SD:บทที่ 36 : คุณเป็นใครกัน?

เนื่องจากความจริงที่ว่า กู่ เฉิงหยา  อาจจะต้องเสียชีวิตเมื่อไรก็ได้ อันเป็นผลมาจากโรคร้ายที่เธอเป็นอยู่ เธอจึงกลายเป็นหลานที่ปู่ของเธอเป็นห่วงมากที่สุด

ปู่กู่เคยกล่าวไว้กับทุกคนว่า

ตราบใดที่หลานฉันชอบมัน ถึงมันจะเป็นดาวสักดวงก็เหอะ ฉันก็จะไปหามันมาให้เขาจนได้*!*

ข่าวลือนี่แพร่สะบัดไปทุกสารทิศ และใครก็ตามที่ได้ยินก็ไม่คิดว่าเขาพูดเกินจริงเลย หากเป็นตระกูลกู่แล้วล่ะก็…ไม่ว่าจะอะไร พวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น!

และนั่นเป็นเหตุผลว่า แม้ กู่ เฉิงหยา  จะเป็นเด็กสาวธรรมดา แต่เธอกลับมีผู้คุ้มกันมืออาชีพเช่น กู่ จ้านชุน คอยคุ้มครองอยู่ไม่ห่าง และทุกสิ่งที่เธอทำมีเพียงจุดประสงค์เดียว…ความสุขของเธอ!

การที่เด็กสาวต้องเติบโตมาด้วยการดูแลเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงหลงคิดไปว่าเธอคงเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว หลงตัวเอง และเสเพลเป็นแน่ แต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม ดีไม่ดี ในครอบครัวของเธอแล้ว เธอคงมีวุฒิภาวะมากกว่าด้วยซ้ำไป เด็กสาวประพฤติตนดีและฉลาดหลักแหลมมาก และนั่นเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นคนโปรดของปู่กู่

เด็กสาวอ่านหนังสือมามากและหลากหลายเรื่อง ตั้งแต่ดาราศาสตร์ไปถึงภูมิศาสตร์ รวมไปถึงประวัติศาสตร์โบราณของจีนยันสังคมปัจจุบันในต่างประเทศ เธอยังเล่นเปียโน หมากรุก รวมถึงการประดิษฐ์อักษรอย่างวิจิตร นอกจากนี้เธอยังชื่นชอบการว่ายน้ำ คลั่งไคล้ในการเล่นกีฬา และหลงใหลในการแข่งรถ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์วิชา ทักษะ หรือกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม หากเธอสนใจแล้ว เธอจะต้องเป็นเลิศในด้านนั้นเสมอ…

กู่ เฉิงหยา  ยังให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวเธอเสมอ และยังเป็นคนใจดีอย่างประหลาด เพราะเธอรู้ดี…เธอเหลือเวลาไม่มากนัก!

บางที หลังจากตะวันตกดินไปแล้ว เราอาจจะไม่มีวันได้เห็นมันขึ้นมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ก็ได้…

และด้วยความคิดเฉกเช่นนี้ หญิงสาวจึงสามารถครอบครองทุกคน และทุกอย่างที่เธอชื่นชอบไว้ในกำมือ!

แม้ว่ามันจะเป็นความจริงจนถึงวันที่เธอเจอกับ ซู ฉิวไป่ ก็ตามที เงาของเขาคืบคลานเข้ามาในความคิดเธอตั้งแต่เหตุการณ์นั้นที่สนามแข่งคังจวงแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธออดสงสัยเป็นไม่ได้ว่าเหตุใด คน ๆ หนึ่ง จะเป็นปริศนาได้มากเพียงนี้ และยามที่สายตาใจเย็นนั้นจ้องมองมาที่เธอ ราวกับว่ามันแทงลึกเข้าไปในวิญญาณ และทำให้เธอไม่มั่นคงไปอีก

เธอจึงตัดสินใจหนีออกมาและแอบตาม ซู ฉิวไป่ มาจนถึงบริษัทของ เซี่ยกรุ๊ป เธอไม่ได้บอกกับ จ้านชุน เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาคงไม่อนุญาต เพราะอย่างไร เขาก็มองว่า ซู ฉิวไป่ เป็นบุคคลอันตรายมาโดยตลอด

น่าเสียดายที่จู่ ๆ โรคของเธอกลับกำเริบขึ้นมากะทันหัน เธอรอให้เวลาผ่านไปไม่กี่นาที กู่ เฉิงหยา  ก็รู้สึกดีขึ้น ในตอนนี้ เธอชินชากับอาการนี้เสียแล้ว

อย่างไรก็เถอะ เธอยังรู้สึกประหลาดเมื่อเธอสังเกตหน้านิ่งคิ้วขมวดของชายตรงกันข้าม นี่เขายังวางแผนจะแก้แค้นเราจากวันนั้นอยู่รึเปล่านะ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น กู่ เฉิงหยา  พลันเสียใจที่เธอกระทำแบบนี้ไปโดยไม่ยั้งคิด ไม่น่าแอบหนีมาแบบนี้เลย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ปู่คงใจสลายแน่ ๆ

ส่วนคนที่ถูกสงสัยนั้น ยังไม่รู้ตัวเลยว่าสภาพของตนทำให้ กู่ เฉิงหยา  นึกไม่ไว้วางใจเขาขึ้นมา

ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มนึกเข้าใจสาเหตุที่เขาพลันเห็นอาการของ กู่ เฉิงหยา  มันต้องเป็นเพราะทักษะในการเห็นพลังฉีที่เขาได้รับมาจากการทำภารกิจที่แล้ว็ฆ็

ก่อนหน้านี้ เขาได้แต่ฉงนว่าทักษะนี้มันจะเอาไปใช้งานอะไรได้ แต่บัดนี้เขาเข้าใจโดยถ่องแท้

“พวกเราออกจากที่นี่ไปกันก่อนได้มั้ย รถพยาบาลคงกำลังจะมาถึงแล้ว”

กู่ เฉิงหยา  ไม่ใคร่อยากจะทนสายตานับสิบที่เอาแต่จ้องเธอ หญิงสาวจึงพูดขัด ซู ฉิวไป่ ที่ดูจะตกในภวังค์ของความคิด ชายคนขับรถจึงตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยการพยุงเธอลุก เหล่าจีนมุงเลยสลายตัวเมื่อเห็นว่าเด็กสาวเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้ว

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เราขอกลับบ้านก่อนนะ”

เด็กสาวเหลือบตามองมาที่ ซู ฉิวไป่ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา เธอพลันใจเสียขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองมาที่หน้าอกของเธอ

ชายคนขับรถหน้าแดงขึ้นมา แม้ว่าที่จริงแล้วเขาแค่เผลอจ้องมองไปที่ตำแหน่งหัวใจของหญิงสาวที่ผิดที่ผิดทางไปมาก แต่จากสายตาคนอื่น เขาคงดูเหมือนคนโรคจิตเป็นแน่ ไม่แปลกใจที่เธอจะขอตัวลา แต่ชายหนุ่มปล่อยเธอไปไม่ได้ เขาตะโกนขึ้น ”ไม่ อย่าพึ่งไปสิ”

กู่ เฉิงหยา  ได้ยินคำพูดเขาแล้วหยุดเดินฉับพลัน เธอรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล แต่ยังคงรอฟังเขาพูดอยู่

เขานึกได้ว่ามันคงฟังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงรีบอธิบาย “เออ…คือผมอยากพาคุณไปที่ไหนสักที่นะ เชื่อผมเถอะ ผมไม่ทำอะไรไม่ดีแน่!”

เด็กสาวได้แต่ประหลาดใจด้วยคำพูดของเขา ไม่ว่าจะคิดอย่างไร แต่ถ้าผู้ชายที่เธอเจอเพียงไม่กี่ครั้งมาพูดแบบนี้ด้วยท่าทางแบบเขาล่ะก็ ถ้ายังพอสติดีอยู่ก็ควรจะรีบปฏิเสธแล้ววิ่งหนีไปเสีย แต่เมื่อเธอมองเขาไปในดวงตากระจ่างใสและสีหน้าจริงใจของ ซู ฉิวไป่ แล้ว เธอกลับเผลอตอบรับไปเสียได้ สุดท้ายแล้ว ทั้งสองจึงเข้าไปในรถแท็กซี่ ชายหนุ่มขับรถไปในความเงียบงันจนมาถึงบ้านของเขา แล้วจอดรถไว้ในที่ประจำ

กู่ เฉิงหยา  คิดว่าตนเองอาจบ้าไปแล้วก็ได้ ปกติเธอเป็นคนคิดรอบคอบแท้ ๆ แต่แค่ชั่วขณะเดียวที่เธอลังเล เธอกลับเชื่อผู้ชายที่เธอเคยพบเพียงสองครั้งอย่างไม่มีเงื่อนไข

ซู ฉิวไป่ เปิดประตูให้เธอลงจากรถแท็กซี่ แล้วเขาก็นำทางเธอขึ้นไปบนตึกอพาร์ตเมนต์โดยไม่พูดอะไร

หากจะกล่าวตามตรง เขาไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้ทักษะการสังเกตพลังฉี จึงรู้สึกประหลาดไปมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นอาการภายในร่างกายของ กู่ เฉิงหยา  สำหรับเขา มันเป็นการเปิดโลกใหม่ที่เขาไม่เคยสำรวจมาก่อน ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่อาจอธิบายได้

ดังนั้น…เขาจึงพาเธอมาที่บ้านเขาแล้ววางแผนจะตรวจอาการเธอให้ละเอียดกว่านี้…

เมื่อเธอเห็น ซู ฉิวไป่ เอากุญแจออกมา กู่ เฉิงหยา  จึงนึกได้ว่าควรจะถามเขาว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน จังหวะที่เธอจะเปิดปากถาม คำถามนั้นก็ได้รับการตอบพอดี

“นี่บ้านผมเอง เชิญเข้ามาเถอะครับ…”

เธอจ้อง ซู ฉิวไป่ อย่างจริงจัง ดวงตาของเขายังคงจริงใจ แต่ก็มีความกระตือรือร้นแฝงในแววตานั้น มันเป็นครั้งแรกที่ผู้ชายคนหนึ่งชวนเธอมาที่บ้าน และเขาก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย!

กู่ เฉิงหยา  เผยรอยยิ้มให้เขา ความมั่นใจของเธอทำให้หญิงสาวยังเชื่อใจในชายตรงหน้า

เมื่อพวกเขาเข้าไป ลูกสุนัขขนขาวของ เซี่ย หรงหรง ยังคงเล่นอยู่กับ วังไค่ หมาของเขา เมื่อมันเห็นว่า ซู ฉิวไป่ พา กู่ เฉิงหยา  เข้ามา มันก็เห่าอย่างเกรี้ยวกราด “นี่คิดจะทำอะไรอยู่เนี่ย พาผู้หญิงเข้าบ้านมาเป็นคนที่สองแล้วนะ!”

กู่ เฉิงหยา  ไม่อาจทราบว่าสุนัขตัวนั้นกล่าวอะไรไปบ้าง แต่ ซู ฉิวไป่ เข้าใจดี เขาอับอายขึ้นมาทันที แต่เขาเมินมันแล้วเชิญให้เด็กสาวนั่ง

ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังจะช่วยคนอยู่นะ*!*

“เออ คุณเป็นลมบ่อยมั้ย” ซู ฉิวไป่ ครุ่นคิดขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจถาม แต่เธอก็พยักหน้าตอบอยู่ดี ยังไงก็มีหลายคนทราบอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะปกปิด

งั้นก็จริงสินะ*!*

เขาจึงมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับจากการสังเกตพลังฉีของหญิงสาว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ทราบว่าหนทางรักษาอยู่ดี

ชายหนุ่มไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะนึกถึงระบบการนำทางขึ้นมาได้ เขาเลื่อนหาหน้าจอการเพิ่มทักษะในจิต ในเมื่อเขามีแต้มสะสมเพิ่มการเติบโตพอแล้ว หากเขาพบทางแก้ไขได้ล่ะก็…

ความเงียบงันในห้องทำให้ กู่ เฉิงยา ทวีความฉงนสนเท่ห์มากขึ้นเท่านั้น

เขาไม่อธิบายอะไรแล้วพาเรามาที่บ้าน ตอนนี้ก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก…คนนี้ต้องการอะไรจากเรากันแน่

“ถ้างั้น ครอบครัวรู้มั้ยว่าคุณป่วย เคยไปตรวจบ้างรึเปล่าครับ”

ซู ฉิวไป่ ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปเสียนาน เขาหาทักษะอะไรที่พอจะมีประโยขน์ในตอนนี้ไม่ได้เลย และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องหาทักษะแบบไหนจึงจะช่วยชีวิตเธอได้

เมื่อนั้นเองที่ กู่ เฉิงหยา  ตระหนักได้ว่า ซู ฉิวไป่ ถามถึงอาการป่วยของเธอ เธอส่ายหัวแล้วยิ้มตอบ “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครรักษาโรคนี้ได้ค่ะ”

มีแต่เธอเท่านั้นที่รับรู้ความขมขื่นที่อยู่เบื้องหลังประโยคนั้น มันเป็นเรื่องจริงอย่างถ่องแท้ คุณปู่กู่ได้เชิญแพทย์หลายคนให้ลองและรักษาอาการป่วย ไม่ว่าจะเป็นจากในหรือนอกประเทศ แพทย์แผนจีนหรือแผนปัจจุบัน แต่ก็เหมือนกับที่เธอพูด ทั้งหมดทำไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครสามารถเยียวยาเธอได้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็พอมีแพทย์บางคนที่รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ใด บางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

ซู ฉิวไป่ หวั่นวิตกเมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาว

นี่เป็นครอบครัวแบบไหนกัน! พวกเขาไม่พยายามมองหาวิธีรักษอาการเจ็บป่วยของเธอ และปล่อยให้เธอวิ่งไปทั่วตามถนน! และพวกเขาก็ทำลายความหวังของเธอบอกเธอว่าไม่มีใครสามารถรักษาเธอได้…

แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบครอบครัวของเธอมาก่อน แต่เขาก็โกรธพวกเขาเสียแล้ว ทันใดนั้นเขามีความคิดดี ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ ชายหนุ่มกระโดดลงจากโซฟา

โถ่เอ้ย นี่เขาลืม ฮัว โต๋ ไปได้ยังไง! ทักษะสังเกตพลังฉีนี่ก็ถือว่ามาจากเขานี่ จะมีใครที่ใช้มันไปได้ดีกว่าเขาล่ะ!

“รอนี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวผมไปตามหมอมาให้ แปป ๆ ก็กลับมา เขาเป็นมืออาชีพเชียวนะ”

เขายิ้มยิงฟัน คว้ากุญแจรถ และวิ่งออกไปจากห้อง โดยไม่รอให้เธอตอบ

กู่ เฉิงหยา  ได้แต่คิดว่ามันแปลกจริง ๆ ที่เขาทิ้งเธอไว้ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนชวนเธอมา ประหลาดคนแท้

ถึงจะอย่างนั้น เธอยังอยู่แม้ว่าเธอจะไม่มีความหวังในตัวหมอคนที่ว่าเลย เธอยังจดจำคำที่นายแพทย์ปรมาจารย์ที่ปู่ของเธอเชิญมาอย่างยากลำบากกล่าวไว้ได้ดี เขาบอกไว้ว่า ตามตำนานแล้ว มีแต่ ฮัว โต๋ ที่มีพลังในการสังเกตหาฉี ที่ทำให้ท่านสามารถตรวจสอบความผิดปกติภายในตามธรรมชาติของผู้คนได้ และมีแต่ท่านที่หาวิธีแก้ไขมันได้

นั่นคือสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ แต่บนโลกนี้ คงไม่มีใครที่มีความสามารถแบบนั้นอีกแล้ว ยังไม่มีใครค้นพบว่าทักษะในการสังเกตพลังฉีคืออะไร และการจะฟื้นคืนชีพ ฮัว โต๋ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย!

ณ ขณะนั้นเอง ซู ฉิวไป่ ก็ขึ้นแท็กซี่ของตัวเอง และเร่งผ่านช่องทางข้ามเวลาไปแล้ว

“ระบุตำแหน่ง ฮัว โต๋ เริ่มการนำทาง…”

ในพริบตา เขามาถึงอย่างรวดเร็วที่ด้านหน้าของกระท่อมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขา สถานที่นั้นล้อมรอบไปด้วยป่าเขียวชอุ่มและมีแม่น้ำคดเคี้ยวในระยะไกล

เขาจำได้ว่า ฮัว โต๋ เคยกล่าวไว้ว่าจะมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ถ้าอย่างงั้น นี่ก็คงเป็นที่นั่น

ซู ฉิวไป่ หยุดรถ จากตำแหน่งที่เขาอยู่ เขาสามารถเห็นร่างของคนสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหินซึ่งไม่ไกลจากเขานัก หนึ่งในนั้นคือท่านหมอที่เขาตามหาอยู่ ส่วนอีกคนเขาไม่รู้จัก เขาจึงนึกเดาเอาเองว่าคงเป็นเพื่อนเก่าของ ฮัว โต๋ นั่นแหละ

เขาไม่เสียเวลาลังเล เพราะถึงอย่างไร กู่ เฉิงหยา  ยังคงรอเขาอยู่ หญิงสาวคนนั้นใกล้จะตายเพราะอาการป่วยของเธอ ชายหนุ่มไม่อาจทนให้มีความชักช้าได้ เขาแทบจะกระโดดลงจากรถ แล้ววิ่งไปทางโต๊ะหิน

“ฮ่าฮ่า ในที่สุดก็เจอท่านเสียที ตามผมมาเร็ว เราต้องไปช่วยคน!”

คนขับรถกล่าวเช่นนั้น แล้วลาก ฮัว โต๋ ไปที่รถเขาโดยไม่อธิบายเพิ่มเติม ท่านหมอตะลึงงันไปนานทีเดียว

“อา…นี่เรากำลังมุ่งหน้าไปหนแห่งใดกัน”

ฮัว โต๋ ยังคงมีความประทับใจที่ดีกับ ซู ฉิวไป่ ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ที่แล้ว เขาจึงไม่อาจโกรธการกระทำของเขาที่หลายคนคงมองว่าหยาบคาย

“มีคนไข้ป่วยหนักคนนึงที่เหลือเวลาไม่นานแล้ว ผมต้องพาท่านไปรักษาเธอ”

ซู ฉิวไป่ อธิบายด้วยความเร่งรีบ ขณะที่เขายังกระชากลากถูท่านหมอชราไปที่รถ

“อาการของเธอเป็นเยี่ยงไรหรือ” เพื่อนของ ฮัว โต๋ เอ่ยถามขึ้น

ใครถามนายกัน ฉันมาหา ฮัว โต๋ นี่นายเป็นใครเนี่ย

ซู ฉิวไป่ นึกในใจ ก่อนที่ ฮัว โต๋ จะเพียงยิ้ม แล้วเอ่ยแนะนำเขา “ท่านผู้นี้ คือสหายคนสนิทของข้า ชื่อสกุลของเขาคือ จาง และชื่อต้นคือ จ้งจิ่ง เขามีทักษะทางการแพทย์ที่เป็นเลิศยิ่ง…”

จาง จ้งจิ่ง?

อ้าวเฮ้ย…จาง จ้งจิ่ง นี่หว่า*!*

ซู ฉิวไป่ รู้ตัวว่าเขาคงหน้าแดงมากแล้ว แต่ไม่สำคัญหรอก…เดี๋ยวพานายไปด้วยเลย*!*

(TL:เกร็ดความรู้  จางจ้งจิ่ง  ชื่อรองคือ จางจี

จางจี เป็นชาวตงฮั่น เกิดที่เมืองเนี้ยหยาง (ปัจจุบันคือ อำเภอหนานหยาง ในมณฑลเหอหนาน) เขาได้เรียนแพทย์โดยสมัครเป็นศิษย์ของจางป๋อจู่ และได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์จนเเตกฉานในศาสตร์ของการรักษา เนื่องจากความฝักไฝ่สึกษาวิชาแพทย์ ในเวลาไม่นานนัก เขาก็กลายเป็นหมอที่ได้รับการยอมรับนับถือทั่วไป

ปลายสมัยตงฮั่น (ฮั่นตะวันออก) จีนแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า เกิดสงครามระหว่างกัน ผลจากสงครามทำให้ประชาชนประสบความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น เกิดโรคภัยไข้เจ็บระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ปลดเปลื้องความทุกข์ของประชาชนจากโรคร้าย จางจี่ได้รวบรวมทฤษฎีและประสบการณ์ทางการแพทย์ก่อนสมัยฮั่นตะวันออกโดยอาศัยหนังสือเน่ยจิงและหนานจิง เป็นพื้นฐาน เขาได้รวบรวมจนเขียนตำราที่ชื่อว่า ซางหางจ๋าปิ้งลุ่นขึ้นมา ไว้คอยรักษาผู้คนในช่วงที่เเผ่นดินเต็มไปด้วยสงคราม

เเต่ช่วยปลายยุคฮั่นตะวันออก ตำราที่ว่าได้หายสาปสูญไป บ้างบางส่วน ต่อมาในสมัยซีจิ้น (จิ้นตะวันตก) แพทย์หลวงชื่อ

หวังซุเหอ ได้ทำการรวบรวมเขียนเพิ่มเติมและจัดหมวดหมู่ใหม่ จนมีเนื้อหาที่กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

จางจีได้ฉายาว่า อีเซิ่ง(医圣 หมอวิเศษ) นับเป็นหมอยุคต้น ๆ ที่ทุ่มเทเพื่อการแพทย์จีนโบราณ ทั้งยังเป็นผู้เสียสละและสร้างประโยชน์แก่การแพทย์จีนอย่างยิ่ง เเละถูกยกย่องเป็น 1ใน3หมอเทวดาเเห่งยุคสามก๊ก ซึ่งอีก2คนก็คือ หมอฮัวโต๋เเละตงเฟิ่งนั่นเอง )