ตอนที่ 10 การแสดงปลอบขวัญของเหล่าคณะศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (2) โดย Ink Stone_Fantasy
ทว่าเข่าของชายชรากลับไม่ถึงพื้น เพราะมีพลังที่มองไม่เห็นมาประคองเขาเสียก่อน
ตาแก่ลามกเหออวิ๋นทำมือให้ลุกขึ้น “ท่านลุกขึ้นเถิด เรามาที่นี่ก็เพื่อปราบปีศาจอยู่แล้ว”
หวังฉี่เหนียนปลื้มปีติเป็นล้นพ้น “ขอบคุณในความเมตตาของท่าน ท่านเทพเซียน! แต่ปีศาจตนนี้นั้นมากฤทธิ์นัก ท่านจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี คราวก่อน เทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราก็ถูกเจ้าปีศาจนั่นฆ่าตาย…”
“สำนักเจ็ดดารา? สำนักมารนั่นน่ะหรือ”
หวังฉี่เหนียนตื่นตระหนก “สำนักมาร?”
ตาแก่ลามกเหออวิ๋นกล่าวต่อ “ถูกต้องแล้ว ไอปีศาจที่ปกคลุมหมู่บ้านนี้เป็นของสำนักเจ็ดดาราอย่างแน่แท้ หึ แน่นอนล่ะ ก็พวกนั้นมันเป็นปีศาจที่ไม่อาจหักห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งชั่วร้ายได้นี่นา!”
ทันทีที่พูดจบ ตาแก่ลามกก็เอื้อมมือออกไป ปากก็ตะโกนว่า “ชำระล้าง!” ทันใดนั้น กลุ่มควันสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จับตัวกันกลายเป็นเมฆ แล้วก็ตกลงมาจากฟากฟ้า ห่อหุ้มชาวบ้านนับร้อยที่อยู่ ณ ตรงนั้นไว้ ทันทีที่ถูกหุ้มด้วยมวลอากาศสีน้ำเงิน ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจ ร่างกายสะอาด เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน!
“วิชาแห่งเซียน! นี่มันวิชาแห่งเซียนนี่!?”
ชาวบ้านหลายคนร้องตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้เทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราก็ใช้วิชาแห่งเซียนเช่นกัน แต่วิชาแห่งเซียนของเทพเซียนพวกนั้นไม่มหัศจรรย์พันลึกเช่นนี้!
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้คนที่อยู่รอบตัว ตาแก่ลามกก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ‘โง่เง่า แค่คาถาชำระล้างก็พากันตะโกนเอะอะแล้วหรือ!’
อู้เฟยฮวาเองก็คิดว่าช่างสนุกเสียจริง ทว่าสีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยราวกับผิวน้ำที่ไร้ลมต้อง “ศิษย์พี่ อาคมไล่ผีของท่านนี่ได้ผลไม่เลว… อากาศที่โอบล้อมที่นี่ไว้ปนเปื้อนไอปีศาจของสำนักเจ็ดดาราจริงๆ ด้วย”
“อืม อาคมไล่ผีนี่มีไว้เพื่อไล่ไอปีศาจของสำนักมารเจ็ดดาราจริงๆ แต่ในเมื่อผลที่ได้นั้นชัดแจ้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ทั้งคู่พูดคุยราวกับเป็นมืออาชีพที่จัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทว่าพวกชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ
หวังฉี่เหนียนรวบรวมความกล้าแล้วพูดแทรกออกมา “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน เมื่อครู่ท่านพูดถึงสำนักเจ็ดดารา… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตาแก่ลามกอธิบายอย่างตรงไปตรงมา “สำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักมารเลวทรามที่อยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้น พวกเขามีชื่อเสียงเรื่องใช้เล่ห์กลน่ารังเกียจหลอกลวงชาวบ้านทั่วไป ถือเป็นศัตรูกับสำนักที่เที่ยงธรรมเช่นเรา!”
ตู้ม!
หวังฉี่เหนียนรู้สึกราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาด ดวงดาวพราวพร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้า อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บหน้าอกราวกับว่าหัวใจกระโดดออกมานอกร่างอย่างไรอย่างนั้น
สำนักมาร! เล่ห์กลน่ารังเกียจ! หลอกลวง! เป็นศัตรูกับเส้นทางที่เที่ยงธรรม!
ทุกถ้อยคำที่ได้ยินนั้นไม่ต่างจากค้อนที่ฟาดลงมาจนทำให้เขาหายใจได้ยากขึ้น ทว่าอึดใจถัดมา เขาก็รู้สึกถึงลมเย็นๆ พรั่งพรูมาที่ใบหน้า เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็ได้เห็นเทพเซียนผู้ทรงเสน่ห์กำลังเหยียดนิ้วขาวผ่องแล้วปล่อยกลุ่มหมอกสีชมพูออกมาเพื่อบรรเทาอาการหัวใจวายให้แก่เขา
“ท่านผู้เฒ่า อย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไป ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้เสมอ”
หวังฉี่เหนียนไอออกมาสองสามครั้ง ทว่าในจิตใจของเขาก็ยังคงยุ่งเหยิงอยู่
แต่ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบต่างได้ยินกันหมดสิ้น หลังจากนิ่งอึ้งกันไปพักใหญ่ พวกเขาก็ค่อยๆ กลับมามีความคิดที่กระจ่างชัดอีกครั้ง ชาวบ้านบางคนอดรนทนไม่ได้รวบรวมความกล้าแล้วถามออกมา
“ท่านเทพเซียน ทั้งหมดที่ท่านพูดเมื่อครู่…เป็นความจริงหรือ”
อู้เฟยฮวาหงุดหงิด “แล้วเราจะหลอกพวกเจ้าทำไม”
จากนั้นตาแก่ลามกก็เล่นบทผู้อาวุโสจิตใจดี “จริงแท้แน่นอน… สำนักเจ็ดดาราก่อเรื่องในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่หลายต่อหลายครั้ง มีเหยื่อนับไม่ถ้วน เราซึ่งมาจากสำนักที่เที่ยงธรรมต้องการปราบคนพวกนั้นมานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไวเหมือนปรอท มักจะหนีไปได้ทันก่อนที่เราจะไปถึง ครั้งนี้ศิษย์น้องหญิงกับข้าซึ่งกำลังเดินทางอยู่เห็นว่าที่แห่งนี้มีไอปีศาจปกคลุมหนาแน่น เราจึงเร่งรีบแวะมา… น่าเสียดายที่แม้แต่หางของคนพวกนั้นเราก็จับไม่ได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ พวกชาวบ้านก็นิ่งงันไป พวกเขารู้สึกราวกับว่าจู่ๆ โลกทั้งใบก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา
สำนักเจ็ดดาราเป็นพวกหลอกลวง? เป็นสำนักมาร? เป็นศัตรูกับเส้นทางที่เที่ยงธรรม!?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นสำนักเซียนที่สามารถพาผู้คนเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้จริงๆ แล้วพวกเขาจะกลายเป็นพวกหลอกลวงได้อย่างไร!?
หนึ่งในชาวบ้านที่ยังรับความจริงไม่ได้ถามออกมา “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน ข้าขอถามหน่อยว่าสิ่งที่สำนักเจ็ดดาราบอกไว้ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ นี่ก็หลอกลวงด้วยหรือ”
ทันใดนั้น ทั้งลานก็เงียบกริบยิ่งกว่าที่เคย ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอคอยคำตอบจากเทพเซียน แน่นอนว่าในใจพวกเขายังคลุมเครือ หากเทพเซียนตอบว่าเป็นคำลวง พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องถามคำถามนี้!
“อืม ถูกแล้ว ทุกคนสามารถเป็นเซียนได้” ตาแก่ลามกตอบอย่างไม่ลังเล “สำนักเจ็ดดาราไม่ได้โกหกเรื่องนี้”
เฮ้อ!
ทันใดนั้นทุกคนก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ทว่าสำหรับสำนักมาร นอกจากพวกเขาไม่ช่วยให้ผู้คนกลายเป็นเซียนแล้ว หึ พวกเขายังทำร้ายผู้คนจนเกินจะเยียวยาอีกด้วย เหยื่อของพวกเขามีมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว!”
พวกชาวบ้านที่เพิ่งกลับมามีความหวัง รู้สึกว่าจิตใจหนักอึ้งอีกครั้ง “เกินจะเยียวยา?”
“อืม โอสถเพาะรากวิญญาณและโอสถอื่นๆ ที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นของเลียนแบบราคาถูก ไม่เท่านั้น พวกเขายังไม่รู้วิธีใช้โอสถที่ถูกต้อง พวกเขาให้ชาวบ้านกินโอสถที่ขายในราคาสูงลิ่วเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น การกินยาเช่นนั้นน่ะ หึ ต่อให้เป็นคนที่มีชะตาแห่งเซียนก็อาจถูกพิษของยาทำลายเอาได้!”
อู้เฟยฮวาเสริมขึ้นเงียบๆ “ความจริงแล้วมันก็ไม่แย่นักหรอก แม้พวกเจ้าจะกินโอสถเลียนแบบพวกนี้ อย่างแย่สุดมันก็แค่ไปทำลายรากวิญญาณของพวกเจ้า… ทว่าบางครั้งในการบำเพ็ญเซียนสายมาร สำนักเจ็ดดาราก็จะเอาชีวิตของพวกชาวบ้านไปเป็นเครื่องสังเวยเพื่อหลอมอาวุธมาร นั่นล่ะหายนะที่แท้จริง”
ตาแก่ลามกพยักหน้า “ถูกต้อง เดือนก่อน ในจังหวัดตงเต้า พวกเขาทำพิธีสังเวยเลือดดวงวิญญาณหนึ่งหมื่นดวง หึ ภายในรัศมีห้าสิบลี้ คนนับหมื่นต้องถูกเอามาทำพิธีสังเวยเลือด เป็นภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะมองดูได้จริงๆ”
“ใช่แล้ว แต่กลายเป็นว่าพิธีสังเวยเลือดดวงวิญญาณหนึ่งหมื่นดวงกลับไม่สมบูรณ์ หลังจากจบพิธี ชาวบ้านบางคนแทบไม่มีชีวิตรอด ร่างกายของพวกเขาเป็นแผลเน่าเปื่อยรุนแรง แต่ก็ยังไม่ตาย ต้องอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่สำนักสายมารนั่นกลับยินดีกับความเศร้าโศกของชาวบ้านเหล่านั้น”
บทสนทนาโต้ตอบของคนคู่นี้ทำเอาชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นกลัวจนหัวหด
หวังฉี่เหนียนหัวหน้าหมู่บ้านละล่ำละลักถาม “ท่านเทพเซียน…สำนักเจ็ดดาราเคยมาที่นี่เมื่อสองปีก่อน พวกเขาจะสังเวยเลือดของเราไหม…”
สีหน้าของตาแก่ลามกขรึมลง “สองปี!? พวกเขามาที่นี่นานขนาดนั้นเชียว!?”
“ใช่ ใช่!” ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านร้องออกมาในทันใด “ท่านเทพเซียน ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
อึดใจถัดมา ชาวบ้านนับร้อยต่างก็คุกเข่าลงทีละคน “ท่านเทพเซียน โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
ตาแก่ลามกยื่นมือออกไปช่วยพยุงพวกเขาให้ลุกขึ้น “วางใจเถอะ ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราจะไม่นิ่งดูดายแน่นอน… ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เหตุใดไม่พาเราเดินดูหมู่บ้านเล่า เราต้องสำรวจที่นี่ทุกซอกทุกมุม!”
“โอ้ ได้แน่นอน ตาแก่อย่างข้าจะเป็นผู้นำทางท่านทั้งสองเอง!”
——
เทพเซียนทั้งสอง ตามหลังด้วยเหล่าชาวบ้านนับร้อย ค่อยๆ เดินสำรวจไปทั่วหมู่บ้าน… ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินไปถึงป่าช้าด้านนอกหมู่บ้าน คนทั้งคู่ชำเลืองมองกัน จากนั้นอู้เฟยฮวาก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ไอมรณะหนาแน่นมาก! เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่!?”
ตาแก่ลามกแสดงสีหน้าหวาดหวั่น “ทะ ที่นี่เป็นสนามรบเก่าแก่หรือเปล่าเนี่ย ไอมรณะหนาแน่นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีคนตายนับล้านๆ คนแน่!”
ตู้ม!
เหล่าชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังต่างพากันกลัวจนตัวสั่น!
ตาแก่ลามกพูดให้ขวัญกระเจิงต่อ “ผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่การรวมตัวกันของไอมรณะแบบปกติ แต่เป็นค่ายกลพิเศษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น… โอ้สวรรค์! พวกเขาใช้ค่ายกลหยินหยางเปลี่ยนการเรียงตัวของพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ให้กลายเป็นไอมรณะ! ปกติแล้วไอมรณะที่มีคนทำขึ้นนี้จะอยู่กับที่นิ่งๆ แต่ค่ายกลของสำนักเจ็ดดารากลับใช้พลังหยางของคนในหมู่บ้านตระกูลหวังปลุกไอมรณะให้ตื่นขึ้นมา เมื่อไอมรณะถูกปลดปล่อยออกมา ในระยะห้าร้อยลี้จากที่นี่ ฮ่า แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่อาจเติบโตได้ ทว่าตอนนี้วิญญาณทหารที่ถูกฝังเอาไว้ยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอกนะ!”
“เมื่อไอมรณะพวยพุ่งขึ้นมา วิญญาณทหารที่ถูกฝังเอาไว้เหล่านี้… พลังของพวกเขาจะมหาศาลขนาดไหนกันนะ!?” อู้เฟยฮวายกมือปิดปากเล็กๆ ของนาง ทำหน้าตื่นตระหนกสุดชีวิต “พวกเขาฝังสิ่งนี้ไว้เมื่อไหร่กัน!?”
“คงจะเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่สำนักเที่ยงธรรมตีโอบพวกเขาไว้ พวกเขาจะได้หมดทางเลือก… ทว่าหากวิญญาณทหารเหล่านี้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตพวกมันต้องสร้างปัญหาและทำให้สำนักเที่ยงธรรมอย่างเราต้องปวดหัวหนักแน่”
อู้เฟยฮวาขบฟัน “ศิษย์พี่ ท่านว่าหากเรารวมพลังกันจะสามารถทำลายค่ายกลหยินหยางนี่ได้หรือไม่”
“มากที่สุดข้ามั่นใจแค่สี่ส่วนเท่านั้น ทว่าหากเรายังล่าช้าอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่ไอมรณะจะระเบิดออกมา โชคดีที่วันนี้ คำพยากรณ์บอกให้เราเดินทางมาตรวจสอบที่นี่ เราจึงพบสิ่งนี้ได้ทันเวลา เอาล่ะ ศิษย์น้องหญิง เรามาเริ่มกันดีกว่า!”
พูดจบ ดวงตาของตาแก่ลามกก็ดุร้ายขึ้น เขาตะโกนออกมาในทันที “ปรากฏตัว!”
วูบ!
ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน ราวกับเมฆสีดำที่บดบังแสงของดวงอาทิตย์! ภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั้นมีเงาของภูตผีซ้อนกันอยู่นับไม่ถ้วน ภูตผีที่มุ่งร้ายซึ่งถูกอาคมของเทพเซียนบังคับให้ปรากฏร่างจริง ลอยหวือไปทั่วทุกทิศทุกทาง!
มีชาวบ้านหน้าไหนเคยเห็นฉากเช่นนี้บ้าง ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็คิดว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้วและร้องหาบิดามารดาตนกันจ้าละหวั่น
ตาแก่ลามกยิ้มเจ้าเล่ห์ ค่ายกลเป็นตายหยินหยางและผ้าคลุมดำถือเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา เป็นเรื่องยากที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานหรือตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำจะทำให้เกิดภาพลวงตาเช่นนี้ได้ ทว่าหากมีศิลาวิญญาณระดับสูงที่หวังลู่จัดหามาให้ร่วมด้วย มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจแสดงภาพลวงตานี้ได้นานนัก ดังนั้นถ้าว่ากันตามบทที่วางไว้ เขาต้องทำขั้นตอนต่อไปได้แล้ว
“ศิษย์พี่ ค่ายกลเป็นตายนี่ร้ายกาจมาก! เราเอาชนะมันไม่ได้แน่ๆ!”
“อย่างไรเสียเราก็ต้องลอง! ตอนนี้ภูตผีนับร้อยตัวปรากฏร่างเดิมแล้ว หากเราเอาชนะมันไม่ได้ ไอมรณะต้องระเบิดออกมาแน่ เจ้ากับข้าคงต้องตายโดยไม่ได้ฝัง!”
“แต่ แต่…ข้าต้านไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!”
“เจ้าต้องทำได้ อย่าเพิ่งยอมแพ้!”
“กะ ก็ได้!”
“…ศิษย์น้องหญิง อีกสักพักหากไอมรณะยังไม่จางลง เจ้าต้องรีบหนีไปนะ!”
“ข้าจะปล่อยท่านไว้คนเดียวได้อย่างไร! หากต้องตาย เราก็ต้องตายด้วยกัน!”
คนทั้งสองตะโกนใส่กันเสียงดัง หมกมุ่นอยู่กับบทบาทอย่างเต็มที่
ทว่าชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังพวกเขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม
ต่อหน้าดวงตาที่ตื่นตะลึงของพวกชาวบ้าน สาวงามนางหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากผ้าคลุมสีดำนั่น คิ้วโก่งงดงามขมวดมุ่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงสีหน้าไม่พอใจ
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน!?”
ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาหลุดออกมาจากฉากหายนะตรงหน้า เหงื่อเย็นท่วมใบหน้า นิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ วินาทีถัดมา พวกเขาก็รีบคุกเข่าลงด้วยความตกใจ
“คารวะธิดาเทพเร็วเข้า!”
…………………………………………………….