บทที่ 657 ปกป้องเสี่ยวเฉียว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 657 ปกป้องเสี่ยวเฉียว

สองสามีภรรยากลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้ หลังจากที่เข้าไปในห้องแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกหนานกงเย่ดึงตัวไป นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกพาไปที่สระกำมะถันแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรน เมื่อมาถึงสระกำมะถันแล้ว แน่นอนว่าต้องทำสิ่งที่คนภายนอกมิอาจล่วงรู้ได้

หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกหนานกงเย่อุ้มออกมา และทั้งสองก็นอนลงบนเตียง ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและกำลังจะสวมเสื้อผ้า เพื่อออกไปดูเด็ก ๆ ที่นั่นจะไม่มีใครอยู่ไม่ได้

หนานกงเย่รั้งไว้:“มีคนดูแลอยู่ นอนลง”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกลับไป นางนอนลงและทั้งสองก็กอดกัน

ในช่วงเวลานี้หนานกงเย่พูดถึงความรู้สึกคิดถึง เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง แต่นางก็ฟังจนเผลอหลับไป

เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกจากเตียงและเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหาหนานกงเย่

อาอวี่ยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นอาอวี่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ถามเขาว่า:“ท่านอ๋องล่ะ?”

“ท่านอยู่ที่เรือนจวินจื่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านราชครูจวิน เสี่ยวกั๋วจิ้ว และท่านแม่ทัพล้วนก็อยู่ที่นั่นด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นไปหาพวกเขา ทุกคนอยู่ในห้องของเด็ก ๆ หนานกงเย่กำลังพูดถึงเรื่องของแคว้นอู๋โยว ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าอวิ๋นจิ่นเฝ้าอยู่นอกห้อง นางจึงไม่เข้าไป

เมื่อหนานกงเย่และคนอื่น ๆ พูดคุยและหารือกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกมาทีละคน และฉีเฟยอวิ๋นก็หลีกทาง

ท่านราชครูจวินเหลือบไปที่ฉีเฟยอวิ๋น แล้วเขาก็ออกไปก่อน ตามมาด้วยหวางฮวายอันและ แม่ทัพฉี

ฉีเฟยอวิ๋นทักทาย แม่ทัพฉีกล่าวว่า:“พ่อจะกลับไปหลายวันหน่อย และถือโอกาสไปทำธุระด้วย”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

อวิ๋นจิ่นไปส่งแม่ทัพฉี และฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปดูหนานกงเย่

หนานกงเย่นั่งอยู่บนพื้น และล้อมรอบด้วยเด็ก ๆ เจ้าห้าถูกหนานกงเย่อุ้มไว้ในอ้อมแขน เขายังคงนอนอย่างเกียจคร้าน

อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว และเสื้อผ้าของเจ้าห้าก็ลดน้อยลงเช่นกัน เขาสวมชุดสีน้ำเงินและกางเกงขายาว และเท้าเล็ก ๆ ก็โผล่ออกมา เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นทำถุงเท้าเล็ก ๆ ไว้ให้พวกเขาแต่ละคน และทุกคนก็สวมถุงเท้าที่นางทำให้ มีเพียงเจ้าห้าเท่านั้นที่ไม่ชอบสวมถุงเท้า ไม่เพียงแต่จะไม่สวม แต่ทุกครั้งที่สวมให้ เขาก็จะมีวิธีถอดมันออก จึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาไม่ชอบสวมถุงเท้า

มีครั้งหนึ่งที่เจ้าเสือน้อยฉีกถุงเท้าออกให้เขา ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชมเด็กคนนี้จริง ๆ

ราวกับว่าเจ้าห้าเป็นบรรพบุรุษน้อยอยู่ที่นั่น ร่างกายเล็ก ๆ ของเขานอนหงายอย่างสบายอกสบายใจ หนานกงเย่กังวลว่าบุตรชายจะเป็นอะไรไป จึงเอาแขนให้หนุน

เท้าเล็ก ๆ ของเจ้าห้าหล่นลงมาเป็นครั้งคราว และเกือบจะนิ่งเฉย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ นางชำเลืองมองเจ้าห้า และอุ้มเจ้าสี่ขึ้นมา

เจ้าสี่ดีใจ เขาเอาหัวเล็ก ๆ มาวางไว้บนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นแล้วถูไปมา แสดงว่าเขาดีใจมาก

ฉีเฟยอวิ๋นตบเบา ๆ และเล่นกับเจ้าสี่

“จัดการเรื่องของแคว้นอู๋โยวเรียบร้อยแล้วหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามและนึกถึงใบหน้าของจวินโม่ซ่าง

“จวินโม่ซ่างน่าจะขึ้นครองราชย์ในเดือนนี้”

“เช่นนั้นเขาก็เร็วมาก”

นี่เป็นสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่คาดคิด เขาเอาตำแหน่งจักรพรรดิมาได้อย่างรวดเร็ว

หนานกงเย่วางเจ้าห้าที่อยู่ในอ้อมแขนลง และลุกขึ้นเดินไปด้านข้าง จากนั้นก็หยิบของเล่นมา

เด็ก ๆ เบิกตากว้างในทันที และคลานเข้ามาหา แม้แต่เจ้าสี่ก็ไม่เว้น

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ฉลาด และพวกเขาทั้งหมดก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องของพ่อนั้นเป็นของดี

เจ้าห้าหันไปมอง และไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นช่วยพยุงเจ้าห้าขึ้น:“เจ้าห้า ท่านพ่อของเจ้านำของดีมาจากแคว้นอู๋โยว เจ้าลองไปดูสิ”

นางล้วนแต่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกเขา อันที่จริงพวกเขาทั้งหมดก็สามารถคลานได้ แต่ไม่เคยเห็นเจ้าห้าคลานเลย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

ฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยความคาดหวัง เจ้าห้าหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น และนอนลงบนร่างของนาง

หมดหนทางแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา แล้วพาไปดูว่าในกล่องมีอะไร

“ข้างในเป็นกล่องเครื่องประดับ ไม่ใช่ของพวกเจ้า แต่เป็นของพี่เสี่ยวเฉียว” เมื่อบรรดาบุตรชายมองไปข้างหน้า หนานกงเย่จึงเอ่ยปาก เด็ก ๆ หยุดชะงักและนั่งเป็นวงกลม หลังจากนั้นก็ไม่กล้าขยับ และทุกคนก็มองไปที่ข้างในกล่องเครื่องประดับ

พวกเขายังเด็กเกินไป จึงไม่รู้ว่าในกล่องเครื่องประดับคืออะไร รอก่อนเถิด อย่าหยิบผิดล่ะ หากหยิบผิดคงจะขายหน้าแย่!

ไม่มีใครหยิบ หนานกงเย่เหลือบมองอามู่:“เจ้ามาก่อน เจ้าเป็นศิษย์พี่”

อามู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และมองเข้าไปในกล่อง เขาเห็นตำราชุดหนึ่ง ตัวอักษรบนตำราชุดนั้น เขาไม่รู้จัก แต่เขารู้ว่ามันเป็นตำราของแคว้นอู๋โยว และอยากได้มาก

แต่เขามีระเบียบวินัย และเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเย่:“ข้าอยากได้ตำรา”

“เช่นนั้นก็ให้เจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็เรียกตามที่เรียกอาจารย์ของเจ้า เรียกข้าว่าอาจารย์ก็พอ” หนานกงเย่ชอบเด็กอย่างอามู่มาก แม้ว่าจะอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากจะเป็นบุตรชายบุญธรรม

อามู่หยิบตำราขึ้นมาอย่างระมัดระวัง มีตำราทั้งหมดหกเล่ม และแต่ละเล่มก็หนักมาก

หนานกงเย่พอใจกับทางเลือกของอามู่มาก และถือโอกาสกำหนดความสำเร็จในวันข้างหน้าของเด็กคนนี้อีกด้วย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำราเหล่านี้คืออะไร?” หนานกงเย่ถาม อามู่ไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว

หนานกงเย่กล่าวว่า:“นี่เป็นประวัติศาสตร์ทั่วไปของแคว้นอู๋โยว และอาจารย์ได้มาโดยบังเอิญระหว่างเดินทางกลับ แม้ว่าจะไม่ได้มีค่ามากนัก แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของแคว้นอู๋โยว

ตัวอักษรด้านบนเป็นตัวอักษรของแคว้นอู๋โยว เจ้ายังไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้มากนัก และในต้าเหลียงก็มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนเข้านอนทุกคืนเจ้าไปรอที่ห้องตำรา และอาจารย์จะสอนอักษรของแคว้นอู๋โยวเหล่านี้ให้แก่เจ้า”

“ขอบคุณท่านอาจารย์” อามู่เป็นเด็กฉลาด เขาเคยยากลำบากและพบเจอผู้คนมาไม่น้อย จึงรู้ว่าจะเข้ากับผู้อื่นได้อย่างไร และไม่นานเขาก็ปรับตัวเข้ากับหนานกงเย่ได้

“อืม ออกไปเถอะ”

อามู่ถือตำราและออกไปด้านข้าง

หนานกงเย่มองไปที่เสี่ยวเฉียว:“เสี่ยวเฉียว เจ้ามานี่สิ มาเอาของขวัญของเจ้าไป”

เสี่ยวเฉียวเดินไปดู ข้างในมีกล่องเครื่องประดับอยู่ สวยงามและเรียบง่ายมาก เสี่ยวเฉียวหยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมาและเกือบจะหล่นลงไปบนพื้น มันหนักมาก

อามู่รีบเขาไปถือไว้ และตำราของเขาหล่นลงไปบนพื้น

ฉีเฟยอวิ๋นพึงพอใจมาก พวกเขาล้วนแต่เป็นคนจิตใจดี

เสี่ยวเฉียวรีบไปเก็บตำราของอามู่และวางไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็นำกล่องของนางไป

ฉีเฟยอวิ๋นยังสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในกล่องของเสี่ยวเฉียว

เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าข้างในเป็นชุดเครื่องประดับและตำราสอนหญิงหนึ่งเล่ม

หนานกงเย่กล่าวว่า:“เป็นบุตรสาวของข้าหนานกงเย่ ต้องเข้าใจกฎระเบียบโดยทั่วไป เป็นหญิงก็ควรทำในสิ่งที่ควรทำ

“……” เสี่ยวเฉียวมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เข้าใจแล้วเพคะ”

น้ำเสียงมีความอดทนอย่างยิ่ง

สีหน้าของหนานกงเย่ดูไม่สบอารมณ์:“อวิ๋นอวิ๋นอีกแล้ว ข้ายังมิได้พูดอะไรเลย เหตุใดเจ้าถึงได้ปกป้องบุตรเช่นนี้?”

“ไร้สาระ หากหม่อมฉันจะปกป้อง แล้วพระองค์จะกล่าวอะไรได้เพคะ?อะไรควรทำ?ต้าเหลียงไม่มีจวินจู่ และนี่เป็นคนแรก จะฟังพระองค์ได้อย่างไร วันหน้าหากเป็นอย่างที่พระองค์ทรงตรัส แล้วอย่างไร?”

หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง:“เป็นหญิงสาวต้องเรียนรู้มารยาทขั้นพื้นฐาน”

“เรียนอะไรกัน แค่มีหม่อมฉันอยู่ก็เพียงพอแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นนำตำราสอนหญิงไป และถือโอกาสเยาะเย้ยหนานกงเย่:“ท่านพ่อของเจ้าก็จริง ๆ เลยเชียว ดูเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ที่ท่านพ่อของเจ้าให้เจ้าสิ หากยังไม่พอแม่จะให้กำไลทองแก่เจ้า ช่างน่าสงสารจริง ๆ!”

ฉีเฟยอวิ๋นโยนตำราหญิงทิ้งไป และหันไปมองเด็ก ๆ ที่อยู่บนพื้น และกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า:“แม่จะบอกพวกเจ้าว่า พวกเจ้าต้องปกป้องพี่เสี่ยวเฉียว หากใครรังแกนางก็ฟาดฟันคนผู้นั้นเสีย”

หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ นางก็มองไปที่หนานกงเย่ สีหน้าของหนานกงเย่ดูขมขื่น:“เช่นนั้นก็ตัดหัวของข้าเสียเลยสิ”

“เช่นนั้นก็ตัดเลย!เพิ่งกลับมาถึงก็เป็นเช่นนี้” ฉีเฟยอวิ่นเหลือบมองเสี่ยวเฉียว:“เสี่ยวเฉียวเป็นเด็กผู้หญิง พระองค์ไม่ต้องสนใจ หม่อมฉันจะดูแลนางเอง และให้อวิ๋นจิ่นสั่งสอนนาง พระองค์ก็คอยดูตอนที่นางเติบโต และยังจะพวกเขาอีก……ไม่อนุญาตให้พระองค์ชี้นำพวกเขา หากพระองค์นำความคิดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมาชี้นำพวกเขา และไม่รู้ว่าจะชี้นำจนกลายเป็นเช่นไร

ท่านอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องดูแลกิจการบ้านเมือง ไม่ใช่บุตรสาวและบุตรชาย

หม่อมฉันเป็นรากฐานของจวนอ๋องเย่ ท่านอ๋องวางมือเถอะเพคะ”

หนานกงเย่ดูอึดอัดใจและอยากจะโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นถลึงตาใส่ เขาก็เก็บความอึดอัดใจกลับไปในทันที!