ตอนที่ 10 การแสดงปลอบขวัญของเหล่าคณะศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (1) โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นก่อตั้งขึ้นได้ไม่เท่าไร คณะทำงานหลักที่ประกอบด้วยคนห้าคนก็ออกจากอำเภออู่โหวไปในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง
เหตุผลก็แสนจะง่ายดาย ในฐานะสำนักหนึ่งที่ต้องการจัดตั้งฐานที่มั่นแรกของตนเอง อำเภออู่โหวถือว่ามีจุดด่างพร้อยมากเกินไป
หนึ่งคือ ท่าทีของผู้คนในอำเภออู่โหวที่มีต่อสำนักบำเพ็ญเซียนนั้นค่อนข้างจะเมินเฉย ตัวอย่างเช่น สำนักเจ็ดดาราแม้จะถือได้ว่ามีอิทธิพลที่นี่ แต่พวกเขาไม่อาจดึงดูดผู้ติดตาม ทั้งยังได้พักอยู่ในจวนรับรองของผู้พิพากษาเท่านั้น เหออวิ๋น ตาแก่ลามก ผู้อาวุโสระดับหกดาวต้องเป็นคนจ่ายค่าตัวของหญิงสาวที่เขาร่วมเสพสังวาสด้วยโดยไม่อาจบิดพลิ้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ไม่อาจอวดเบ่ง ทั้งยังไม่ได้มีสิทธิพิเศษมากมายอะไร ในฐานะที่เป็นพื้นที่สงครามที่เคยห้ำหั่นกับสัตว์ประหลาดมาก่อนตั้งแต่สมัยโบราณกาล ปูมหลังของอำเภออู่โหวถือว่าชัดเจนมั่นคงมาก
สองคือ หากพวกเขาคิดจะตั้งฐานที่มั่นแรกที่อำเภออู่โหว มันจะดูโจ่งแจ้งจนเกินไป หากพวกเขาต้องการเรียกเก็บภาษีสติปัญญาที่นี่ นอกจากอาจจะเจอแรงกดดันจากประเทศต้าหมิงแล้ว ก็ยังอาจเจอกับแรงต้านจากสำนักเจ็ดดาราได้
สามคือ ที่นี่ขาดแคลนเครือข่ายผู้คนที่จำเป็น ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเป็นเพียงคนผ่านทางที่มาประจำการชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่มีอิทธิพลในอำเภอนี้ ยิ่งหวังลู่กับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่
ด้วยปัจจัยที่เหลื่อมซ้อนกันหลายประการเช่นนี้ การไปจากที่นี่จึงเป็นตัวเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วฐานที่ตั้งของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นควรจะเป็นที่ใดกันเล่า
คำตอบนั้นแจ่มแจ้ง
“ฮ่า! หุบเขาหูสุนัข ข้ากลับมาแล้ว!”
หวังลู่ ผู้จัดการของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้น หรืออีกชื่อคือเจ้าสำนักภูมิปัญญา หันหน้าสู้แสงอาทิตย์ยามเช้า ยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ แล้วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อมาถึงหุบเขาหูสุนัข
“…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะตั้งกองกำลังที่สันเขาชายขอบเช่นนี้จริงๆ” ธิดาเทพเฟิงหลิงแห่งสำนักภูมิปัญญาถามพร้อมใบหน้าฉงน “ที่นี่ไม่สอดคล้องกับความทะเยอทะยานสูงปรี๊ดที่จะเป็นผู้มีอำนาจในอาณาจักรเก้าแคว้นของเจ้าเลยสักนิด”
เจ้าอ้วนก็เริ่มเปิดปากบ่นด้วย “ศิษย์พี่ เหตุใดถึงได้มายังบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ สภาพความเป็นอยู่ของที่นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว”
เจ้าสำนักหวังลู่พ่นลมออกทางจมูก “ถ้าไม่มาที่สันเขาทุรกันดารเช่นนี้ แต่กลับตรงดิ่งไปที่เมืองหลวงของจังหวัด หากไม่เละเป็นขี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็คงน่าประหลาดใจไม่น้อย! แม้ฉากหลังของเราจะเป็นสำนักกระบี่วิญญาณ แต่เราก็ไม่มีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่มีทั้งเงินทอง เราเป็นเพียงสำนักที่ร่อแร่! ข้าว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่าประกายไฟเพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดไฟไหม้ลามไปทั่วทั้งป่าได้มาบ้าง ดังนั้นพวกเราจะใช้วิธีปกครองชายขอบตีโอบล้อมเมือง นี่คือข้อสำคัญที่สุดในการพัฒนาสำนักที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ หากวันหนึ่งเราขยายอิทธิพลออกไปได้ อนาคตของเราย่อมไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน อีกทั้งหมู่บ้านตระกูลหวังมีข้อได้เปรียบตรงที่สวรรค์เมตตาทำให้มีพลังปราณวิญญาณฟ้าดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดปาฏิหาริย์ได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยเราอย่างมหาศาลในการพัฒนาสำนัก ในอนาคต หากเราขยับขยายอิทธิพลได้แล้ว เราก็ย่อมเป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิวัติได้… โอ้ ไม่สิ ที่นี่จะกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกบำเพ็ญเซียน ความจริงแล้วที่นี่น่ะเหนือกว่าเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งเมืองไหนๆ เสียอีก”
ตาแก่ลามกหกดาวที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ “ท่านผู้จัดการช่างมีสายตายาวไกล มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล อีกทั้งคำพูดของท่านก็ตรงประเด็น ในอดีต หัวหน้าสำนักเจ็ดดาราได้เรียกรวมผู้อาวุโสหกดาวอย่างเราที่ฐานที่มั่นหลักเพื่อพูดคุยกันเรื่องการจัดการในหมู่บ้านตระกูลหวัง หลังจากระดมสมองกันแทบรากเลือด เราก็ได้แผนการหนึ่งออกมาซึ่งเหมือนกับแผนการของท่านผู้จัดการเปี๊ยบ แถมหลายส่วนยังไม่สมบูรณ์เท่าแผนของท่านผู้จัดการด้วยซ้ำ”
หวังลู่ยิ้มพร้อมพยักหน้าเห็นชอบ “เจ้าเข้าใจความจริงนี้ได้กระจ่างแจ้ง การเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว หากเจ้าทำงานได้ดี รับรองผลประโยชน์ต่างๆ ต้องหลั่งไหลไปหาเจ้าแน่”
ตาแก่ลามกปลื้มปีติยิ่งนัก “น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้จัดการนั้นข้าจะไม่ลืมไปจนชั่วชีวิต ต่อให้ต้องสังเวยชีวิตตัวเองก็คงไม่อาจจะทดแทนได้หมด…”
สีหน้าของเขาไม่ต่างจากข้าเก่าที่แสนภักดีแม้แต่น้อย! ใครจะไปคาดคิดว่าก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียวสองคนนี้ยังเป็นศัตรูกันอยู่เลย แล้วยิ่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลับยอมศิโรราบแต่โดยดีให้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเช่นนี้ยิ่งนึกภาพไม่ออกกันไปใหญ่
นี่ล่ะคือความสามารถของคนเป็นผู้นำ ในฐานะผู้นำแล้วนั้น เขาไม่จำเป็นต้องวิเศษไปกว่าผู้อื่น สิ่งสำคัญก็คือการสร้างคณะทำงานที่ดี แล้วให้พวกเขาได้แสดงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ แล้วนำพาคณะไปสู่ชัยชนะ
“ระหว่างทางที่มาที่นี่ ข้าได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่ต้องกระทำไปหมดแล้ว เจ้าก็เพียงทำไปตามนั้น สำนักเจ็ดดาราหยั่งรากลึกลงในหมู่บ้านตระกูลหวังแล้ว การจะกำจัดพวกเขาออกไปคงจะทำไม่ได้ง่ายๆ”
ตาแก่ลามกพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “วางใจได้ ท่านผู้จัดการ หลังจากที่ข้ากับเฟยฮวาละทิ้งความมืดและเสาะหาแสงสว่างแล้ว ข้ากับนางจะไม่แพ้ศึกแรกอย่างแน่นอน”
“อืม ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จ”
พูดจบหวังลู่ก็ตบบ่าของตาแก่ลามก หันหลังและเดินลงภูเขาไป
ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็ร่ายอาคม แล้วค่อยๆ ลอยเอื่อยไปยังหมู่บ้านตระกูลหวัง ——
หมู่บ้านตระกูลหวังแห่งหุบเขาหูสุนัขเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขและมีอันจะกินในอำเภออู่โหว ผลิตผลของที่นี่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ที่นี่จึงประหนึ่งสรวงสวรรค์ก็มิปาน
แต่เพราะไม่กี่ปีมานี้ หมู่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้คนค่อยๆ ดุร้ายขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของชาวบ้านที่มีให้เห็นเป็นปกติในอดีตกลับพบเห็นได้ยากมากขึ้น… และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่ ‘หิวกระหาย’ ไม่รู้จักพอ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อทั้งสวรรค์และผู้คน ทั้งหมู่บ้านจึงท่วมท้นไปด้วยความเป็นปรปักษ์
เช้าวันนี้ ชาวบ้านหลายคนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าบ้านไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ในนั้นมีทั้งพรานหนุ่ม ช่างตีเหล็กรูปร่างแข็งแรง… ทั้งยังมีหญิงชาวนาที่มีสีหน้าไม่พอใจรวมอยู่ด้วยหลายคน
คนเหล่านี้เข้าไปในห้องและกล่าวคำทักทายกัน แต่น้ำเสียงของพวกเขานั้นฟังดูทั้งอิดโรยและเหนื่อยล้า
“พี่รองจาง สภาพท่านดูไม่จืดเลย”
“โธ่ จู้จื่อ เจ้าเองก็ไม่ต่างกัน…”
“ป้าหวัง ล่าสุดที่ท่านนอนหลับสนิทน่ะมันเมื่อไหร่กัน”
“ข้าหลับไม่สนิทมานานแล้ว ทุกคืนพอข้าจะปิดตานอน ข้าก็ฝันร้ายไปเสียทุกครั้ง แถมยังฝันถึงสัตว์ประหลาดพิลึกเหมือนเดิมทุกทีอีกด้วย จากนั้นข้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อท่วมตัวไปหมด แล้วก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืน”
“โธ่เอ๊ย ดูเหมือนทุกคนจะเป็นแบบเดียวกัน”
“ใช่สิ ในหมู่บ้านเรา หลายวันมานี้มีใครได้นอนดีๆ บ้างเล่า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าปีศาจน้อยนั่นแท้ๆ เชียว”
ไม่นานมานี้ หวังลู่ได้สังหารผู้บำเพ็ญเซียนสองดาวกับทูตคนหนึ่งไป หลังจากนั้นชาวบ้านหลายคนก็เกิดอาการเสียขวัญ พวกเขากลัวว่าเจ้าปีศาจหวังลู่จะกลับมากวาดล้างคนทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งพวกเขายังกังวลว่าสำนักเจ็ดดาราจะกล่าวโทษพวกเขาด้วย
“เจ้าปีศาจน้อยนั่นช่างน่ารังเกียจนัก นอกจากเขาจะตัดเส้นทางสู่เซียนของเราแล้ว ยังจะนำพาหายนะมาสู่หมู่บ้านอีกด้วย… โธ่เอ๊ย ทั้งหมู่บ้านต้องมาติดร่างแหไปด้วยเพราะเขาแท้ๆ!”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาจากชาวบ้านในอำเภอว่า มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สนนรกสนสวรรค์ไปดูหมิ่นเทพเซียนเข้า ผลก็คือคนในหมู่บ้านทั้งหมดจู่ๆ ก็ป่วยตาย ไม่มีใครรอดเลยสักคน!”
“นี่เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม สองสามวันนี้ข้ารู้สึกปวดหัวไม่หายเลยเนี่ย…”
ทันทีที่คนผู้นั้นพูดจบ คนอื่นๆ ก็พากันหวั่นวิตก
“ข้าทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!” หญิงมีหน้ามีตาคนหนึ่งในหมู่บ้านเปิดปากพูด “เจ้าเด็กดาวมฤตยูนั่นกล้าหมิ่นเกียรติเทพเซียนของสำนักเจ็ดดารา เขาต้องตายเยี่ยงสุนัขอย่างแน่นอน แต่พวกเรากลับต้องมาติดร่างแหไปด้วยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ข้าจะคิดว่าอย่างไรได้อีก ไม่ใช่ว่าเราตกลงเรื่องนี้กันไปเมื่อหลายวันก่อนแล้วหรือ หนึ่งคือจับครอบครัวของเด็กปีศาจนั่นเป็นตัวประกัน จากนั้นก็ไปขอขมาต่อเทพเซียนของสำนักเจ็ดดาราเสีย”
“หวังฟู่กุ้ย? เขา…เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เราจะทำเช่นนั้นกับเขาไม่ได้”
“แค่เขาเลี้ยงดูเจ้าเด็กที่ต่ำช้ายิ่งกว่าหมูกว่าหมานั่นมายังผิดไม่พออีกหรือ!?” หญิงสาวคนเดิมตะคอกเสียงแหลม “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะรอจนกว่าทุกคนในหมู่บ้านตายเจ้าถึงจะเห็นด้วย”
“พี่สะใภ้รองหลิว ท่านพูดอะไรออกมา!? ข้าเองก็พลอยซวยเพราะเด็กนั่นแหมือนกัน ข้าก็แค่คิดว่าการจะจับครอบครัวเจ้าเด็กปีศาจนั่นเป็นตัวประกันไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งก่อนหน้านี้ เสี่ยวหูเองก็คัดค้านเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ”
ทันใดนั้น หญิงชาวบ้านท่วงท่าคงแก่เรียนก็หัวเราะเสียงเย็น “เสี่ยวหู? เจ้าคิดว่าเขายังเป็นเสี่ยวหูผู้ซื่อสัตย์และจิตใจดีคนเดิมอยู่อีกหรือ น่าหัวร่อนัก เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจิตใจของเสี่ยวหูจะไม่ถูกเจ้าปีศาจนั่นบิดเบือนไปแล้ว!?เจ้าเด็กปีศาจนั่นลงมือฆ่าเทพเซียนกับทูตของสำนักเจ็ดดารา แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เสี่ยวหูมีชีวิตอยู่!? สองสามวันมานี่ เจ้าเด็กปีศาจนั่นไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดี แล้วเหตุใดเสี่ยวหูถึงได้คัดค้านเรา เหตุใดเสี่ยวหูถึงได้ปกป้องครอบครัวหวังฟู่กุ้ยด้วย!?”
ทันทีที่สิ้นประโยค ทั้งห้องก็เงียบสนิท อารมณ์เดือดดาลก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
“เทพเซียน! เทพเซียนมาที่นี่!”
ทุกคนที่อยู่ภายในตัวบ้านต่างตะลึงงัน “เทพเซียนมาที่นี่!?”
พวกเขาผลักประตูและออกมาในทันใด แล้วก็ได้เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสองคนคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งสีชมพู ลอยลงมาจากบนฟ้าอย่างช้าๆ ราวกับเป็นก้อนเมฆวิเศษ ต่อหน้าต่อตาเหล่าชาวบ้าน
แน่นอนว่าคนทั้งสองคือตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา
ทันทีที่พวกเขาลงมายืนอยู่ตรงลานโล่งใจกลางหมู่บ้าน ก็ถูกห้อมล้อมด้วยชาวบ้านนับสิบที่จ้องมองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
“พวกเขา…คือเทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราหรือ”
“ข้าไม่คิดอย่างนั้น ได้ยินมาว่าเทพเซียนของสำนักเจ็ดดาราต้องสวมชุดที่มีรูปดวงดาวปักอยู่”
“เช่นนั้นพวกเขาเป็นใคร”
“…”
ตามที่หวังลู่กำชับไว้ ตาแก่ลามกทำทีว่าเมินเฉยต่อสิ่งรอบตัว แล้วจากนั้นก็ขมวดคิ้ว มองไปทุกทิศทางราวกับกำลังหาอะไรสักอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราผมสีดอกเลาก็เดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามา เขาคือหวังฉี่เหนียนผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหวังนั่นเอง
หลายวันก่อน ภายหลังจากที่หวังลู่สร้างความโกลาหลเอาไว้ ก็ไม่มีคืนใดที่หัวหน้าหมู่บ้านจะข่มตาหลับได้เลย เพียงไม่กี่วันเท่านั้นแต่เขากลับดูแก่ลงไปถึงยี่สิบปี ไม่เหลือภาพชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาที่แข็งแรงอีกแล้ว เป็นเพียงชายชราเดินยักแย่ยักยันเท่านั้น
“เทพเซียนสองท่านนี้อุตส่าห์มาถึงที่หมู่บ้านของเรา แต่เรากลับไม่ได้เตรียมการต้อนรับขับสู้ท่านทั้งสองอย่างเหมาะสมเลย…”
หวังฉี่เหนียนเอ่ยปากได้เพียงครึ่งจากสิ่งที่ต้องการจะพูดแต่กลับถูกอู้เฟยฮวาแทรกเสียก่อน
“ไอปีศาจแรงชะมัด!”
หวังฉี่เหนียนผงะถอยหลัง เทพเซียนก็คือเทพเซียนวันยังค่ำ เพียงแค่ปรายตามอง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเคยมีปีศาจมาที่นี่!
หลังจากคิดอย่างรวดเร็ว ชายชราก็คุกเข่าลง “ท่านเทพเซียน โปรดช่วยพวกเราด้วย! เมื่อไม่กี่วันก่อน มีปีศาจมาเข่นฆ่าผู้คนถึงที่นี่ ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านจวนเจียนจะเกิดหายนะแล้ว!”
……………………………………………..