ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 11.1 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 11 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

“คารวะธิดาเทพ!”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น พอสงบจิตสงบใจได้แล้ว ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาก็คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเลในทันใด

“หึ ข้ายอมรับพวกเจ้าทั้งสองจริงๆ ที่อาจหาญจะทำลายค่ายกลเป็นตายของสำนักเจ็ดดาราซึ่งเป็นค่ายกลระดับเจ้าสำนัก หากเจ้าสามารถทำลายมันได้ ทำไมไม่ขึ้นเป็นเจ้าสำนักเองเลยเสียล่ะ”

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวารีบยอมรับความผิดพลาดทันที “พวกเราไม่ทันคิดให้รอบคอบ บังอาจกัดเนื้อชิ้นใหญ่เกินกว่าที่จะเคี้ยว เกือบนำหายนะมาสู่ตัวแท้ๆ ธิดาเทพ โปรดลงโทษพวกเราด้วยเถอะ!”

“ฮึ ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียหายนะก็ยังไม่บังเกิด ทว่าพวกเจ้าทั้งสองต้องจดจำบทเรียนนี้ไว้ให้ขึ้นใจ ทำความดีนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากทำเกินกำลังของตนก็ไม่ถือว่าดี”

คนทั้งคู่ผงกหัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นตาแก่ลามกก็ถามขึ้น “ธิดาเทพ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้”

ธิดาเทพกล่าวตอบ “แน่นอนว่ามาตามคำสั่ง… เบื้องบนพยากรณ์ว่าจะเกิดหายนะขึ้นที่นี่ ดังนั้นจึงส่งข้ามาดูสถานการณ์ ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอพวกโง่เง่าอย่างพวกเจ้าหรอกนะ!”

อู้เฟยฮวารีบอธิบาย “ศิษย์พี่กับข้าก็มาที่นี่เพราะการพยากรณ์ เราจึงค้นพบเหตุการณ์น่าพิศวงนี่ ดังนั้นก็เลย…”

“หึ เหตุใดเจ้าถึงไม่พยากรณ์ตัวเองด้วยเล่า พวกเจ้าทั้งคู่ไม่เคยหยุดคิดสักนิดเลยหรือว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จริงๆ พวกเจ้าสองคนรับมือไหวหรือไม่!? ช่างเถอะ ข้าไม่มีเวลาต่อความกับพวกเจ้าหรอก ข้าต้องทำลายค่ายกลนี่เสียก่อน”

พูดจบ หญิงสาวที่มีสีหน้าวิตกกังวลก็สาวเท้าเข้าไปก้าวหนึ่ง ทว่าร่างของนางกลับเลื่อนไปอยู่เบื้องหลังกลุ่มชาวบ้านหลายวา เมื่อนางสาวเท้าเข้าไปอีกก้าว ชั่วพริบตาเดียว นางก็หายไปจากการมองเห็นของพวกชาวบ้านอย่างสิ้นเชิง

ผ่านไปพักใหญ่ เหล่าภูตผีและดวงวิญญาณที่แผดเสียงโหยหวนก็ออกมาจากมุมหนึ่งของหมู่บ้าน ทั้งยังมาพร้อมผ้าคลุมสีดำที่อยู่ในสภาพฉีกขาดยับเยิน ทำให้เหล่าชาวบ้านขนหัวลุกไปตามกัน

ตอนนี้เอง เหล่าชาวบ้านที่เพิ่งทุเลาจากการอกสั่นขวัญแขวนก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นมา “ท่านเทพเซียน แม่นางคนนั้น…”

ตาแก่ลามกตอบพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ใช่แล้ว นางคือธิดาเทพของสำนักเรา นางเป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่ง ทั้งวิชาเซียนของนางก็ยังสูงส่งมากอีกด้วย… วันนี้หากธิดาเทพไม่ได้มาที่นี่ล่ะก็ พวกเราทั้งหมดคงต้องตายโดยที่ไม่มีดินกลบหน้าเสียแล้ว”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เหล่าชาวบ้านก็เพ่งสายตาไปที่จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไกลโพ้นด้วยความเกรงขามเป็นที่สุด

“ธิดาเทพอุตส่าห์มาที่นี่แท้ๆ พวกเรา… พวกเรา” หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนพูดไม่ออก ใจของเขาเต้นแรงมาก

ตาแก่ลามกกล่าวตอบ “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่ต้องหวาดกลัวไป ธิดาเทพไม่สนใจเรื่องจุกจิกหยุมหยิมหรอก แม้บางครั้งนางจะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่ปกติแล้วนางเป็นมิตรและจิตใจดี ท่านไม่ต้องรับรองนางให้เอิกเกริกไป ธิดาเทพมีงานยุ่งมาก เมื่อนางจัดการกับค่ายกลเป็นตายหยินหยางนี่แล้ว อีกแค่ครึ่งวันนางก็อาจจะจากไป”

“อ้า เร็วเกินไป!” หวังฉี่เหนียนและพวกชาวบ้านผงะ “แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!”

พวกชาวบ้านต่างคิดว่า ในทางหนึ่ง พวกเขาไม่อยากลาจากผู้ที่มีพระคุณอย่างมหาศาลเช่นนี้ ส่วนอีกทางหนึ่งคือ โอกาสที่เทพเซียนตัวจริงจะมาเยี่ยมเยือนนั้นหาได้ยากยิ่ง หากพวกเขาปล่อยให้คนเหล่านี้กลับไปง่ายๆ มันก็ออกจะ…

ตาแก่ลามกถอนใจ “ธิดาเทพมีสถานะสูงส่งก็จริง แต่นางก็มีงานล้นมือ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร นางก็อยู่ในที่ที่หนึ่งได้ไม่นานนัก”

“เช่นนั้นอย่างน้อยก็ขอให้เราได้แสดงความขอบคุณกับธิดาเทพที่ช่วยเราไว้ด้วยเถอะ”

ตาแก่ลามกกำลังจะเอ่ยปากปราบพวกชาวบ้าน อู้เฟยฮวาก็ชิงเล่นบทตำรวจกังฉินทันที “ในเมื่อหมู่บ้านตระกูลหวังของพวกเจ้าเกือบถูกสำนักเจ็ดดาราเล่นงาน ก็มีโอกาสสูงไม่น้อยที่หมู่บ้านอื่นๆ อาจตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน แต่หากเรามัวแต่รั้งอยู่ที่นี่เพื่อกินของดีที่พวกเจ้านำมาให้ แล้วใครจะไปช่วยคนในหมู่บ้านอื่นๆ เล่า ถามหน่อยเถอะเจ้ารับผิดชอบไหวหรือหากต้องมีคนตายนับร้อยชีวิต”

เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักหน่วงเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งอะไรอีก ทว่าทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็ก็ดังขึ้นมา

“ฮ่าๆๆ เหตุใดพวกเจ้าจึงคิดจากไปไวนัก ที่อื่นๆ ก็ให้คนอื่นๆ รับผิดชอบไปสิ ธิดาเทพของเราไม่ใช่หน่วยดับเพลิงเสียหน่อย ข้าส่งนางมาที่นี่ก็ตั้งใจจะให้ทำงานระยะยาวนั่นล่ะ”

ระหว่างที่พูด ตัวเอกของละครเรื่องนี้ก็ปรากฏกายออกมา

เขาเป็นหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัด ส่วนสูงปานกลาง ไม่มีจุดใดโดดเด่นเป็นพิเศษ ดูราวอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ทว่าประสบการณ์ชีวิตที่สะท้อนในดวงตาคล้ายไปทางชายแก่ ซึ่งแตกต่างอย่างใหญ่หลวงกับใบหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้ม ทำให้เดาได้ยากว่าเขาอายุเท่าไรกันแน่

ชายผู้นี้เป็นใคร พวกชาวบ้านพากันสงสัยอยู่เป็นพักใหญ่

ความจริงชายหนุ่มผู้นี้คือหวังลู่ปลอมตัวมา หนำซ้ำยังเป็นการปลอมตัวอย่างลวกๆ ด้วย

เขาใช้วิธีเปลี่ยนรูปกระดูกเล็กน้อย และแต่งหน้าเพิ่มอีกนิดหน่อย มันคือภาพลักษณ์ของหวังลู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายกว่า ในเมื่อร่างปลอมตัวนี้ไม่จำเป็นต้องออกมาบ่อย จึงไม่ต้องตกแต่งอย่างประณีตบรรจงนัก

การปรากฏกายของเขาถือเป็นจุดสำคัญที่สุดของละครเรื่องนี้ พวกเขาต้องใช้การเข้าหาชาวบ้านที่หลากหลายขั้นตอน เพื่อให้จิตใจของชาวบ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยความยำเกรง จนกระทั่งกำแพงในใจของเหล่าคนโง่เง่าพวกนี้พังทลายลงมาอย่างสมบูรณ์

ซึ่งส่งผลดีต่อการล้างสมองในขั้นต่อไป

การปรากฏตัวของหวังลู่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย คำพูดเพียงไม่กี่คำและใบหน้าเปื้อนยิ้มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่างมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเหม่อลอย

ทว่าท่ามกลางหมู่ชาวบ้านนับร้อยๆ คน บางคนก็มีสมองฉลาดหลักแหลมและจับส่วนสำคัญในประโยคได้!

ข้าส่งนางมาที่นี่…

เมื่อตระหนักได้ถึงความหมายของประโยคดังกล่าว พวกที่ฉลาดก็รู้สึกราวกับว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าดำมืดไป โลกทัศน์ที่ถูกตีให้สั่นคลอนซ้ำๆ เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

แน่นอนว่าหลายคนก็รีบปฏิเสธหัวชนฝา

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงกล้าพูดจาเช่นนั้นกับท่านเทพเซียน!?”

ชาวบ้านกักขฬะสมองทึบใจร้อนคนหนึ่งคำรามออกมา ทว่าทันใดนั้นเขาก็เห็นสายตาเย็นชาของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาจ้องมองมาที่เขา เมื่อเทพเซียนทั้งสองจ้องเขม็งมา เขาก็ล้มทั้งยืนในทันที ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากหว่างขา

แน่นอนว่าปุถุชนธรรมดาย่อมฉี่ราดตัวเองแน่หากพวกเขากล้าพูดจายั่วยุผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงหรือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับต่ำ

หลังจากอวดทักษะเซียนแล้ว คนทั้งคู่ก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ลอยมาจากกลางอากาศ ซึ่งเป็นไปตามที่เตี๊ยมกันไว้เป๊ะ

“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

ตู้ม!

เมื่อได้เห็นตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม ชาวบ้านทั้งหลายก็ขวัญหนีในทันที คารวะท่านเจ้าสำนัก! เป็นเจ้าสำนักจริงๆ สินะ!

แม้ว่าชาวบ้านเหล่านี้จะโง่เขลาเพียงไร แต่พวกเขาย่อมรู้ความหมายของคำว่าเจ้าสำนักดี… สำหรับชาวบ้านเหล่านี้ การได้พบเจ้าสำนักก็อาจทำให้รู้สึกพรั่นพรึงได้พอๆ กับการได้พบจักรพรรดิ ซึ่งสุดที่จะจินตนาการได้สำหรับพวกเขา

ในเมื่อยากที่จะจินตนาการได้ พวกเขาจึงได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ หวังลู่ยิ้มหยันอยู่ในใจ พลางคิดว่ากลุ่มชาวบ้านผู้โง่เขลาเหล่านี้สมควรที่จะถูกเก็บภาษีสติปัญญาแล้ว ในอดีต แม้แต่สำนักเจ็ดดาราชั้นต่ำนั่นยังสามารถล่อลวงคนพวกนี้ได้ง่ายๆ ตอนนี้ในเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับมืออาชีพ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีทางที่จะต้านทานได้แน่นอน

แม้ในใจจะดูหมิ่นคนพวกนี้เพียงไร แต่หวังลู่ก็ยังเล่นบทบาทของเขาได้อย่างแนบเนียน

“คารวะอะไรกัน ไม่ต้องมากพิธีไปหรอก!” หวังลู่ยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ อีกสองคนก็แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับมีมือที่มองไม่เห็นประคองพวกเขาขึ้นมา จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างๆ ด้วยความอ่อนน้อม

การแสดงที่สมจริงของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาทำให้เหล่าชาวบ้านตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง และยิ่งตอกย้ำความกลัวและหวั่นเกรงที่มีต่อหวังลู่ผู้เป็นเจ้าสำนักให้หยั่งรากลึกเข้าไปใหญ่

……………………………………………….