึงได้รู้เรื่องราวคร่าวๆ เกี่ยวกับเมืองอู๋โยวมากขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ อู่โยวคือประเทศขนาดเล็กที่ออกแนวสังคมชั้นสูงหน่อยๆ
เพียงแต่ว่าเมืองอู๋โยวไร้ซึ่งจักรพรรดิ ควบคุมดูแลโดยชนเผ่าทั้งแปดแบ่งแยกอาณาเขตโดยยึดจากอำนาจเผ่าทั้งแปดเป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงของเมืองอู๋โยว
ยุทธภูมิเมืองอู๋โยวตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ เพราะตั้งอยู่ทางเหนือเยื้องไปทิศตะวันออกของแผ่นดินหลัวอวี่ เมืองอู๋โยวมีพื้นที่กว้างใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านและเป็นเอกเทศ
ผู้ที่ก่อตั้งเมืองอู๋โยวคือวีรชนอาวุโสท่านหนึ่ง
เดิมท่านเป็นชาวเมืองหลัวอวี่ วีรชนอาวุโสผู้นี้ไม่ยินยอมให้ราชสำนักและราชวงศ์กดขี่ ดังนั้นจึงรวมไพร่พลจอมยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินเอาไว้แล้วแยกตัวออกจากแผ่นดินหลัวอวี่ไปตั้งเป็นเมืองอู๋โยว กลายเป็นการดำรงอยู่ที่แสนพิเศษ
ในตอนแรก บุคคลที่ร่วมกับวีรชนอาวุโสท่านนี้ก่อตั้งเมืองอู๋โยวมีอีกเจ็ดคน พวกเขาทั้งแปดล้วนแต่เป็นบรรพบุรุษตระกูลทั้งแปดชนเผ่าแห่งเมืองอู๋โยวนั่นเอง
ทั้งแปดตระกูลประกอบไปด้วย ตระกูลเสิ่นถู ตระกูลกงอวี้ ตระกูลหนานกง เผ่าตาน ตระกูลเหวิน ตระกูลหลิว ตระกูลสุ่ย และตระกูลอวิ๋น
“ตระกูลหนานกงที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ เป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดอย่างนั้นสิ”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น
“อืม!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ
ดูท่าตระกูลหนานกงก็มีพื้นเพที่แข็งแกร่งนี่นา!
แต่ก็ไม่เป็นไร บัญชีที่พวกเขาเคยรังแกซย่าโหวฉิงเทียนไว้ อวี้เฟยเยียนจดเอาไว้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องคิดบัญชีนี้กับหนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้อย่างแน่นอน
รังแกผู้ชายของข้า ก็เท่ากับรังแกข้า!
“ประชาชนชาวอู๋โยวทุกคนร่ำเรียนวรยุทธ์ ในหมู่ประชาชนลำดับขั้นของจอมยุทธ์ที่ต่ำที่สุดนั่นก็คือขั้นหลอมรวม นอกจากเผ่าตานที่ค่อนข้างอ่อนหัดในเรื่องของวรยุทธ์แล้ว ตระกูลอื่นๆ ล้วนแต่วรยุทธ์สูงส่งทั้งสิ้น”
“ในสายตาทุกคน จอมเทวา ปรมาจารย์ไม่ถือว่าสลักสำคัญแต่อย่างใด”
ซย่าโหวฉิงเทียนอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขาอธิบายเรื่องราวเมืองอู๋โยวให้อวี้เฟยเยียนได้ฟังอย่างละเอียด เพื่อให้นางเตรียมใจเอาไว้ให้พร้อม
เพราะอย่างไรเสียเมืองอู๋โยวก็ไม่เหมือนกับแผ่นดินหลัวอวี่
ที่นั่นไม่มีกฎหมาย มีเพียงกำลัง
วาจาของคนที่แข็งแกร่งถูกต้องเสมอ เพียงแค่เอื้อนเอ่ยย่อมมีคนขานรับ
ตรงกันข้ามหากเป็นผู้อ่อนแอ ก็ถูกกำหนดให้ต้องถูกรังแก ถูกสังหารอย่างเ**้ยมโหด
เมืองอู๋โยวต่างหากเป็นจึงเป็นสังคมที่โหดร้ายอย่างแท้จริง!
อวี้เฟยเยียนถึงแม้จะเป็นจอมเทวา อยู่ที่แผ่นดินหลัวอวี่เป็นยอดคนที่เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถ แต่หากไปอยู่ที่เมืองอู๋โยวละก็ ไม่ได้สลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย
“ชาวอู๋โยวเก่งกาจจริงหรือ”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่า ที่นี่คือโลกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
นี่ชาวเมืองอู๋โยวคิดว่าแผ่นดินหลัวอวี่เป็นสังคมต่ำต้อย คนที่นี่ล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำอย่างนั้นหรือ
พวกเขานี่ช่างจองหองเสียจริงๆ เลย!
“จอมยุทธ์แห่งเมืองอู๋โยวที่เก่งกาจที่สุด สำเร็จขั้นใดกัน”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น
อวี้เฟยเยียนเป็นปรมาจารย์แถวหน้าของหลัวอวี่ ทว่าเมื่อไปที่เมืองอู๋โยว นางจะตัวเล็กจนแทบมองไม่เห็น นั่นทำให้อวี้เฟยเยียนสนอกสนใจในความพิศวงอย่างที่สุดของเมืองอู๋โยวขึ้นมา
พวกที่เป็นใหญ่เป็นโตแห่งเมืองอู๋โยวเก่งกาจสักเพียงไหนกัน
“ตระกูลและชนเผ่าทั้งแปดมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้นำ แต่ผู้ที่น่ากลัวที่สุดคือบรรพชนของตระกูลทั้งแปดต่างหาก!”
“พวกเขาล้วนแต่เป็นปีศาจเฒ่าที่มีอายุนับร้อยปี ปกติแล้วพวกเขามักจะไม่ยุ่งเรื่องทั่วไปสักเท่าไหร่ มีเพียงพบเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้นพวกเขาจึงจะออกหน้า”
“ได้ยินว่าอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นถูคือวีรชนจอมปราชญ์ขั้นสูงสุด ฮูหยินแห่งตระกูลอวิ๋นก็เป็นวีรชนจอมปราชญ์เช่นกัน…แต่ทว่าไม่เคยที่ใครเคยเห็นฝีมือที่แท้จริงของพวกเขาเลยสักครั้ง จริงหรือเท็จ จึงมิอาจล่วงรู้ได้”
“แล้วท่านล่ะ”
อวี้เฟยเยียนคิดอยากจะรู้ลำดับขึ้นของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนเคยสัญญาไว้กับนางว่า หากนางสำเร็จปรมาจารย์ได้ เขาจะบอกระดับขั้นวรยุทธ์ของตนกับนาง ตอนนี้จึงสามารถถามเขาได้แล้ว
“เรื่องนี้…”
ซย่าโหวฉิงเทียน แตะที่ปลายจมูกของตนเองด้วยมาดอันหล่อเหลา สีหน้าเป็นต่อ
“ตอนนี้พี่อยู่ขั้นราวๆ เทพจักรพรรดิแล้ว!”
เทพจักรพรรดิ!
อวี้เฟยเยียนถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
วีรชนอาวุโส จักรพรรดิอาวุโส ราชันจักรพรรดิอาวุโส เทพจักรพรรดิ
เช่นนั้นก็เท่ากับว่าในขั้นจอมอาวุโส ซย่าโหวฉิงเทียนเจ๋งที่สุดนะสิ
เหตุใดสวรรค์ถึงไร้ความยุติธรรมเช่นนี้!
หน้าตาหล่อเหลาก็ว่าดีแล้ว แต่นั่นยังเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน แต่นี่ หมอนี่วรยุทธ์ยังสูงส่งอีกด้วย สมบูรณ์แบบขนาดนี้จะดีหรือ
มันจะทำให้ผู้คนพากันอิจฉาริษยาน่ะสิ!
“หากว่าท่านไปที่เมืองอู๋โยว มันจะเป็นอย่างไรนะ”
อวี้เฟยเยียนมองดูซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาชื่นชมนับถือ
“จะเป็นอย่างไรกัน!”
“อือ…”
ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็มีความสุขยิ่งนักกับสายตาชื่นชมนับถือจากคนรัก เขาแสร้งกระแอมในลำคอเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวตอบ
“ก็ฝืนนับว่าเก่งที่สุดก็ว่าได้ ขอเพียงแต่ไม่ต้องเจอปีศาจเฒ่าพวกนั้นก็พอ!”
“เยี่ยมไปเลย!”
อวี้เฟยเยียนถึงกับยกนิ้วให้
นอกเหนือจากดีใจ อวี้เฟยเยียนก็ยังมีเรื่องคิดมากอยู่อีกเรื่องหนึ่ง
นางเป็นเพียงปรมาจารย์ตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง เทียบกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้วนางเป็นแค่ตัวอะไรตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
นางกับคนรักหนุ่มวรยุทธ์ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ เจ็บปวดถึงศักดิ์ศรี!
เมื่อไหร่กันนะที่นางเก่งกาจเท่ากับซย่าโหวฉิงเทียน!
ไม่ว่าจะอย่างไร นางจะไม่เป็นตัวถ่วงเขาเด็ดขาด!
นี่ไม่ใช่วิถีทางของนาง!
พอจะเดาความคิดอวี้เฟยเยียนได้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกไปดีดที่หน้าผากของนางเบาๆ
“แมวน้อย เจ้าทำได้ดีแล้ว! ต่อให้อยู่ที่เมืองอู๋โยว ระดับความก้าวหน้าของเจ้าก็จัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ เพียงแต่เจ้าเริ่มต้นสายไปสักหน่อยเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร มีพี่อยู่ เจ้าเชื่อใจพี่เถอะ!”
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้อวี้เฟยเยียนอบอุ่นใจเป็นที่สุด
“พี่จะโอบเจ้าไว้ เจ้าเดินกร่างไปพร้อมกับพี่ได้เลย!”
“อืม!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มจนตาหยีมือเกาะแขนซย่าโหวฉิงเทียนไว้แน่น
“หากว่าต้องไปที่เมืองอู๋โยวจริง เราสองคนจะเดินกร่างไปด้วยกัน!”
“ไปทั่วปฐพี!’
เห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็งับที่หน้าของนางแผ่วเบา
“พี่จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงของพี่ต้องถูกรังแกเป็นแน่! เจ้าอยู่กับพี่ พี่จะทำให้เจ้าเดินกร่างไปทั่วปฐพี!”
ทั่วปฐพี!
ได้ยินคำคำนี้ตาอวี้เฟยเยียนเปล่งประกายระยิบระยับ ความฝันที่ทั้งสูงส่งยิ่งใหญ่ ปณิธานที่แสนเกรียงไกร!
ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า คู่รักที่เ**้ยมโหดที่สุดได้ถือกำเนิด ณ ค่ำคืนที่เงียบเหงานี้แล้ว!